|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
หมิ่นองคมนตรี : บทความมติชน จะได้เลิกสงสัยเรื่องจาบจ้วงเสียที
ว้าก ทำไมเราเขียนไม่ได้อย่างนี้นะ ชอบม๊ากส์กับบทความนี้ ขอบอกว่ารู้สึกอย่างเขาว่าจริงๆ แต่เขียนอย่างเขาไม่ได้นี่ซิ เมื่อมาเจอบทความดีๆ เลยต้องเอามาฝากกัน สำหรับคนคอเดียวกัน คนละคอกันก็มองผ่านๆ ไปเสียเน้อ บทความนี้แอบจิ๊กมาจากห้องราชดำเนินอีกเช่นเคยค่ะ จขกท. คือคุณ ป๋าเจ้าเก่า โดยเป็นบทความของ คุณสมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เป็นบทความที่เยี่ยมจริงๆ ในความรู้สึกของ จขบ. ค่ะ เรามาติดตามกันเล้ย
กฎหมายได้ให้สิทธิและความคุ้มครองเป็นพิเศษแก่องคมนตรี ในการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะหรือไม่
ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มต้านรัฐประหารซึ่งได้มีประเด็นเกี่ยวข้องไปถึงองคมนตรีบางคน และได้ทำให้เกิดการกล่าวหาว่าบุคคลกลุ่มนี้กำลังทำในสิ่งที่ "ลามปาม" จึงควรยุติการกระทำลง รวมถึงการอ้างอิงว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายที่ต้องได้รับการลงโทษ ท่าทีดังกล่าวเป็นลักษณะของการปกป้ององคมนตรี
ในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้มีคำอธิบายที่อาจสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นว่าสถานะขององคมนตรีมีอภิสิทธิ์มากกว่าบุคคลทั่วไป แม้กระทั่งนักกฎหมายขาใหญ่บางคนก็ยังอ้างอิงในแบบเดียวกัน
ความเข้าใจในเรื่องการกระทำที่จัดว่าเป็นการหมิ่นองคมนตรี จึงควรได้รับการพิจารณาให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดการอ้างกฎหมายลอยๆ มาปิดปากบุคคลอื่นอีกในอนาคต
ในเบื้องต้น พึงต้องเข้าใจว่าสถานะขององคมนตรี ไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ เป็นพิเศษจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยสาธารณะ องคมนตรีไม่ได้รับการคุ้มครองไว้เป็นพิเศษ ในกฎหมายอาญาแต่อย่างใด
มาตรา 112 ของกฎหมายอาญา หรือที่ถูกเรียกกันว่า ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันเป็นกฎหมายที่ห้ามการดูหมิ่น หรือแสดงการอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จำกัดไว้เพียงพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น บทบัญญัติในมาตรานี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงองคมนตรีแต่อย่างใด
แม้ไม่ได้รับการคุ้มครองไว้ในกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครใคร่จะด่าก็สามารถไปยืนด่าองคมนตรี ที่หน้าบ้านได้อย่างเสรี
เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป องคมนตรีได้รับการปกป้องสิทธิตามกฎหมาย ในเรื่องของการหมิ่นประมาท โดยกฎหมายนี้มุ่งคุ้มครองบุคคล จากการถูกใส่ความซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนเอง หากมีบุคคลใดกระทำการในลักษณะดังกล่าว เช่น หากมีใครมายืนด่าหน้าบ้านว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นพวกโรคจิต หรือโกงกินจนร่ำรวย ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนได้ ด้วยการดำเนินคดีตามกฎหมาย
แต่ต้องตระหนักด้วยว่านอกจากการคุ้มครองชื่อเสียงของบุคคลจากการถูกให้ร้ายของบุคคลอื่นแล้ว กฎหมายอาญาก็ยังมุ่งคุ้มครองสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนต่อการกระทำของบุคคลต่างๆ ให้สามารถกระทำได้ หากเป็นการทำไป "เพื่อความชอบธรรม" หรือ "ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ"
เพราะฉะนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนต่อบุคคลหรือการกระทำต่างๆ จึงสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลสาธารณะหรือ การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสังคมส่วนรวม อันเป็นการแสดงความคิดเห็น ของประชาชนซึ่งถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่ง ในสังคมประชาธิปไตย องคมนตรีก็ไม่อยู่ในฐานะของข้อยกเว้นใดๆ
พูดให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือ ในการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะแล้ว องคมนตรีได้รับการคุ้มครองเฉกเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง สื่อมวลชน เอ็นจีโอ คุณชูวิทย์ คุณทักษิณ ตาสีตาสา ก็ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อยู่บนพื้นฐานของสิทธิทางกฎหมาย ส่วนข้ออ้างว่าการวิจารณ์องคมนตรีเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอาผิดในทางกฎหมายได้แต่อย่างใด
ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวซึ่งพาดพิงไปถึงองคมนตรี ประชาชนบางกลุ่มก็ได้มีการรวมตัวเรียกร้อง ให้ยุติการกระทำที่เป็นการลามปามต่อองคมนตรี
เป็นธรรมดาที่บุคคลในระดับองคมนตรีย่อมมีผู้เคารพและศรัทธา ยิ่งเป็นบุคคลที่ได้ผ่านตำแหน่งใหญ่โตของบ้านเมืองมาหลายตำแหน่งเป็นระยะเวลานานก็ไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่มีผู้ให้ความนิยมอย่างกว้างขวาง แต่ความเคารพศรัทธาส่วนตัวของบุคคลไม่ได้ทำให้เกิดสิทธิในการเอามือไปปิดปากคนอื่นๆ ไม่ให้พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นด้วย
สิทธิพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยคือ การที่บุคคลสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้โดยเคารพในความเห็นที่ไม่เหมือนกับความเห็นของตน แม้เห็นต่างกันอย่างราวฟ้ากับดิน
