มีความเพียร คือ อย่างไร
บทความนี้ เป็นสิ่งที่ผมเข้าใจเอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในการปฏิบัติธรรม วันนี้ ผมได้สนทนาธรรมปฏิบัติกับญาติธรรมท่านหนึ่ง ในเรื่องนี้ ซึ่งผมได้ชี้ให้เขาเห็นว่า เขายังเข้าใจผิดอยู่ในการปฏิบัติ
ผมเห็นว่า น่าจะนำมาแสดงไว้ใน blog ด้วย ผิดถูกอย่างไร ก็ฝากไว้ให้พิจารณา ผมคาดว่า คงมีคนเป็นจำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วย กับข้อเขียนนี้
*********** ในพระไตรปิฏก สติปัฏฐานสูตร มีกล่้าวไว้ถึงหลักใหญ่ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ซึ่งแปลว่า มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
ซึ่งถ้าอ่านเพียงผ่าน ๆ ก็จะผ่าน ๆ ไป แต่ถ้าอ่านแบบพินิจสักหน่อย ก็จะหมายความว่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้ชาวพุทธ
*** ให้มีความเพียร (อาตาปี)ใน สัมปชัญญะ และ สติ ****
จุดที่ผมชี้ให้ท่านเห็นก็คือ การมีความเพียร พร้อมด้วยการมีสติสัมปชัญญะ
*** มีความเพียร คือ มีบ่อย ๆ มีเนือง ๆ ในสติสัมปชัญญะ
ถ้าท่านปฏิบัติอย่างบ้าคลั่ง เอาเป็นเอาตาย จิตใจมีความอยาก นี่ .ไม่ใช่มีสติ.เสียแล้ว น่าจะเป็นการ .ขาดสติ. ซะมากกว่า การมีความเพียร อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แน่
แต่การมีความเพียรนั้น นักภาวนาสมควรให้มีความเพียร ทีมีสติ ที่ไม่บ้าคลั่ง ไม่มีตัณหา ซึ่งในแง่การปฏิบัติแล้ว นักภาวนาสมควรมีความเพียร ที่เป็นการผ่อนคลาย ไร้ความอยาก ในจิตใจ เหมือนการมีความเพียรในการประคอง สติสัมปชัญญะ ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเอง
ถ้าท่านเป็นนักภาวนาผู้หนึ่ง ที่เห็น .ตัวจิตรู้. ของท่านได้แล้่ว ท่านจะเห็นได้เลยว่า ถ้าเมื่อใดก็ตาม ทีท่านปฏิบัติแบบไม่ผ่อนคลาย ปฏิบัติด้วยความอยาก บ้าคลั่้ง ตัวจิตรู้ ของท่านจะเป็นดวงเด่นชัดขึ้นมาทันที อาการจิตเป็นดวงเด่นนี้แหละ คือความเป็นตัวตนทีมันเด่นผงาดอยู่ในจิตใจของท่าน
แต่ถ้าปฏิบัติด้วยอาการผ่อนคลาย ตัวจิตรู้ จะไม่เป็นดวงเด่นชัดแบบนั้น แต่จะแผ่กระจาย อันเป็นธรรมชาติของเขาเอง ซึ่งก็คือ การผ่อนความเป็นตัวตนลงไป
ถ้าท่านเห็นเองได้ด้วยตนเอง ท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกล่าวถึง เรื่องจิตรู้เป็นดวงเด่น
นักภาวนา ไม่มีทางทำลาย อวิชชา ลงไปได้เลย ถ้ายังป้อนอาหารให้แก่อวิชชาอยู่ ด้วยความอยาก ด้วยความบ้าคลั่ง
