|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทิ้งการเมือง แต่ไม่ทิ้งบ้านเมือง : มุมมองของ อุกฤษ มงคลนาวิน
ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์กรงเทพธุรกิจ ที่กล้านำบทความนี้ มาตีแผ่ ให้มุมมองอีกด้านหนึ่งกับผู้อ่าน
ขอบคุณด้วยใจจริง จากคุณ : cmart2000 แห่งห้องราชดำเนิน
ทิ้งการเมือง แต่ไม่ทิ้งบ้านเมือง ดูจะเป็นวลีประจำตัวของ ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ไปแล้ว เพราะแม้อดีตประธานรัฐสภาหลายสมัยผู้นี้จะประกาศว่างมือทางการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่ก็ไม่วายมีชื่อปรากฏทุกครั้งในยามที่บ้านเมืองต้องการคนกลาง เพื่อแก้วิกฤติ
เมื่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันกำลังเดินเข้าสู่ จุดแตกหัก" อีกครั้ง เสียงจาก ศ.ดร.อุกฤษ ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง คนหนึ่ง จึงมีน้ำหนักมากพอที่ทุกฝ่ายสมควรสดับตรับฟัง
ศ.ดร.อุกฤษ วิเคราะห์ว่า ความรุนแรงทางการเมืองเป็นเรื่องที่น่าห่วง และมี ต้นเหตุมาจาก 2 ส่วน คือ กลุ่มที่ออกมาต่อต้านผู้ที่ถืออำนาจรัฐในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเรียกว่า"กลุ่มอำนาจเก่า" ก็ได้ โดยกลุ่มอำนาจเก่าที่ว่านี้ มีพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเกินกว่า 15 ล้านเสียง เป็นแกนหลัก จึงถือว่ามีพลังไม่น้อยเลย
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มที่ไม่พอใจในวิธีการได้มาซึ่งอำนาจของ "กลุ่มอำนาจปัจจุบัน" ที่มาจากนอกกติกาประชาธิปไตย จึงมีความไม่พอใจอยู่ และมีการรวมตัวกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าการบริหารบ้านเมืองเป็นไปด้วยดี กลุ่มพลังต่างๆ ก็ไม่มีทางปลุกระดมขึ้นมาได้ แต่หากบริหารบ้านเมือง ในสภาพที่ยิ่งกว่าช่วงก่อน 19 กย 2549 ก็ย่อมจะเกิดปัญหา
ศ.ดร.อุกฤษ เห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองในด้านต่างๆขณะนี้ หนักหนายิ่งกว่าช่วงก่อนการรัฐประหารมาก และสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ก็ส่อเค้าว่าจะรุนแรงจาก 3 ปัจจัยสำคัญคือ
1. ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับว่ารุนแรงขึ้น และรัฐบาลแก้ปัญหาไม่สำเร็จ
2. คดีความที่กล่าวหาว่าหมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูง ปรากฏว่า อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ทั้งๆ ที่เป็น 1 ใน 4 เหตุผลของการยึดอำนาจ
3. การตรวจสอบทุจริต ที่ไม่ยึดหลักนิติธรรม
แม้ที่ผ่านมาหลายฝ่ายจะมองว่า คณะทหารที่ก่อการยึดอำนาจ ไม่ใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์เท่าที่ควรจนถูกเรียกขานว่าเป็น "รัฐประหารหน่อมแน้ม" ทว่าในมุมมองของ ศ.ดร.อุกฤษ กลับเห็นตรงกันข้าม โดยเฉพาะในบริบทของการตรวจสอบทุจริต ที่จะทำให้ "กลุ่มอำนาจเก่า"ไม่มีที่ยืน
"เมื่อยึดอำนาจแล้ว คณะทหารและรัฐบาลบอกว่าจะปกครองบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยยึดหลักนิติธรรม ซึ่งหลักนิติธรรมก็คือ ต้องถือว่า ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธ์อยู่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาว่ากระทำผิดจริง แต่การตั้ง คตส. แล้วออกข่าวเกือบจะเรียกว่า 3 เวลาหลังอาหารว่า คนนั้นทุจริต เรื่องนั้นเรื่องนี้โดยระบุชื่อชัดเจน แบบนี้ถือว่า ขัดหลักนิติธรรม เพราะจะผิดหรือถูกยังพิสูจน์ไม่ได้ คนพิสูจน์คือศาล ไม่ใช่ คตส."
