Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

แผนที่ ความสุข และ ความสำเร็จ .... โดย หนูดี





นำมาฝาก จากเวบไทยคลินิก เช่นเคย ..




แผนที่ความสุขและความสำเร็จ


รายงานโดย :หนูดี – วนิษา เรซ:
วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552



//www.posttoday.com/lifestyle.php?id=33314


การกินเค้กสักชิ้นให้หมดเป็นเรื่องไม่ยาก...

แต่การตัดสินใจเลือกว่าจะกินเค้กชิ้นไหนดีต่างหาก ที่เป็นส่วนที่ยากที่สุด เพราะเราจะกินเค้กส้ม หรือเค้กช็อกโกแลต หรือเค้กเนยดีหนอ?

ในชีวิตของเรา การตัดสินใจเลือกว่าจะทำอะไร จะเรียนอะไร จะเลือกงานไหนที่เหมาะกับตัวเรานั้น เป็นเรื่องที่ยากที่สุดเช่นกัน

หลังจากนั้นแล้ว การใช้พลังงานทั้งหมดเพื่อพาเราไปสู่เป้าหมาย... แทบจะเป็นเรื่องเบาๆ ไปเลย หากเทียบกับการต้องตัดสินใจเลือกให้ได้ว่า... ชีวิตนี้อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร

เรามักรู้ชัดเจนว่าเราไม่ชอบทำอะไร อะไรที่เราไม่ต้องการ เช่น เราไม่ชอบเรียนเลข เราไม่ชอบฟิสิกส์ เราไม่ต้องการอยู่คนเดียว เราไม่ชอบความเหงา

แต่เมื่อโดนถามว่า “เราชอบทำอะไร เราอยากทำอะไรหรือเป็นอะไรมากที่สุด”...เรากลับตอบได้ยาก หรือ ตอบไม่ได้เลย


เราใช้เวลาในโลกนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว... แต่เราได้ลองทำหรือลองใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ หลากหลายมากพอที่จะบอกได้ว่า เราชอบหรือไม่ชอบอะไรไหมคะ?

หรือเราใช้ชีวิตไปวันๆ เรียนไปวันๆ ทำงานไปวันๆ แล้วนั่งคิดฝันไปว่า ชีวิตในรูปแบบอื่นๆ น่าจะเหมาะกับเรามากกว่า

ชีวิตในฝันของเราเป็นแบบอื่น ที่ไม่ใช่ชีวิตที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้...แต่เราก็ตอบไม่ได้ชัดเจนว่า มันจะเป็นแบบไหนกันแน่

เราเคยคิดไหมคะว่า ชีวิตที่มีความสุข ประสบความสำเร็จในรูปแบบของเราแท้ๆ ไม่ซ้ำกับใครในโลกนี้ คือแบบไหน...

เราจะทำอาชีพอะไรที่เติมเต็ม และทำให้เราอยากตื่นไปทำงานทุกวัน...ด้วยความตื่นเต้นเต็มหัวใจ

หรือเรียนปริญญาอะไรดีที่แสนจะเหมาะกับเรา และทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้ด้วย จะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ที่ไหน...ที่ทำให้เรามีความสุขได้มากที่สุด

ถ้าเรานั่งเดาไปเรื่อยๆ คงไม่มีประโยชน์อะไร...


ในวันนี้หนูดีเลยจะขอชวนมาลงมือทำ “แผนที่ความสุขและความสำเร็จ” ของตัวเราเองดีกว่า เพราะถ้าเราเดินแบบไม่มีแผนที่ ต่อให้เราถึงจุดหมายแล้ว...เราก็ยังไม่รู้อยู่ดี คงน่าเสียดายน่าดู

ลองหาเวลาว่างๆ แล้วเอากระดาษเปล่าสักแผ่นมาวางตรงหน้า...แล้วเขียนสิ่งที่เรา “อยากทำมาก” ในชีวิตนี้ลงไปสัก 50 ข้อได้ไหมคะ...

