หลักการและเหตุผลในการจัดการกับเรื่อง.ความคิด.
ผมมีเขียนเรื่องวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับความคิดไว้หลายตอนใน blog นี้ แต่ในบทนี้ ผมจะอธิบายหลักการและเหตุผลในการจัดการกับเรื่องความคิด ผมหวังว่า เมื่อท่านได้อ่านบทนี้ ท่านจะเข้าใจอะไรมากขึ้นเกีี่ยวกับความคิด ในธรรมปฏิบัติ ขอให้อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์และคิดพิจารณาตามไปด้วยครับ
1...ปรมัตถ์ธรรมของความคิด คือ อะไร ปรมัตถ์ธรรมหรือผมจะเรียกให้เข้าใจง่ายสำหรับคนยุคปัจจุบันว่า.สภาพทาง physical. ของความคิด ก็คือ.พลังงาน.
ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่าย ๆ ขอให้ท่านนึกถึง ตอนเปิดฝาหม้อข้าวที่กำลังเดือด จะมี.กลุ่มไอความร้อน.ฟุ่งพรวดออกมาจากหม้อข้าวที่ท่านสัมผัสได้ สภาพพลังงานของความคิดมันจะคล้าย ๆ แบบนั้น
Physical ของความคิดนี้จะเหมือนกับ physical ของอาการปรุงแต่งทางจิตด้วย เช่น ความโกรธ ความโลภ กิเลส ตัณหา รังของอวิชชา เป็นต้น
เมื่อนักภาวนาเห็นความคิดได้ ก็จะเหมือนเห็นอาการปรุงแต่งทางจิตได้เช่นกัน
2..ทำไมต้องไปเห็นปรมัตถ์ธรรมของความคิด มีแต่เขาสอนให้ไม่ให้มีความคิดกันทั้งนั้น ผมบอกผิดทางหรือเปล่า ถ้าบอกผิดทาง ก็บอกใหม่ทีถูก ๆ ได้นะ ???
นี่ืคือคำถามที่ดีมาก ๆ ที่ผมต้องทำความเข้าใจกับท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย และผมก็เห็นว่า นี่คือปัญหาของประเทศไทยจริง ๆ ที่มีการสอนธรรมปฏิบัติในตอนนี้ ทำให้คนเรียนไม่เข้าใจ และก็เดินไปไม่ถึงเป้าหมายอย่างแท้จริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในการดับทุกข์
คำสอนที่ว่า นักปฏิบัติไม่ให้มีความคิด นั้นถูกต้องสำหรับบรรดามือใหม่ทั้งหลายครับ มือใหม่ที่ผมว่า คือสภาพของปุถุชนที่ จิตและมโนวิญญาณ นั้นยังไม่แยกตัวออกจากกัน ดังภาพส่วนที่ 2 ที่อยู่ตรงกลางภาพในเรื่อง สภาวะจิต-วิญญาณ ในปุถุชน และ กัลยาณชน
ที่เขาสอนให้ไม่ให้มีความคิดสำหรับมือใหม่ มีเหตุผล 2 ประการครับ คือ
ประการที่ 1.. อันความคิดนี้เป็นพลัีงงานที่มีแรงดึงดูดที่แรงและการก่อตัวขึ้นที่เงียบกริบอย่างแนบเนียน ท่านมือใหม่ทั้งหลาย ที่ตัณหาที่เป็นแรงยึดเกาะระหว่้าง.ตัวจิต. และ มโนวิญญาณ ยังแน่นปั๊ก จะไม่มีทางเห็นความคิดที่เกิดขึ้นได้เลย (ดังภาพในส่วนที่ 2 ในเรื่อง สภาวะจิต-วิญญาณ ในปุถุชน และ กัลยาณชน )
เมื่อท่านมือใหม่ไม่สามารถเห็นความคิดที่เกิดได้ ผลก็คือ ท่านมือใหม่จะหลงเ้ข้าไปในความคิด หรือที่บางอาจารย์ว่า หลงไปคิด ลักคิด เข้าไปในความคิด คิดฟุ่งซ่าน หรือ อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งหมายความว่า ท่านได้สูญเสียความรู้สึกตัวไปแล้วนั้นเองในสภาพอย่างนี้
ประการที่ 2 เมื่อท่านหลงเข้าไปในความคิด จิตท่านเป็นโมหะแล้ว พอจิตเป็นโมหะ จิตท่านก็หมดสภาพการประกอบกุศล แต่บรรดาสมุนของโมหะ อันได้แก่ โลภะ โทสะ จะเข้ามาครอบงำจิตท่านแทน ตอนนี้ ท่านก็พร้อมที่จะกลายเป็นลูกสมุนพญามารไปอีกคนหนึ่งแล้ว
ด้วยเหตุผลนี้ ท่านบรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็มักสอนกันอย่างนี้ว่า อย่าให้มีความคิด และการสอน ในประเทศไทย ก็เป็นการสอนแบบลอย ๆ เป็นส่วนมาก ไม่มีหลักสูตรที่แน่นอน พอบรรดาอาจารย์ขึ้นสอน ก็มักคิดว่า คนมาเรียนคือคนใหม่ๆ ก็ต้องสอนแบบนี้ถึงจะถูกต้อง ผลก็คือออกมาแบบนี้ เพราะท่านสอนไม่ครบถ้วนนั้นเอง
แต่ถ้าบรรดาท่านมือเก่าที่เป็นกัลยาณชน ตามภาพส่วนที่ 3 ในเรื่อง สภาวะจิต-วิญญาณ ในปุถุชน และ กัลยาณชน ที่พลังแห่งสัมมาสติได้ตั้งมั่นพอเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าท่านไม่ไปดูความคิด ท่านจะไม่เห็นรังของอวิชชา เมื่อไม่เห็นรังของอวิชชา ท่านก็ทำลายอวิชชาไม่ได้ เมืิ่อทำลายอวิชชาไม่ได้ ท่านก็ไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้่นเอง