"ถ้าสุดท้ายเหตุการณ์กลับตาลปัตร เอาผิดไม่ได้เลย ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ นี่พูดถึงอกเขาอกเรา และคนเราพอถูกกระทำอย่างนี้ เรียกว่าหลังพิงกำแพงแล้วสัญชาตญาณของคนที่มีศักยภาพต่อสู้เพื่อตัวเอง เพื่อชื่อเสียง เพื่อครอบครัวได้ และสมัครพรรคพวกก็มีจำนวนมาก เขาก็ต้องสู้"
"ที่สำคัญก็คือ ไม่มีหลักนิติธรรมที่ไหนที่เอาฝ่ายปฏิปักษ์มาสอบสวนพิจารณาความผิดของคู่กรณี ทำไมไม่ตั้งคนกลางจริงๆ เหมือนสมัย รสช. ผู้ที่เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบยึดทรัพย์สิน ในขณะนั้น คือ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ ซึ่งได้รับการยอมรับนับถือใน ความซื่อสัตย์สุจริต แต่การตั้ง คตส. สมัยนี้ผิดกัน ทำให้การยอมรับ ไม่เกิดขึ้น คนเราเวลาใครมากล่าวหาญาติพี่น้องและผู้สนับสนุนก็ต้อง เดือดร้อน ความโกรธนั้นไม่อันตราย แต่เมื่อความโกรธกลายเป็น ความแค้น นั่นแหละคือ สิ่งที่คาดหมายได้ว่าจะเกิดอะไรบางอย่าง"
อดีตประธานรัฐสภา ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมือง ยังตั้งคำถามด้วยว่า ประเทศของเราต้องการปกครองด้วยระบอบอะไร เพราะขณะนี้เรากำลังพูดคนละเรื่องเดียวกัน ขณะที่เรากำลังบอกว่าประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ถามจริงๆว่าเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยแค่ไหน
"สมมติฐานของเราก็คือ ต้องการปกครองใรระบอบประชาธิปไตยที่ดีกว่าช่วงก่อน 19 กย. แต่ขณะเดียวกันเราต้องกลับไปหาประชาชนเพื่อใช้สิทธิในระบอบประชาธิปไตย ถามว่าช่วง 1 ปี เราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความคิดทางการเมือง ของประชาชน 30-40 ล้านคนได้หรือไม่ เพราะเราให้บทเรียนใดแก่ประชาชน เราอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่เราได้อำนาจมาโดยวิธีการที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วเราจะไป เรียกร้องให้ประชาชนเป็นประชาธิปไตยได้หรือ"
"ผมคิดว่าเราต้องเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยเสียก่อน โดยเฉพาะอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ฉะนั้นในที่สุดเราจะทำอะไรก็ได้ ต้องกลับไปหาประชาชน แต่ตอนนี้เรากำลังหลงทาง กลายเป็นว่า ความคิดของคนบางกลุ่มเหนือกว่าประชาชนที่เป็นเสียงข้างมากของประเทศหรือเปล่า ถ้าเราเชื่อว่าความคิดนี้ถูก ก็ต้องเลิกเป็นประชาธิปไตย"
"อนาคตของประเทศจะล่มจม จะพัง หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ถ้าจะพังก็ประชาชนเขาเลือกที่จะพัง ทำไมเราไม่ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้วินิจฉัย ประชาชนอาจจะคิดถูกก็ได้ คิดผิดก็ได้ เราเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดว่าเรารู้ดีกว่าประชาชน ถ้าเรายึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อย่างดูถูกประชาชน อย่างคิดว่าฉันมีการศึกษา ฉันมีข้อมูลดีกว่า เพราะหลายๆ เรื่องชาวบ้านรู้ดีกว่าเสียอีก"
ศ.ดร.อุกฤษ เห็นว่าระบบการเมืองทุกวันนี้มั่วไปหมด แม้แต่หลักการพื้อฐานที่สุดที่เขียนไว่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้ อำนาจนั้นผ่านสถาบันคือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ปัจจุบันก็ดูจะถูกลืมไป"
"อำนาจการบริหาร อำนาจตุลาการจำไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่เดี๋ยวนี้ต้องไปศึกษากันใหม่แล้ว ถนนสามเลนวิ่งกันมั่วหมด ทุกคนอยากวิ่งในเลนที่ไม่ใช่ของตัว โดยเฉพาะไม่ได้รับมอบฉันทะจากประชาชน วันหนึ่งมันจะเกิด ความโกลาหลวุ่นวาย เพราะการวิ่งผิดเลน คือต้นตอของปัญหา ที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน แล้วนับวันจะรุนแรงขึ้นทุกที่ เพราะเราไม่รู้จักว่า ขอบเขตสิทธิหน้าที่ของเราอยู่ตรงไหน เขามีเส้นขีดไว้ เราข้ามเส้น ล้ำเส้นหรือเปล่า ไปคิดเอาเอง"
เขายังวิพากษ์สังคมไทยด้วยว่า คนไทยชอบเห็นอะไรสะใจ โดยที่ไม่ตระหนักว่าการทำอะไรด้วยความสะใจ จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวง
