สัมมาสมาธิ คือ สมาธิที่เกื้อหนุนวิปัสสนา
จากเรื่องนี้นะครับ เรื่องของ สมาธิ ภาค 2 -ลักษณะอาการความตั้งมั่นของสมาธิ 1. เรื่องมิจฉาสมาธิ แนวการปฏิบัติหนึ่งๆ จะดูลม หรือพุทโธ ที่ต้องอาศัย สมาธิแบบหวังผล สมถะ จนกระทั่งได้ฌาน
ถาม : 1A- คุณนมสิการ ก็กล่าวว่า แม้ได้ฌานก็ยังเป็น มิจฉาสมาธิอยู่ ใช่หรือป่าวครับ ถ้าเป็นปาท่องโก๋?
1B- แล้วการทำสมถะที่เป็น สัมมาสมาธิ มีใช่ไหมครับ ขอคำแนะนำ ว่าทำอย่างไร แบบสั้นๆ และเข้าใจง่าย? *****************************
เรื่องของ สมาธิ ภาค 1 -ลักษณะของสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ 2. การรับรู้แบบสัมมา นั้น ขอให้ท่านสังเกต การรับรู้นี้จะเบา ๆ ไม่มีตำแหน่ง มันจะลอยๆ รู้ว่ามีการรู้ แต่ไม่รู้ว่า อยู่ที่ไหน
ถาม :
- หากรู้แบบสัมมาดังกล่าว เราจะเรียกมันว่าอะไร ระหว่าง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผมยังสับสนอยู่
คุณนมสิการ ตอบตามสไตร์คุณเลยนะครับ ผมจะลองปูพื้นของผมใหม่ : ) ขอบคุณครับ โดย : หมีติดปีก วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา: 10:28:24
**************************** คำถามจากคุึณหมีติดปีก ที่ผมดูุแล้วน่าจะนำมาเขียนเป็นเรื่องให้ท่านอื่นได้อ่านกัน ผมเชื่อว่า หลาย ๆ ท่านยังไ่ม่อาจเข้าใจในมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิที่ดีพอ
1.. มิจฉาสมาธิ คือ สมาธิที่ไม่เกื้อหนุน ต่อการเจริญวิัปัสสนา ส่วน สัมมาสมาธิ คือ สมาธิที่เกื้่อหนุน ต่อการเจริญวิปัสสนา
ในสมัยพุทธกาล พวกฤาษี โยคี ต่างก็เจริญ .มิจฉาสมาธิ.กันมากมาย แม้แต่ เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังไปเรียนกับดาบส 2 ท่าน จนเจ้าชายปฏิบัติได้ถึงฌานที่8 อันเป็นฌานระดับสูงสุดของมิจฉาสมาธิ เมื่อเจ้าชายเรียนจบวิชาจากดาบสแล้ว เจ้าชายก็ทรงทราบว่า วิชาสมาธิแบบนี้ ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์
ต่อเมื่อเจ้าชายได้ทรงค้นพบสัมมาสมาธิ แล้วเจริญสัมมาสมาธิจนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำความรู้นี้มาสอนแก่พุทธบริษัทต่อมา
สมาธิทั้ง 2 นี้ไม่เหมือนกัน และ ต่างกันอย่างสุดขั้วในทิศทางตรงกันข้าม ดังที่ผมเขียนไว้ใน เรื่องของ สมาธิ ภาค 1 -ลักษณะของสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ
.....ผมตอบคำถามข้อ 1A ครับว่า ถ้าเป็นปลาท่องโก๋ ถึงแม้ได้ถึงฌาน ก็เป็นฌานแบบฤาษี หรือ มิจฉาสมาธิ ครับ
2..ในการปฏิบัติจริง ๆ นั้น ไม่ว่า จะดูลมหายใจ เดินจงกรม เคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ปฏิบัติแบบ พอง-ยุบ หรือ บริกรรมพุทโธ จะเป็นไปได้ทั้ง มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจในสัมมาสมาธิ การปฏิืบัติโดยมากจะเป็นมิจฉาสมาธิทันที เพราะคนโดยมากจะคุ้นเคยกับการยึดติด ใช้จิตจดจ่ออยู่กับการทำงานอยู่แล้ว
