นี่ อะไร
ถ้าท่านได้เดินทางไปต่างประเทศ อาจพบกับสัตว์หรืออาหารที่ท่านไม่เคย พบมาก่อน เมื่่อท่านพบเห็นครั้งแรก ก็มักจะมีคำถามตามมาเสมอว่า นี่ อะไร ?
การเกิดคำถามดังกล่างขึ้นมา เป็นเพราะท่านไม่รู้จักสิ่งนั้นมาก่อน สิ่งนั้นมันไม่ได้อยู่ในระบบความจำของท่านมาก่อน
ถ้าย้อนกลับมาดูในการปฏิบัติธรรม นักภาวนาจะพบกับสภาวะธรรม ใหม่ๆ ที่ตนเองไม่เคยพบมาก่อนเลย และ มักจะมีคำถามตามมาเสมอ ว่า นี่ อะไร ??
เมื่อเกิดความสงสัย ก็จะไต่ถามจากครูบาอาจารย์ หรือ หาอ่านจากตำรา
แต่สิ่งที่ครูบาอาจารย์ตอบ หรือ มีกล่าวในตำรา ล้วนเป็นของ .สมมุติ. ขึ้นมาเพื่ออธิบายเป็นภาษาให้เข้าใจกันทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่นักภาวนาได้พบ สิ่งนั้นมาแล้วในระดับ .ปรมัตถ์. อันเป็นของจริงแท้ โดยที่นักภาวนา ไม่จำเป็นต้องไปรู้ชื่อเีรียกของมันเลย
ย้ำครับ... ไม่จำเป็นต้องไปรู้ชื่อเรียกของมันเลย แต่ถ้าต้องการจะรู้จักชื่อ ก็ไม่ผิดอะไร แต่ไม่จำเป็นแต่อย่างใด
การเรียกชื่อนี่แหละ ที่ทำให้เิกิดการโต้แย้งถกเถียงกันในหมู่ชาวพุทธ ว่าอย่างนี้ถูก อย่างนั้นผิด ทั้ง ๆ ที่ผู้ถกเถียงบางครั้ง ก็ไม่เคยพบกับสภาวะธรรม อย่างนั้นมาก่อนเลยในชีวิต
ในตำรากล่าวว่า พระสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัลป์นี้ และองค์ที่ 5 อันเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัลป์นี้ คือ พระศรีอารยเมตไตร
ผมสมมุติว่า เมื่อพระศรีอารเมตไตรทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านทรงบัญญัติคำสมมุติขึ้นมาที่ต่างจากพระสมณโคคม เช่น สมมุติว่า พระศรีอารยเมตไตร ทรงบัญญัติว่า มุุ-โป-เส แทนคำว่่า จิต-มโน-วิญญาณ ที่พระสมณโคดมบัญญัติไว้ ท่านจะเห็นว่า จะชื่อว่าอะไรก็ตาม เรียกอะไรก็ตาม ถึงแม้ชื่อเรียกต่างกัน แต่ของจริง ๆ อันเป็นปรมัตถ์ มันคือสิ่งเดียวกัน
ถ้าคนกอดคัมภีร์ในยุคพระศรีอารยเมตไตร ได้เข้าเครื่อง Time Machine มายังยุคปัจจุบัน และไปพบกับนักกอดคัมภีร์ในยุคนี้ ท่านลองจินตนาการในคำสนทนาธรรมระหว่่างคนทั้ง 2 ดูซิครับ ว่าจะมั่่ว ไม่รู้เรื่องขนาดไหน เพราะชื่อสมมุติของทั้ง 2 สมัยมันไม่เหมือนกันนั่นเอง
