รู้ทันกิเลส คือ เห็นกิเลส รู้ทันความคิด คือ เห็นความคิด
เมื่อ อวิชชา ยังไม่ถูกทำลายลง กิเลส และ ความคิดชั่ว ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อไม่สามารถบังคับไม่ให้ กิเลส และ ความคิดชั่ว หยุดเกิดได้ มีอยู่ทางเดียวก็คือ ต้องไม่ให้ จิต เข้าไปผสมรวมกับกิเลส และ ความคิดชั่ว ที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น
การที่จะไม่ให้ จิต เข้าไปผสมรวมกับกิเลส และ ความคิดชั่ว มีอยู่ทางเดียวก็คือ การมีสัมมาสติที่ว่องไว และ ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
เมื่อสัมมาสติที่ว่องไว และ ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ จิต จะเห็น กิเลส และ ความคิดชั่้ว ที่เกิดขึ้น เมื่อ จิต เห็นแล้ว กิเลส และ ความคิดชั่ว ก็จะสลายตัวลงไปทันที
การเป็นนักภาวนา อย่าได้กลัวการเกิดของกิเลส และ ความคิดชั่ว เพราะอย่างไรเสีย มันต้องเกิดขึ้นอันเป็นธรรมชาติของจิตใจที่ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ แต่นักภาวนามีทางแก้ใข ก็คือ การหมั่นฝีกฝนสัมมาสติจนตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
เมื่อนักภาวนาฝึกฝน จนเกิดความมั่นใจได้มากเท่าใดว่า สัมมาสติจะทำงานทุกครั้ง ที่เกิดกิเลส และ ความคิดชั่ว เมื่อนั้น นัำกภาวนาก็จะมั่นใจในจิตใจว่า จะไม่หลงไปกับ มารอีกแล้ว
นี่คือ ความเข้าใจผิดอย่างมากของชาวพุทธที่เป็นนักภาวนาที่ว่า เมื่อภาวนาแล้ว จิตใจจะมีแต่ คิดดี ไม่คิดชั่วอีก ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย
ในความเป็นจริงนั้น เมือนักภาวนาได้ภาวนาจนมีกำลังสัมมาสติที่ตั้งมั่นอย่างมั่นคง ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งจะเกิดขึ้นเองในจิตใจ นั้นคือ การหยุดการตีความใด ๆ ในความคิดที่เกิดขึ้นว่า นี่คือความคิดดี นี่คือความคิดชั่ว เป็นแต่เพียงรู้อยู่่ แต่ไม่แยกแยะให้ค่าดีชั่วกับมันเท่านั้นเอง เมื่อไม่แยกแยะดีชั่ว มันก็จะเป็นสักแต่ว่า เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และหยุดลงไปเท่านั้น
การหยุดการแยกแยะตีความในความคิดนี้ ยังเป็นคุณแก่นักปฏิบัติ ที่จิตใจเริ่มเป็นกลางมากขึ้น ในการรับรู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง
เมื่อจิตใจเป็นกลางมากขึ้น ความสามารถของจิตใจก็เพิ่มมากขึ้น การรับรู้สภาวะธรรมที่ละเอียด ขึ้นก็มีขึ้นได้เรื่อย ๆ
การเห็นสภาวะธรรมนี้ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่ผสมรวมเข้าไปกับสภาวะธรรมที่่ำเกิดขึ้นนั้น นักภาวนาก็จะเห็นได้ชัดว่า อันว่าสภาวะธรรมต่าง ๆ นั้นมันไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ของเขา มันสักแต่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ หยุดลงไป อันเป็นธรรมชาติของเขาเอง
*************** เรื่องท้ายบท
ในการภาวนานั้น จะมีอาการหนึ่งเกิดขึ้น ก็คือ อาการคิดไม่หยุด ซึ่งอาการคิดไม่หยุดนี้ ขอให้พิจารณาให้ดี จะมีอยู่ 2 อย่างคือ 1. คิดไม่หยุด แต่ .ไม่เห็น.ความคิด เพียงรู้ว่า คิดไม่หยุด คิดเรื่องนี้ ต่อเรื่องโน้น ถ้าเป็นอย่างนี้ นักภาวนาจะเข้าใจว่า ความคิดนี่เป็นของเขา เขาเป็นคนคิด และเขากำลังคิดฟุ่งซ่านอยู่ อาการนี้เป็นความคิดฟุ่งซ่าน เป็นนิวรณ์ ที่นักภาวนาสมควรดับมันเสีย
2. คิดไม่หยุด แต่นักภาวนา .เห็น. ความคิดที่เกำลังผุดออกมาดังราวกับน้ำจากท่อประปาแตก นักภาวนาจะเห็นความคิดที่ฟุ่งขึ้นตลอด แต่เขาจะเห็นได้ชัดว่า ความคิดนั้นไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ตัวเขาที่เป็นคนคิด อย่างนี้จะเป็น .ปัญญา. แก่นักภาวนา ความคิดแบบนี้ นักภาวนาไม่ต้องไปดับมัน มันจะคิดก็ปล่อยมันคิดไป เพียงรู้อยู่ เห็นอยู่ เท่านั้นเอง
************************************
การภาวนาจนเห็นความคิดที่เกิดขึ้นได้ด้วยกำลังสัมมาสติที่ตั้งมั่น คือ การแก้ใข ในทุก ๆ คำถาม ที่เป็นเรื่องของการทุกข์ใจ อาทิ เช่น อกหัก ตกงาน ลูุกติดยา ถูกโกงเงิน และ อีกหลาย ๆ ปัญหาเมื่อยังไม่ตายจากการเป็นคน
ปัญหาต่างๆ ยังมีอยู่ แต่เมื่อเห็นความคิดเสียแล้ว การแก้ใขปัญญาจะไม่ใช่การผสมโรงด้วย การใช้อารมณ์ อันเป็นการสะใจของกิเลสโดยไม่รู้ตัว แต่จะเป็นการแก้ปัญหา ด้วยปัญญาล้วน ๆ
Create Date : 11 กันยายน 2553 |
|
8 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:01:05 น. |
Counter : 3375 Pageviews. |
|
|
|
ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
สาธุ ค่ะ