จุดที่ต่างกันระหว่างสมาธิทั้ง 2 แบบก็คือ มิจฉาสมาธิ นักภาวนาจะส่งจิตไปแนบแน่นชิดสนิทกับอารมณ์ของจิต ดุจดังปลาท่องโก๋ที่ติดสนิทกัน ส่วน สัมมาสมาธิ นั้น นักภาวนาเพียงประคองความรู้สึกตัวไว้ แล้วให้จิตไปรับรู้ถึงอารมณ์ได้เอง
ท่านเห็นข้อแตกต่างไหมครับ ระหว่างวิธีฝึกฝนของสมาธิทั้ง 2 แบบ ถ้ามองไม่ออก ผมแนะนำให้ท่านคิดพิจารณาให้ดีๆ
//// แนะนำการฝึกฝนสัมมาสติ สัมมาสมาธิแบบง่าย ๆ ////
ผมจะแนะนำวิธีฝึกสัมมาสติ สัมมาสมาธิแบบง่าย ๆ ให้ท่านลองดู ถ้าท่านยังไม่เข้าใจ มองไม่ออกแห่งสัมมาสมาธิ ขอให้ท่านลองดูจริง ๆ อย่าเพียงอ่านแล้วผ่านไป เพราะถ้าไม่ลองดูจนเห็นของจริง ก็จะไม่เข้าใจในสัมมาสมาธิเลย
ขอให้ท่านนั่งสบาย ๆ นั่งเก้าอี้ก็ได้ ขอให้เปิดพัดลมแต่ให้ส่ายไปมาแต่ลมสัมผัสผิวกายของท่าน ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อันเนืิ่องมาจากการส่ายของพัดลม ขอให้ท่านเปิดวิทยุ หรือ ทีวี ให้มีเสียงเบา ๆ ขอเพียงมีเสียงก็พอ ไม่ต้องดังมาก เพราะต้องการรู้ว่ามีเสียงเท่านั้น แ่ต่ไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวของเสียงนั้นเลย
วิธีฝึก ขอให้ท่านลืมตา มองไปนอกหน้าต่าง มองไปไกล ๆ เ่ช่นท้องฟ้า แต่อย่าจ้องมองสิ่งใด เพียงลืมตาขึ้นเฉย ๆ เท่านั้น ท่านจะเห็นว่า ถ้าท่านเพียงลืมตาขึ้นโดยไม่จ้องสิ่งใด สายตาจะเห็นภาพเป็นมุมกว้าง ๆ จากนั้น ให้ท่านนั่งกอดอกธรรมดา สบาย ๆ
ทีนี้ขอให้เพียงรู้สึกตัวเท่านั้น ห้ามทำสิ่งใดอีก นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องการอยากรู้อะไรเลย
ท่านจะเห็นได้ว่า
ตา ก็ยัีงมองเห็นภาพได้อย่างกว้่าง ๆ ได้อยู่ แต่ท่านไม่จ้องมองสิ่งใดเป็นพิเศษ หู ท่านก็ได้ยินเสียงได้เบา ๆ อยู่ แต่ท่านไม่สนใจในความหมายของเสียงนั้น ร่างกาย ก็รู้สึกได้ถึงลมจากพัดลมที่พัดมาโดนกายบ้าง ไม่โดนกายบ้าง และท่านจะสัมผัสได้ถึงอาการกระเพื่อม กระเพื่อม สั่นไหว อันเนื่องมาจากการหายใจ
ท่านจะเห็นว่า การรับรู้ของท่านแบบนี้เป็นแบบสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ขอให้ท่านกลับไปดูภาพ สัมมาสมาธิ ที่ผมเขียนไว้ใน เรื่องของ สมาธิ ภาค 1 -ลักษณะของสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ
ถ้าท่านหมั่นฝึกฝนแบบที่ผมเขียนไว้บ่อย ๆ การรับรู้ของท่านนั้น จิตจะเริ่มตั้งมั่นทีละน้อย ทีละน้อย ยิ่งฝึกมาก ยิ่งตั้งมั่นได้เร็วกว่า การฝึกน้อย ซึี่งขึ้นอยู่กับความขยันของท่านเอง
ที่นี้ คุณหมีติดปีก ถามเรื่อง การทำสมถะ แบบสัมมาสมาธิ ผมขออธิบายให้เข้าใจก่อนครับว่า สิ่งที่ผมเขียนวิธีฝึกฝนข้างต้นนี้ ก็คือการทำสมถะแบบ สัมมาสมาธิ ครับ เพราะว่า การฝึกฝนนั้น จะเป็นสมถะ แต่ถ้าจิตทีตั้งมั่นแล้ว จิตไปเห็นสภาวะธรรมได้เอง ตอนนั้น จึงจะเป็นวิปัสสนา
