กบฏสำนัก หรือ วิธีเฉพาะตน
ในการฝึกฝนสติปัฏฐานนั้น โดยเฉพาะหมวด กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สำนักต่าง ๆ มักมีวิธีปฏิบัติแบบสำเร็จที่ให้เหล่าลูกศิษย์ปฏิบัติตาม นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเริ่มต้นให้ผู้ปฏิบัติใหม่เกิดการเข้าใจ และสดวกต่อการสอบอารมณ์กรรมฐาน
แต่ถ้าท่านได้ฝึกฝนไปและเข้าใจหลักการของสติปัฏฐาน 4 แล้ว ท่านลองสำรวจวิธีการฝึกฝนของท่านเสียใหม่ครับว่า สิ่งที่ท่านกำลังฝึกอยู่นั้น มันถูกจริตกับท่านจริง ๆ หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญสำหรับการปฏิบัติในขั้นกลางและขั้นสูง
เมื่อผมเริ่มต้นการฝึกแบบหลวงพ่อเทียน ผมยังไม่เข้าใจหลักการของสติปัฏฐาน ผมก็ฝึกฝนไปตามรูปแบบ 15 ขั้น แต่ผมพบว่า วิธีการ 15 ขั้นนั้น มันไม่ถูกจริตกับผมเลย เวลาผมทำ 15 ชั้น ผมจะอึดอัดมากและเกิดความเครียดขึ้นเสมอ ๆ
เมื่อ .จิตรู้. ผมแยกตัวออกมา ผมเห็น .ความคิด เห็นอาการของจิตปรุงแต่ง.ได้แล้ว ผมจึงเข้าใจคำวา สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ อย่างไร มีอาการอย่างไร ดังที่ผมเขียนไว้ใน เรื่อง เรื่องของ สมาธิ ภาค 1 -ลักษณะของสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ เรื่องของ สมาธิ ภาค 2 -ลักษณะอาการความตั้งมั่นของสมาธิ
ผมก็มาพิจารณาถึงความเครียดที่เกิดขึ้น ผมได้ทดลองดัดแปลงวิธีการเคลื่อนไหวใหม่ โดยการตัดบางท่าออกไปจาก 15 ขั้น เหลือเพียง การเคลื่อนมือ ขึ้น-หยุด ลง-หยุด เท่านั้น ผมพบว่า พอผมทำแค่นี้ ความเครียดหายไป และรู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติ มากกว่า ผมจึงฝึกอย่างนี้ตลอด และกำลังสัมมาสติของผมก็ตั้งมั่นมากขึ้นไปอย่างรวดเร็ว อันเนื่องจากการฝึกฝนที่เป็นธรรมชาติมากกว่าและไร้ความเครียด
ในการฝึกฝนนั้น ผมได้พบความรู้มาว่า จิตรู้ ที่แยกตัวออกนี้แหละ คือ ความเป็น .อัตตาตัวตน.ของผมเอง เมื่อ จิตรู้ เห็น ขันธ์ 5 นั้น จิตรู้ เข้าใจได้เองว่า ขันธ์ 5 นั้นมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ซึ่งตรงนี้ตรงกับคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงสอนปัจจัคคีย์ทุกประุการ เมื่อขันธ์ 5 นั้นไม่ใช่เรา แล้วอะไรคือตัวเรา คำตอบก็คือ จิตรู้ นั้นแหละคือ ตัวเรา
เมื่อผมฝึกต่อไปอีก ผมก็กลับพบว่า วิธีการที่ผมเคลื่อนมือ ขึ้น-หยุด ขึ้น-หยุด นั้น ยังมีปัญหาอยู่อีกนิดหน่อย ถึงแม้ไม่เครียดก็จริง ดูเหมือนเป็นธรรมชาติก็จริง แต่ความเป็นอัตตาตัวตน ที่เป็น ตัวจิตรู้ ยังแสดงตัวอยู่ เพราะการฝึกเคลื่อนมือนี้ ยังมีความจงใจในการกระทำอยู่นั่นเอง ซึ่งผมเขียนเรืี่องนี้ไว้ที่ เมื่อจงใจ กระทำสิ่งใด ความเป็นตัวตนก็จะเกิดขึ้นทันที
ผมกลับไปเรียนถามหลวงพ่อที่ท่านสอนผม ท่านบอกว่า ให้ฝึกแต่เหมือนไม่ได้ฝึก ผมกลับมาลองใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
จนมาวันหนึ่ง ผมดูทีวีเรื่องการออกกำลังกายแบบไต่ซี่ ที่เป็นศิลปะการเคลื่อนไหวช้า ๆ แบบมวยจีน ผสมกับลมหายใจ อาจารย์ที่เขาออกทีวี เขาพูดถึงวิธีัการฝึกหายใจ ผมก็เลยลองมาทำดูบ้าง ผมเขียนไว้ ทำสมาธิด้วยลมหายใจเพื่อสุขภาพ