เวลาเห็นรถชน เราก็ไปมุงดูกัน การจราจรติดขัดช่างมัน หรือเห็นนักเรียนตีกัน ทีวีก็ไปทำข่าวกัน เอิกเกริก มันไม่ใช่การทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก แต่กระพือเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อความสะใจ แล้ววันหนึ่ง จะรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านทำด้วยความมันและสะใจนั้น ท่านกำลังทำลายประเทศชาติและสังคมของคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.อุกฤษ เสนอทางออกว่า เมื่อสถานการณ์ปัจจุบัน คือ ทุกฝ่ายกำลังไม่เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ถ้าถามว่าใครจะเป็นคนหยุดก่อน หรือหยุดหลังคงไม่ได้ ฉะนั้นหยุดพร้อมกัน แล้วอาศัย หลัก 4 ประการคือ 1. ยึดพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลักชัย 2. รู้รักสามัคคี 3. อาศัยหลักเมตตาะรรม 4. อาศัยหลักนิติรรม
"อะไรที่ผิดกฏหมาย หาหลักฐานมาให้ได้ แล้วส่งเข้ากระบวนการยุติธรรมเพื่อลงโทษอย่างเด็ดขาด แต่อย่ามากล่าวหากันเป็นรายวัน ถ้าทำได้ความรุนแรงก็จะน้อยลง จากนั้นก็เลือกตั้งให้เร็วที่สุด เอารัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ ตั้งคณะกรรมการดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆ ถ้าไม่เชื่อใจ กันเอง ก็ให้องค์กรเกี่ยวกับการเลือกตั้งของต่างประเทศ เขามา สังเกตการณ์ก็ได้ และเมื่อผลออกมาเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ ขอให้กฏหมายอยู่เหนือกฏหมู่ และการเมืองต้องรู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย รู้จักกติกามารยาท"
"ถ้าตราบใดยังอยากให้มีการปกครองโดยประชาชน ก็ต้องมีการเลือกตั้งเร็วๆ เดี๋ยวนี้ยุคโลกาภิวัฒน์ สากลไม่ยอมรับการปกครองระบอบอื่นอีกแล้ว นอกจากประชาธิปไตย ฉะนั้นถึงอย่างไรก็ไปไม่รอด รีบคืน ประชาธิปไตยให้ประชาชนเสีย แล้วขอให้มีความเมตตาต่อกัน ให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกระบวนยุติธรรม ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะสงบ"
คัดลอกมากจาก บทวิเคราะห์ ของ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้า 2 วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2550
Create Date : 30 เมษายน 2550 |
|
24 comments |
Last Update : 30 เมษายน 2550 9:16:02 น. |
Counter : 765 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หมอยุ่น ตามรอยพุทธทาส (moryoon ) 30 เมษายน 2550 17:16:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: smack 1 พฤษภาคม 2550 10:53:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 1 พฤษภาคม 2550 13:54:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมอยุ่น ตามรอยพุทธทาส IP: 202.149.102.4 1 พฤษภาคม 2550 17:06:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) 2 พฤษภาคม 2550 11:10:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 2 พฤษภาคม 2550 13:59:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: adventure IP: 202.5.84.246 3 พฤษภาคม 2550 1:14:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: NEZ 3 พฤษภาคม 2550 1:43:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: สอระ (สอระ ) 3 พฤษภาคม 2550 12:59:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปุ๊ค่ะ IP: 124.120.37.17 4 พฤษภาคม 2550 15:17:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 65 คน [?]
|
ทำงานราชการมีจิตใจรักชาติไม่น้อยกว่าใคร จากเดิมทำบล็อกหลากหลายที่ตนเองสนใจ ปัจจุบันเน้นแปะเรื่องราวจากภาพยนตร์ไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการตัดสินใจไปดู
|
|
|
|
|
|
|
นุทว่าน๊ะ สมัยนี้ใครพูดถูกใจเรา เราก็ชอบเค้า <ณ ช่วงเวลานั้นที่เค้าพูดตรงใจเรา> ถ้าใครพูดตรงกันข้ามกับความเห็นเรา ไม่ตรงใจเรา เราก็ด่า
จำบทบาท ของ ดร.อุกฤษ ไม่ค่อยได้แล้วค่ะ ลืมไปแล้วง่ะ