ตัวเลข 50 อาจจะดูมากไป และอย่าห่วงว่าเราไม่ได้มีครบในตอนนี้ แต่ลองระดมสมองดูเล่นๆ ก็ไม่เสียหายนะคะ แล้วค่อยมาคัดออกหรือเติมเข้าทีหลังก็ได้

ให้โอกาสหนูดีลองเริ่มต้นให้นะคะ เช่น ออกกำลังให้มากขึ้น ไปเที่ยวอิตาลี ทำงานที่ได้เงินเดือนเยอะกว่านี้สองเท่า เลิกสูบบุหรี่ มีลูกอีกคน ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เก็บเงินทุกเดือน เรียนวาดสีน้ำ หมดหนี้สิน เริ่มต้นธุรกิจตัวเอง ไปปีนเขา เรียนปริญญาตรีให้จบ ซิตอัพวันละร้อยครั้ง เรียนดำน้ำ แต่งงาน เลิกกับแฟนคนนี้ เลิกผัดวันประกันพรุ่ง ฯลฯ


แผนที่ความสุขและความสำเร็จของเรา...เราต้องเป็นคนกำหนดเอง เพราะคนอื่นในโลก ต่อให้รักเราแค่ไหน ก็ไม่มีวันจะรู้ลึกเข้ามาในใจของเราได้ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ไม่แม้กระทั่ง พ่อแม่ แฟน เพื่อนสนิท สามี ภรรยา ลูกๆ... แต่แม้แต่ตัวเราเอง บางครั้งก็ยังไม่รู้จักตัวเองเท่าไรด้วยซ้ำไป...

นาทีนี้เราตอบได้เลยไหมคะว่า “อะไรทำให้เรามีความสุขที่สุด”... อยากตอบได้ อาจต้องลองทำอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น และใช้เวลาสงบๆ กับตัวเองให้มากกว่านี้

ปัญหาของคนเราทุกวันนี้คือ ทำสิ่งเดิมซ้ำๆ บ่อยไป และไม่ค่อยมีเวลานั่งลงตกตะกอนนิ่งๆ กับตัวเอง...

เรามักทำงานหนักและดูโทรทัศน์มากเกิน ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วย “เสียงของคนอื่น” และ “เป้าหมายของคนอื่น” จนเราตอบไม่ได้ว่าเป้าหมายชีวิตเราคืออะไร


เมื่อเราลองเขียนแผนที่แล้ว รู้ไหมคะว่ามันสามารถถูกเปลี่ยนแปลง ยกเลิก แก้ไข เพิ่มเติมได้เสมอ เพราะชีวิตเรามีแต่จะหมุนไป เปลี่ยนไป...คนรอบตัวเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน โอกาสเปลี่ยน

เพราะฉะนั้น แผนที่ก็เป็นแค่แผนที่เท่านั้น...เป็นเหมือนสิ่งนำทาง แต่หากตัวเราเปลี่ยน...เส้นทางก็เปลี่ยนไปเสมอ

แต่ถ้าไม่มีแผนเลย... แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะว่าเราอยู่บนเส้นทางหรือกำลังเปลี่ยนเส้นทางอยู่

แผนที่ความสุขและความสำเร็จ เป็นหน้าที่ที่เรามีทั้งต่อโลกนี้ และต่อตัวเอง...เพราะโลกนี้ต้องการคนที่มีความสุข และ สิ่งสุดท้ายที่โลกนี้ต้องการคือ คนเก่ง คนประสบความสำเร็จ ที่ไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว

ความสุขของคุณคือของขวัญที่ดีที่สุด ที่คุณมอบให้โลกใบนี้ และเริ่มต้นได้วันนี้เลย ด้วยการลองเขียน “แผนที่ความสุขและความสำเร็จ” ประจำตัวเรา

และค่อยๆ เลือกข้อที่เหมาะกับเราขึ้นมาทำก่อน ...แล้วคราวหน้ามาดู “แผนเก้าสิบวัน” กันดีกว่าค่ะว่า...เราจะเริ่มต้นง่ายๆ ได้อย่างไร

ส่งโดย: ppom




ปล. น่าสนใจ ลองทำดูเหมือนกันนะครับ ไม่ยาก ...