เช่นระหว่างคนที่เชื่อว่ารัฐประหารเมื่อ 19 กันยายนเป็นทางออกของปัญหา กับคนที่มองในด้านตรงกันข้าม แต่ไม่มีใครมีความชอบธรรมในการปิดปากอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างต้องแสดงเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อของตนออกมา
ด้วยความเชื่อว่าการแลกเปลี่ยน การถกเถียงกันด้วยข้อมูลและความรู้จะทำให้สังคมมีปัญญามากขึ้นในการพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ
ดังนั้น สำหรับบุคคลที่เคารพรักองคมนตรีอย่างสุดหัวจิตหัวใจ หากเห็นว่าข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความจริง หากแต่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีก็ควรชี้แจงแสดงเหตุผลออกมา เพื่อให้สาธารณะได้ทราบถึง "ความจริง" และในขณะเดียวกันก็อาจช่วยทำให้ฝ่ายที่กล่าวหาได้หูตาสว่างขึ้นด้วย ถ้าความรักที่มีต่อองคมนตรีเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล
ด้วยท่าทีเช่นนี้ต่างหากที่จะช่วยปกป้องเกียรติภูมิแห่งองคมนตรี มากกว่าการก่นประณามและพยายามปิดปากฝ่ายที่เห็นต่าง
ประเด็นสำคัญที่จำเป็นต้องพูดถึงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือ การกล่าวหาว่าการล่ารายชื่อเพื่อยื่นถวายฎีกาเป็นการละเมิด พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของไทยส่วนใหญ่ได้กำหนดให้การแต่งตั้งองคมนตรีเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ หมายความว่าการแต่งตั้งและการให้พ้นไปจากตำแหน่งองคมนตรี ย่อมเป็นตามพระราชอัธยาศัย
ในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณดังต่อไปนี้ (ตามมาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540)
"ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทุกประการ"
การปฏิบัติหน้าที่ขององคมนตรีจึงมีหน้าที่สำคัญสองประการ คือ การจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และการรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
ประเด็นสำคัญก็คือ สมมุติว่าหากมีการกระทำบางอย่างซึ่งประชาชนเห็นว่าเป็นการกระทำที่เหลื่อมๆ ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะขององคมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ (ขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นการสมมุติโดยที่ ไม่ได้ต้องการให้มีความหมายถึงบุคคลใดเป็นพิเศษ) ประชาชนควรจะกระทำอย่างไร
การยื่นถวายฎีกาเป็นประเพณีอันหนึ่งที่ประชาชนไทยได้ใช้เป็นวิถีทางในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมที่ตนเองประสบอยู่ ทั้งจากภัยธรรมชาติหรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การประสบกับการความทุกข์ยากในชีวิตของครอบครัว การขอพระราชทานอภัยโทษ ฯลฯ โดยทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์ว่า จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเช่นไร
การกระทำต่างๆ เหล่านี้ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดพระราชอำนาจแต่อย่างใด
เช่นเดียวกันกับการแสดงเจตนาในการรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นถวายฎีกาในกรณีขององคมนตรี หากเป็นการยื่นเพื่อขอพระราชทาน พระบรมราชวินิจฉัย การกระทำเช่นนี้ก็ย่อมไม่ได้เป็นการก้าวล่วง เข้าไปในพระราชอำนาจแต่อย่างใด ถ้าการกระทำในครั้งนี้ถูกตีความ ว่าเป็นการละเมิดพระราชอำนาจแล้ว การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องนายกฯ พระราชทาน ก็ย่อมอยู่ในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน
ในสังคมการเมืองไทย สถาบันพระมหากษัตริย์มักถูกหยิบมาอ้างอิงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน และเฉพาะหน้ามากกว่าการมุ่งปกป้องสถาบันอย่างแท้จริง
การจงใจหลีกเลี่ยงหรือละเว้นที่จะไม่กล่าวถึงเมื่อมีประเด็นที่อ้างอิงไปถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ จะไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสถาบันและสังคมไทยในระยะยาวแต่อย่างใด
//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act06160450&day=2007/04/16§ionid=0130
Create Date : 16 เมษายน 2550 |
|
11 comments |
Last Update : 17 เมษายน 2550 0:04:39 น. |
Counter : 719 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: JewNid 17 เมษายน 2550 10:56:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 17 เมษายน 2550 20:39:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 17 เมษายน 2550 20:57:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) 18 เมษายน 2550 12:15:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 18 เมษายน 2550 20:48:03 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 65 คน [?]
|
ทำงานราชการมีจิตใจรักชาติไม่น้อยกว่าใคร จากเดิมทำบล็อกหลากหลายที่ตนเองสนใจ ปัจจุบันเน้นแปะเรื่องราวจากภาพยนตร์ไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการตัดสินใจไปดู
|
|
|
|
|
|
|
เฮ้ยย ถือว่าวันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอ ??? เจ้
เห็นด้วยกับบทความนี้เหมือนกัน
ไปนอนแระ