เรื่อง จิตเกิดดับ ที่ถกเถียงกันอยู่เสมอ ๆ ในเวปบอร์ด ผมมักเห็นมีคนเอาพระไตรปิฏก มาชี้เลยว่า ในพระไตรปิฏกมีกล่าวว่า จิต มโน วิญญาณ คือ สิ่งเดียวกัน และเกิดดับ ดังลิงเหนี่ยวกิ่งไม้จากกิ่่งโน้นแล้วป่ล่อยไปจับกิ่งนี้ แต่สายพระปฏิบัติกลับบอกว่า จิตเป็นอมตะ ไม่เกิดไม่ดับ ผมไม่ได้จะมาชี้ว่า ตำราผิดหรือพระปฏิบัติพูดผิด แต่ผมเชื่อว่ ตำราและพระปฏิบัติไม่ผิด แต่ที่พูดไม่เหมือนกัน เพราะสิ่งที่พูดมันคนละอย่างกัน ดังเช่่นคำเรียกที่ผมสมมุติในยุคพระศรีอริยเมตไตรกับยุคปัจจุบัน
การถกเถียงดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติเลย และผมก็ไม่แนะนำให้นักภาวนา ไปสนใจกับเรื่องเหล่านี้ เพราะถึงรู้ไปก็ใช้ดับทุกข์จริงไม่ได้ ถ้านักปฏิบัติได้พบสภาวะธรรมจริง ๆ ที่เป็นสภาวะแห่งปรมัตถ์ดังที่พระพุทธเจ้า ทรงพบนั่่นแหละ ถึงแม้ไม่รู้จักชื่อ ก็ใช้ดับทุกข์ได้ จะประเสริฐกว่า
****** เรื่องท้ายบท
ความคุ้นเคยกับเรื่องทางโลก ทำให้นักภาวนาเข้าใจในธรรมได้ยากขึ้น ทั้ง ๆที่ธรรมนั้น มันแสนง่ายในตัวของมันเอง แต่เพราะคนก็พยายามสร้างสิ่งต่าง ๆ เพื่อเสริมเข้าไปในธรรมชาตินั้น อย่างเช่นเรื่อง นี่ อะไร ที่ผมเขียนไว้ข้างต้น
ขอเพียงพบกับ ธรรมชาติ พบแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องไปใส่ใจกับสิ่งนั้น มันจะชื่ออะไรก็ช่่างมัน และไม่ต้องไปหวังว่าจะต้องพบกับมันอีก มันจะพบก็ได้ ไม่พบก็ได้ ไม่สำคัญอีกเช่นกัน
ขอเพียงพบเพื่อรู้ รู้แล้วให้ละ อย่ายึดติดในสิ่งที่พบ ก็ใช้ได้แล้วครับ
Create Date : 20 กันยายน 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:59:55 น. |
Counter : 1030 Pageviews. |
|
|
|
ท่านพูดเรื่องนี้เลยค่ะ โมทนาสาธุ..
ปฏิบัติมาสายไม่ติดสมมติค่ะ ท่านให้เอาของจริงของแท้มาพูดกัน ถ้าอยากรู้จริงๆ ค่อยไปหาสมมติมาเทียบเคียง
กลุ่มที่ทำจริง รู้จริง คุยกันรู้เรื่อง แม้สมมติจะคนละอย่าง
แต่พวกรู้จากสมมตินั้น ฉันยอมแพ้ค่ะ ขอโง่แบบนี้แหละ..
ขี้เกียจเถียงเขา อ่านธรรมมาเยอะก็เห็นว่าที่ท่านพี่เขียนนี่แหละใช่.. มาทางเดียวกัน แม้จะคนละแนว (ที่ฉันเรียนมาเน้นจิตล้วนๆ อย่างอื่นตามมาทีหลัง) ก็ลงกันดี
สิ่งที่ได้เรียนรู้ที่นี่ ช่วยอธิบายสภาวะได้หลายๆ ครั้ง เนื่องจากอาจารย์ฉันท่านไม่พูดมาก
ก็เลยแนะนำเพื่อนๆ เสมอว่า ถ้าจะหาสมมติอ่าน เพื่อช่วยให้เข้าใจสถาวะธรรมมากขึ้น ก็ต้องมาแถวบล็อคนี้แหละ..ปลอดภัย..เพราะของจริงค่ะ