 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 18:30:55 น.   
Counter : 1622 Pageviews.  

@ เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา @ ... โดย หนูดี

นำมาฝาก จาก เวบไทยคลินิก .. อีกแล้ว ครับท่าน ...



@ เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา @


รายงานโดย :หนูดี - วนิษา เรซ:

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552



บทความดีๆนำมาฝากจาก //www.posttoday.com/lifestyle.php?id=32148


รู้ไหมคะว่า เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา

เป็นที่ยอมรับว่า ฮอร์โมนชนิดต่างๆ ที่หลั่งออกมาในสมอง มีผลโดยตรงกับพฤติกรรมของเรา และเราฝึกพฤติกรรมใดบ่อย...

สิ่งนั้นก็สะสมเป็นนิสัย ถ้าเราอยากมีสมองดี เราก็ฝึกพฤติกรรมดีๆ จนติดเป็นนิสัยดีๆ ก็จะช่วยดูแลสมองของเรา...

เทคนิคการดูแลสมองมีง่ายๆ เท่านี้เอง



นักวิจัยทางสมองก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น คอร์ติซอล เมื่อหลั่งออกมาบ่อยๆ เป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานแล้ว มีผลทำให้เซลล์และเส้นใยสมองถูกทำลายจนเสื่อมคุณภาพ และยิ่งเกิดขึ้นยาวนานเท่าไร การทำลายล้างก็กินวงกว้างและมีผลถาวรมากขึ้นเท่านั้น และที่ควรกังวลก็คือ ส่วนของเซลล์สมองที่ถูกพุ่งเป้าไปทำร้ายโดยฮอร์โมนนี้ มีส่วนของ “ฮิปโปแคมพัส” อยู่ด้วย


ทำไมเราต้องกังวลกับฮิปโปแคมพัสกันด้วยเล่า...

ตอบได้แบบง่ายๆ เลยก็คือ ส่วนนี้ของสมองเป็น “เครื่องบันทึกความจำ” ของเราค่ะ

ฮิปโปแคมพัสทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างวันลงสู่ “ความทรงจำระยะยาว” ให้เราในเวลาที่เรานอนหลับ

ดังนั้น หากเซลล์ในนี้ถูกทำลาย ก็หมายได้เลยว่าเราจะเป็นคนจำไม่แม่น เลอะๆ เลือนๆ ลืมนั่น ลืมนี่ เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยได้ หรือได้หน้าลืมหลัง

ถ้าทำงานก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ทำกุญแจรถหายเป็นประจำ และอีกสารพัดเรื่องน่าอึดอัดขัดใจที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของ “คนความจำไม่ดี”

ใครๆ ก็อยากเป็นคนจำเก่ง จำแม่น เรียนอะไรฟังอะไรครั้งเดียวก็จำได้...

และไม่แปลกที่เด็กเรียนเก่ง และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนมีความจำดีเลิศทีเดียว...



เรื่องการฝึกความจำนั้น เป็นเรื่องที่เราทำได้ และสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ

ด้วยการเห็นภัยของการมีความทุกข์สะสม ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

เห็นภัยของการกอดทุกข์ ภัยของความเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมให้อภัยใคร

เรามักคิดว่า “ถ้าเราให้อภัยเขาง่ายๆ เขาก็ไม่ต้องชดใช้ความผิดสิ”

แต่ขอให้มองในมุมกลับกันว่า...

ยิ่งเราคิดแค้นเขานานเท่าไร เท่ากับเราไปสร้างโรงงานปล่อยสารพิษ (สารคอร์ติซอล) ออกมาในสมองเรื่อยๆ เพื่อทำลายสมองของตัวเอง...