/////////// จบตัวอย่างการฝึกฝนสัมมาสติ สัมมาสมาธิ////
ทีนี้ผมจะเขียนการดูลมหายใจแบบมิจฉาสมาธิ ถ้าเผื่อว่า การเขียนเรื่องนี้ไปกระทบถึงการสอน ของอาจารย์ท่านใด ผมก็ขออภัยต่ออาจารย์ท่านนั้นด้วยครับ เพราะการสอนแบบนี้ มีการกลาดเกลื่อนในประเทศไทย ถ้าผมไม่เขียนถึง ท่านก็อาจจะมองความแตกต่างไม่ออกระหว่าง การดูลมหายใจแบบมิจฉาสมาธิ และ แบบสัมมาสมาธิ
วิธีการดูลมมิจฉาสมาธิแบบนี้ เมื่ีอท่านนั่งแล้ว ให้ท่านส่งจิตไปจับลมที่ปลายจมูกเลยครับ ท่านไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น สนใจแต่ลมที่ปลายจมูกอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าจิตท่านแนบแน่นที่ปลายจมูกจริง ๆ จิตจะินิ่งติดที่ปลายจมูก
ท่านเห็นความแตกต่างไหมครับระหว่าง มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ ทั้ง ๆ ที่ดูลมหายใจเหมือนกัน แต่ต่างกัน ขอให้ท่านลองดูจริงๆ ทั้ง 2 แบบ ท่านจะเห็นความต่างได้ชัดเจนเอง
ถ้าการฝึกฝน ไม่ใช่แบบสัมมาสมาธิแต่กลับเป็นมิจฉาสมาธิ ถึงแม้จะได้ฌาน ได้ความสงบ แต่ผู้ฝึกฝนจะไม่เห็นสภาวะธรรมของขันธ์ 5 ได้
นี่คือ ความแตกต่างระหว่างการฝึกฝนมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
ถ้าคุณหมีติดปีก ทดลองฝึกตามวิธีที่ผมเขียนไว้สักระยะหนึ่ง คุณจะเข้าใจได้ว่า อาการของสัมมาสมาธินี่เป็นอย่างไร แตกต่างจากมิจฉาสมาธิอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้ว คุณสามารถจะฝึกอะไรก็ได้ ในรูปแบบที่คุณต้องการและเป็นสัมมาสมาธิได้
....ผมตอบคำถามข้อ 1B แล้วครับ...
3.. ผมจะตอบคำถามคุณหมีติดปีกในข้อ 2 ครับ
คุณหมีสงสัยในชื่อว่า อย่างไร คือ สัมมาสติ อย่างไร คือ สัมมาสมาธิ
ึำ คำว่้า สัมมาสติ นั้นหมายความว่า อาการที่ จิต ไปจับอารมณ์ของจิตได้เองเนื่องด้วย มีความรู้สึกตัวอยู่ จิตจะมีความสามารถของเขาอย่างนั้น อันเป็นธรรมชาติของจิตเอง
ในขณะที่ จิต ไปจับอารมณ์ได้เองนี้ในขณะหนึ่ง ๆ คือ สัมมาสติ อย่างเช่นการฝึกฝนที่ผมเขียนไว้ในข้อ 2 ข้างบน ที่จิตไปรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้เองทั้งสิ้่น โดยที่ในขณะฝึกฝนนั้น เพียงนั่งเฉย ๆ ไม่ต้องอยากรู้อะไรเลย แต่จิตก็รับรู้ได้เอง
เมื่อลมมาพัดโดนกาย ก็รู้สึกถึงได้ ในขณะนั้น สัมมาสติไประลึกรู้การสัมผัสที่เกิดขึ้นที่กายได้เอง จากลมของพัดลม
เมื่อรู้สึกถึงอาการกระเพื่อม กระเพื่อม สั่นไหว อันเนื่องมาจากการหายใจ ในขณะนั้น สัมมาสติ ไประลึกรู้การกระเพื่อม สั่นไหว ได้เอง
ถ้าการรับรู้ัสัมมาสติ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเมือจิตรับรู้อารมณ์แล้ว แต่จิตยังตั้งมั่นอยู่เช่นเดิม ไม่ไหลไปจัีบยึดกับอารมณ์ทีั่จิตไปรู้เข้า อย่างนี้ จึงเป็นสัมมาสมาธิ ซึ่งก็คิือ อาการทีีจิตตั้งมั่น ไม่ไหลไปจับยึดกับอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า