******** เรื่องที่คล้ายกัน เมื่อจงใจ กระทำสิ่งใด ความเป็นตัวตนก็จะเกิดขึ้นทันที //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=27&group=8&gblog=20
*********** เรื่องท้ายบท เรื่องลาบเนื้อ
สมัยที่ผมเป็น นักศึกษาในสถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง ผมมักออกค่ายพัฒนาชนบทเสมอ ท้องถิ่้นที่ไป มักเป็นภาคอิสาน ในสมัยนั้น มีการเผยแพร่ของลัทธิคอมมิวนิสต์กันโดยเฉพาะท้องถิ่นภาคอิสาน เมื่อไปถึงท้องถิ่นใหม่ ๆ ชาวบ้านเขาจะมองนักศึกษาอย่างเงียบ ๆ ชนิดไม่ไว้วางใจนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัก 1 อาทิตย์ ชาวบ้านจะเห็นกิจกรรมของนักศึกษาและเข้าใจได้ ว่า นักศึกษามาดี ไม่ได้มาเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์แ่ต่อย่างใด เมื่อครบเวลากลับหลังจากอยู่ได้ 2 อาทิตย์ ชาวบ้านจะทำอาหารเลี้ยงส่งให้ด้วยอาหารพื้นบ้าน เหล่านักศึกษาก็กินอย่างอร่อย
มีอาหารจานเด็ดจานหนึ่ง เป็นลาบเนื้อ รสดีมากจัดจ้าน นักศึกษารับประทานกันทั่ว เมื่องานเลี้ยงได้จบลง มีคนอยากรู้ว่า ลาบเนื้อ จานนี้คือเนื้ออะไร ชาวบ้านบอกว่า นี่คือเนื้อหนูนา พอนักศึกษาได้ยินเท่านั้น ต่างก็กระอักกระอ่วม อยากจะอาเจียรทันที บ้างก็อาเจียรออกมาเลยทันที ทั้ง ๆ ที่ตอนรับประทานก็ช่างอร่อยจริงๆ
ถ้าเหล่านักศึกษาสนใจเพียงว่า นี่คือเนื้อที่รับประทานได้ ทุกอย่างก็จบแ่ค่นั้น ถ้าเลยลงไปว่า นี่คือเนื้ออะไร ปัญหา็ก็ตามมาทันที
นักภาวนาส่วนมากก็เช่นกัน เมื่อได้พบเห็นสภาวะธรรมจากการปฏิบัติแล้ว ก็น่าจะจบลงแค่นั้น ได้แล้ว แต่เมื่ออยากจะรู้ลงไปอีกว่า สภาวะธรรมทีพบนั้น ชื่ออะไร ปัญหาก็จะตามมาเช่นกัน การตั้งชื่อของสภาวะธรรม ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เพื่อใช้ในการสื่ีอสารให้เข้าใจ แต่จริงๆ ไม่จำเป็นเลยในการปฏิบัติธรรม
การถกเถียงกันในหมู่คนที่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ก็จะมาจากการถกเถียงเรื่องชื่อสมมุตินี้ทั้งสิ้่น
ถ้าเห็นสภาวะธรรมจริงๆ ไม่ต้องถาม ไม่ต้องรู้ชื่อ ก็น่าจะพอแล้ว เพราะนี้คือสิ่งที่นำไปดับทุกข์ได้จริงๆ ส่วนชื่อนั้น ดับทุกข์ไม่ได้เลย
มีเพลงลูกทุ่งที่ร้องกัน ตอนอยู่บ้านนาชื่ออีกลอย พอมาอยู่กรุงเทพก็ชื่อเป็นฝรั่งไป ทั้ง ๆ ชื่ออะไรก็แล้วแต่ มันก็คนเดียวกันนั้นเอง
Create Date : 02 กันยายน 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:01:26 น. |
Counter : 1347 Pageviews. |
|
|
|
ยังติดตามอ่านบทความของคุณนมสิการอยู่เสมอค่ะ
บทความนี้ไขข้อข้องใจเรื่องความเพียรค่ะ
คือสงสัยว่าเราต้องเพียรปฏิบัติแค่ไหนจึงจะสามารถค่อยๆพัฒนาได้ เช่นถ้าตัวเองเป็นพวกสมองอ่อนด้อย จะต้องปฏิบัติในรูปแบบวันละอย่างต่ำกี่ชั่วโมง แล้วที่เหลือจึงตามดูกายแบบมีสติในชีวิตประจำวัน จึงจะสามารถพัฒนาไปได้
จากบทความได้คำตอบว่าจะต้องพยายามปฏิบัติให้ต่อเนื่อง(แบบสบายๆ)ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ใช่มั้ยคะ