ส่วนอีกคนที่เราโกรธนอนสบายอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีแต่เราที่นอนปล่อยสารเคมีพิษออกมาทำลายเซลล์สมองอันมีค่าไป ทีละเซลล์ ทีละเซลล์



ดังนั้น การให้อภัยจึงไม่ใช่เรื่องของการ “ทำดีให้คนอื่น” แต่เป็นการเมตตาสมองก้อนน้อยๆ ของเราเต็มๆ ด้วยการรู้เท่าทันกระบวนการหลั่งสารเคมีตามธรรมชาติของสมอง

และไม่ยอมให้ใครในโลกมาเป็นเหตุให้เราทำลายสมอง ที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา

เพราะ “ทุกครั้งที่เรายอมให้ทุกข์เกาะกินใจ นั่นคือเราให้ใบอนุญาตร่างกายให้ทำลายสมองทุกๆ นาที”

แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ความเครียดและความทุกข์ในระยะสั้นๆอาจให้ผลตรงกันข้ามเลยทีเดียว คือ....

ยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีด้วยซ้ำ เช่น ความเครียดอ่อนๆ ในระยะก่อนสอบ ยิ่งทำให้เราอ่านหนังสือได้ดีขึ้น จำได้แม่นขึ้น

เพราะสารเคมีที่หลั่งออกมาสำหรับความเครียดในระยะสั้นนั้น ชื่อว่า “อะดรีนาลิน” ซึ่งเป็นคนละตัวกับฮอร์โมนความเครียดระยะยาว

แม้ “อะดรีนาลิน” จะไม่ใช่สารบำรุง แต่ในระยะสั้นก็ช่วยกระตุ้นให้เราทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นทันเวลาเส้นตายนะคะ ไม่ดีแต่ก็ไม่ร้าย...มีใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉินได้ค่ะ

เมื่อความทุกข์ทำให้เราฉลาดน้อยลง แต่เมื่อความสุขบำรุงสมอง...ก็ทำให้เราฉลาดขึ้น



อีกด้านหนึ่งของเหรียญอารมณ์ คือ ความสุข ก็สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงให้เราฉลาดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

คนที่มีความสุขมากๆ นอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี ดวงตาใสแจ๋วแล้ว...

ลึกเข้าไปในสมองของเขา หากเรามีตาทิพย์เห็นได้เหมือนเครื่องสแกนสมองของโรงพยาบาล

เราก็จะเห็นว่าภายในนั้นกำลังมีสารเคมีดีๆ หลั่งออกมาบำรุงสมองอยู่เป็นจำนวนมาก

โครงสร้างของเส้นใยสมองก็วางรูปแบบทางเดินใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เรา “อารมณ์ดี”

ยิ่งเราอารมณ์ดีมีสุขนานเท่าไร เราก็ยิ่งมีเส้นใยดีที่ช่วยส่งผ่าน “ข้อมูลความสุข” มากขึ้นเท่านั้น

สารอารมณ์ดีเหล่านี้ ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน...

ใครที่ตื่นมาสดชื่น แจ่มใสก็รู้ตัวว่าวันนั้นเขาสามารถทำงานได้ดีกว่าวันที่อารมณ์ขุ่นมัว

ยิ่งเราอารมณ์ดีบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย และยิ่งเราอารมณ์เสียบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์เสียง่าย...

เหตุผลที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ไม่ยากก็คือ ยิ่งเราทำพฤติกรรมใดบ่อย สมองเราก็ยิ่งสร้างเส้นใยสมองในเรื่องนั้นๆ ออกมาเยอะ ทำให้เราทำเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆ ไป

สังเกตไหมคะว่า คนอารมณ์เสีย ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งอารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น

ในขณะที่คนอารมณ์ดียิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งดูอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น

นั่นเป็นเพราะยิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยจนติดเป็นนิสัย ก็ยิ่งทำให้เส้นใยสมองสร้างออกมาเยอะในเรื่องนั้น...และเราก็เป็นคนแบบนั้นใ นที่สุด

แล้ววันนี้ ผู้อ่านของหนูดีฝึกพฤติกรรมอะไรจนติดเป็นนิสัยบ้างคะ?