ส่วนมิจฉาสมาธิ ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อง การส่งจิตไปรับรู้ลมที่ปลายจมูก ตอนรู้ลมจิตจะอยู่ทีปลายจมูก ทีนีเวลาเดินจงกรม มิจฉาสมาธิจะเป็นว่า ส่งจิตไปรับรู้การกระทบที่เท้า ซึ่งก็คือ จิตวิ่งไปอยู่ที่เท้าแล้ว ท่านจะเห็นว่า การฝึกแบบมิจฉาสมาธิ จิตจะวิ่งไป วิ่งมา ไม่ตั้งมั่นอยู่ในฐานของจิตเลย เดียวจิตไปอยู่ปลายจมูก เพื่อต้องการรู้ลม เดียววิ่งไปอยู่เท้า เพราะต้องการรู้การกระทบที่เท้า
ในขณะที่การนั่งดูลมแบบตัวอย่างการฝึกสัมมาสมาธิ จิตจะตั้งมั่นอยู่กับที่ เวลาลมจากพัดลมมาโดนกาย จิตก็ยังอยู่กับที่ เวลารู้สึกถึงการกระเพื่อม กระเพื่อม สั่นไหว อันมาจากการหายใจ จิตก็ยังอยู่ที่เดิม ตาก็มองเห็นได้ หูก็ได้ยินอยู่ แต่จิตก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่วิ่งไปวิ่งมาแบบมิจฉาสมาธิ และการรับรู้แบบลอย ๆ ไม่มีตำแหน่ง ก็จะสังเกตเห็นได้เอง ถ้าคุณหมีติดปีกได้ทดลองสัมมาสมาธิดูด้วยตนเอง
Create Date : 22 กันยายน 2553 |
|
14 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:59:17 น. |
Counter : 1911 Pageviews. |
|
|
|
การฝึกฝนที่ผมยกตัวอย่าง เรื่องลมหายใจ แบบสัมมาสมาธินั้น
การฝึกฝนนี้ เมื่อทำบ่อย ๆ จิตตัวรู้ เขาจะตั้งมั่นครับ
ท่านอาจมีคำถามว่า ทำไมต้องให้ จิตตัวรู้ มันตั้งมั่นด้วย
เมื่อ จิตปรุงแต่งเกิดกิเลสขึ้นมาเมื่อใด จิตตัวรู้ ที่ตั้งมั่้นนี้
จะไม่ไหลเข้าไปรวมกับ กิเลส ที่เกิดขึ้น
เมื่อ จิตตัวรู้ ตั้งมั่นไม่ไหลเข้าไปรวมกับกิเลสได้แล้ว กิเลส จะถูุกทำลายลงทันทีด้วยพลังแห่งสัมมาสมาธิ ครับ พอกิเลส ถููกทำลายลง ด้วยสัมมาสมาธิ จิตตัวรู้ เขาจะเห็น กิเลส นั้่นเกิดและดับลง เป็นไตรลักษณ์
จึงเกิดปัญญา เห็นความไม่เที่ยงของกองกิเลสต่าง ๆ ได้
แต่ถ้า จิตตัวรู้ ไม่ตั้งมั่น พอเกิดกิเลส ขึ้นมาเมื่อใด จิตตัวรู้ จะไหลเข้าไปรวมกับ กิเลส ที่เกิดขึ้น พอไหลเข้ารวมเท่านั้น กิเลส ก็จะเกิดอยู่นาน
และ ท่านก็จะกลายเป็นลูกน้องกิเลส ไปทันที ที่ทำอะไร ก็ถูกกิเลสครอบงำ
เป็นคนไร้สติ ในขณะที่กิเลสเข้าสิงสู่จิตใจท่านนั้น
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมต้องฝึกให้เกิดสัมมาสมาธิ เพราะเหตุนี้ครับ
สรุปหลักการก็คือ ฝึกสัมมาสมาธิ ให้ จิตตัวรู้ ตั้งมั่น เพื่อไว้จัดการกับกิเลส เมื่อมันโผล่ขึ้นมานั้นเอง
แต่ถ้าเป็น มิจฉาสมาธิ การฝึกแบบนี้ ผู้่ฝึกกลับฝึกให้มีกิเลสโผล่ในจิตใจ
เป็นกิเลส ที่ต้องการรู้ลมที่จมููก ต้องการรู้กระทบที่เท้าขณะเดินจงกรม
เมื่อ เกิดกิเลส ขึ้น จิตที่เก่งในเรื่องไหลไปไหลมาอยู่แล้ว ก็จะไหลเข้าไปรวมกับกิเลสทันที ทำำให้ มิจฉาสมาธิ ไม่อาจจัดการกับกิเลสที่เกิดขึ้นได้เลย