ผมก็เปลี่ยนวิธีการฝึกใหม่เป็น ดูลมหายใจ และ เดินจงกรม แทนการเคลื่อนมือ เมื่อผมได้พบวิธีการฝึกที่เหมาะสมกับตัวผมเอง กำลังสัมมาสติก็ยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น และจากนั้นอีกไม่นาน ผมก็พบรังของอวิชชาในขณะที่ผมกำลังถ่ายของหนักในห้องน้ำ และ หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 อาทิตย์ รังอวิชชา ก็ถูกทำลายลงในขณะที่ผมกำลังดูทีวี Spirit of Asia
มีศิษย์สายหลวงพ่อเทียนกล่าวหาผมว่า ผมเป็นกบฏสำนัก ไม่เดินตามแนวทางคำสอนของหลวงพ่อ ไปฝึกสิ่งที่หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนไว้ ผมไม่โต้ตอบอะไรเขาเลย
สิ่งสำเร็จที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งทีดี สำหรับคนใหม่ๆ ทียังไม่เข้าใจหลักการและเหตุผล แต่ถ้าเข้าใจหลักการและเหตุผลแล้ว จะทำให้มองเห็นในสิ่งใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับตนเองได้มากกว่า นี่คือการพัฒนาการของมนุษย์ ถ้ามนุษยน์ขาดการพัฒนานี้เสียแล้ว ปัจจุับันในยุคปี 2000 มนุษย์ยังคงอยู่ถ้ำ ถือกระบอกหิน นุ่งผ้าหนังสัตว์อยู่กระมังครับ
****** เรื่องท้ายบท
เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับผมมากเช่นกันว่า อันความรู้ที่โผล่งขึ้นมาได้เอง และธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏให้เห็นจิตเห็นแจ้งนั้น ล้วนปรากฏในขณะที่ผมไม่ได้ทำการฝึกฝนอะไรเลย เพียงแต่ผมอยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดา ธรรมดา ที่แสนปรกตินี่เอง
นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
Create Date : 18 กันยายน 2553 |
|
13 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:00:15 น. |
Counter : 1338 Pageviews. |
|
|
|
1. การเคลื่อนมือ การตามดูลมหายใจ หรือการเดินจงกรม หรือไม่ว่าอาการกิริยาใดๆ ก็ตามภายในร่างกายเรา ให้เรารู้ที่การเคลื่อนและหยุดใช่หรือไม่คะ แต่จิตจะไม่อ่านของอาการนั้นๆ ว่ากำลังทำอะไร
2. ช่วงหลังๆ นี่ มีอาการรู้อยู่ที่ลมหายใจชัดเจนมากกว่าที่อื่นค่ะ รู้นานๆ และต่อเนื่องค่ะ (เค้าจะรู้เองค่ะ) และเห็นความคิดบ่อยๆ พอเห็นความคิดปุ๊บ ลมหายใจ หรือความรู้สึกตัวจะมากลืนความคิดได้เร็วมากค่ะ ทำให้สุขแป๊บเดียว ทุกข์แป๊บเดียว เจ็บเป็บเดียวค่ะ แต่จะเบาๆ โปร่ง ทั้งวัน และที่เป็นบ่อยๆ คือ ในความคิดจะมีการสอนเราค่ะ แทบจะทุกเรื่อง เช่น เราเห็นของที่ใหญ่กว่า หรือเยอะกว่า หรือผ้าที่สวย ฯลฯ มันจะมีอีกความคิดนึงโผล่มาบอกว่า ใหญ่เล็กไม่เห็นมีเลย มันก็เป็นสิ่งๆ หนึ่งที่วางอยู่นั้นแหละ หรือมากน้อยไม่มีเลย มันก็เป็นสิ่งที่กองอยู่ตรงนั้นแหละ หรือ ผ้าที่สวยหรือไม่สวย ไม่มีเลย มันก็คือสิ่งหนึ่งที่เค้าเรียกว่าผ้านั่นแหละ เป็นแทบทุกเรื่องเลยค่ะ กินอะไรก็ได้ นอนตรงไหนก้ได้ ทำให้ชีวิตเบา และไร้รูปแบบมากเพราะจะไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ ที่เค้าบอกว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้...แบบนี้เค้าเรียกว่าเป็นอะไรและ..ต้องทำอย่างไรต่อไปคะ ขอบพระคุณค่ะ