3..ถ้าท่านเป็นมือใหม่ที่จิตยังไม่แยกตัวออกมาจากมโมวิญญาณ
ผมแนะนำให้ท่านฝึกการรู้กายครับ งดการดูความคิด งดการดูจิต วิธีการฝึกรู้กาย ผมแนะนำเรื่องให้ท่านอ่าน
เรื่องของ สมาธิ ภาค 1 -ลักษณะของสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ เรื่องของ สมาธิ ภาค 2 -ลักษณะอาการความตั้งมั่นของสมาธิ หลักการเบื้องต้นของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแบบชาวบ้าน ตัวอย่างการฝึกเพือการรู้กาย วิธีพิจารณา กาย ฉบับชาวบ้านเขียน ชาวบ้านอ่าน
4..ถ้าท่านเป็นมือเก่า ที่ตัวจิตแยกตัวออกจากมโนวิญญาณได้แล้ว
ท่านมีความความสามารถในการดูจิต ดูความคิดได้แล้วครับ การดูจิต ดูความคิดของบรรดามือเก่านี้ ไม่ใช่ไปดูว่า จิตมันเป็นอะไร ดังที่เขียนไว้ ในตำราว่า จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ แต่การดูมัน ขอให้ดูเพียง physical ของมันทีเ่ป็นพลังงานโผล่วูบขึ้นมาก็พอแล้ว พอเห็นมันโผล่วูบขึ้นมา มันจะสลายตัวไปทันที ทั้งนี้ เนื่องมาจากท่านมือเก่ามีพลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น การดูความคิดก็เช่นกัน ดูเพียง physical ทีมันโผล่วูบขึ้นมาก็พอ
ที่ผมบอกให้ดูแค่ physical นั้นมีเหตุผล ครับ ...ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ต้องไปสนใจว่า อาการของจิตปรุงแต่งหรือความคิด ที่เกิดขึ้น ชื่อว่าอะไร แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ นั้น ถ้าท่านเป็นมือเก่าที่ยังไม่เจ๋งมากนัก พออาการทางจิตเกิดขึ้น ก็มักจะรู้ชื่อของมันด้วย แต่ถ้าท่านเป็นมือเก่าที่เจ๋งมาก พออาการทางจิตเิกิดขึ้น ท่านจะเห็นมันเพียง physical ท่านจะไม่รู้ชื่อของมันเลย และเมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะเลิกสนใจชื่อของมันไปเอง
การดูความคิด ดูอาการของจิตนี้ จุดมุ่งหมาย เพื่อต้องการไปเห็นแดนเกิดของมัน ก็คือ รังของอวิชชา ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้ชื่อของมัีนอีกเช่นกัน
ท่านสมควรให้จิตมันคิดบ่อย ๆ แทนการไม่คิด เพราะจิตคิด 1 ครั้ง ท่านก็มีโอกาส 1 ครั้ง ที่จะเห็นแดนเกิดของมัน ยิ่งเกิดถี่เท่าใด ท่านก็ยิ่งมีโอกาสมากเท่านั้นในการเห็นแดนเกิด และถ้าท่านวาสนาถึง ท่านจะมีสิทธิเห็นแดนเกิดได้ พอท่านเห็นได้เพียงครั้งเดียว ท่านก็เพิ่มปัญญาของท่านมาทันที สภาวะการเห็นแดนเกิด ไม่ใช่เห็นกันง่าย ๆ ดังนั้นจึ่งต้องใช้โอกาสนี้บ่อย ๆ ที่จิตคิดบ่อย ๆ นั้นเอง
5.. อาการจิตคิดไม่หยุด จะจัดการอย่างไรดี เรื่องนี้ ผมฝากให้ท่านพิจารณาด้วยปัญญา เพราะมีคำสอนหลากหลายในหลายแนวทาง ที่เข้ากันไม่ได้เลย เหมือนเดินตรงกันข้าม แต่ผมเสนอดังนี้
5.1 ถ้าท่านเป็นมือใหม่ ที่จิตยังไม่แยกตัวออกจากมโนวิญญาณ ท่านสมควรหยุดคิดมันโดยเร็วที่สุด เพราะกำลังสัมมาสติของท่านยังอ่อนแอมาก ถ้าท่านคิดต่อ ก็มีแต่เสียกับเสีย
5.2 ถ้าท่านเป็นมือเก่า ที่จิตแยกตัวออกมาจากมโนวิญญาณได้แล้ว มี 3 แนวทางให้เดิน
5.2.1 ถ้าเรื่องที่คิด ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ผมแนะนำให้ท่านตัดมันอย่าไปคิด 5.2.2 ถ้าเรื่องที่คิด ไม่มีประโยชน์ แต่ไม่ทำให้เกิดเรื่องไม่สบายใจ ท่านจะปล่อยมันคิดไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ท่านอย่าหลงเข้าไปในความคิดนั้น 5.2.3 ถาเรื่องที่คิด มีประโยชน์ ปล่อยให้มันคิดไปเรื่อยๆ ท่านจะได้ประโยชน์จากความคิดนั้น
Create Date : 13 กันยายน 2553 |
|
9 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:00:48 น. |
Counter : 1270 Pageviews. |
|
|
|
ดูความคิด VS ดูความว่าง