ส่งโดย: ppom




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 19:53:40 น.   
Counter : 1093 Pageviews.  

นิทาน ... ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา





นิทานเรื่อง 'ตะเกียงวิเศษ'



กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียงก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่



ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า 'ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน'



ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดี และเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่ง

อยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า 'นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย'



ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า 'ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่' ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่า ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ



ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้ 'สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง' ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา 'ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง' เขาสั่งต่อไป ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา



'ฉันต้องการ.....' เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มต้นวิตกว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้ เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา



ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด



เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอ ถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา



ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา



ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่สามารถ ควบคุมยักษ์ตนนั้นได้ และ สามารถ ทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้






ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไรจะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของเรา
เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธ และความอิจฉา เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเรา เช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา

เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น เราก็สามารถ ใช้ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน




หมายเหตุ : นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้ คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร. อาจอง

ชุมสาย ณ อยุธยา



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





เรื่องที่ 2



ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่ สามารถ รักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างๆ ก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้ แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้



อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ



ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า 'โธ่เอ้ยวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป'


เศรษฐีดีใจมาก และคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคน มาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยัง ซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของ ฤาษี อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น



สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า 'หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน'

ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด



ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า 'ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมาย เพื่อ เปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว'



หาก เราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง

เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน



เรื่องจาก การพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์

โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





เรื่องที่ 3 +++... หาความสุขได้ที่ไหน...+++



ใน ตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆ เสาไฟฟ้าข้างถนน สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ เลยถามขึ้นว่า 'ยาย..ยาย.. ยายกำลังหาอะไรอยู่?'



หญิงชราผู้นั้นตอบว่า 'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ' พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย



'ยาย..ยาย.. ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน' ยายตอบว่า 'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า


'... พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป





เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป

มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่น



ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน?



คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา จากใจเรา ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา



แหล่งที่มา : จาก 'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





เรื่องที่ 4


มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง

'เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร'



สามีก็ตอบว่า 'อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน' แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า 'เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว'



อยู่มาวันหนึ่งภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ 'ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีใดซักผ้า'



สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า 'นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก'



'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็ยังถือเป็นภาระทางจริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ ...


โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา










 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2552 18:14:25 น.   
Counter : 1847 Pageviews.  

.. แล้ว เรา จะเลือก มอง แบบไหน ...





นำมาฝาก จากเวบไทยคลินิก ...




เรื่องราวที่คุณกำลังจะอ่านนี้ ช่างงดงาม

ขอใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เพื่อที่คุณจะได้อ่านเรื่องนี้ แล้วความคิดของคุณจะเปลี่ยนไป



ชาย2คน ป่วยหนักทั้งคู่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ห้องเดียวกัน

ชายคนแรก ได้รับอณุญาติให้ลุกนั่งได้วันละ1ชั่วโมงในช่วงบ่าย เพื่อช่วยระบายของเหลวในปอด เตียงของเขาอยู่ติดกับหน้าต่าง ซึ่งมีเพียงบานเดียวในห้องนั้น

ส่วนชายอีกคน หมอให้นอนราบตลอดเวลา...อยู่บนเตียง

ชายทั้งสองที่ร่วมห้องกัน ได้คุยถึงเรื่องราวชีวิตของตน พวกเขาเล่าให้กันฟังถึงเรื่องภรรยา เรื่องครอบครัว เรื่องบ้าน การงาน เรื่องสมัยเมื่อถูกเกณฑ์ทหาร เรื่องที่ไปเที่ยวที่ต่างๆในวันพักร้อน

ทุกวันในช่วงบ่าย ชายที่นอนริมหน้าต่างจะบรรยายให้เพื่อนร่วมห้องฟังว่า มีอะไรเกิดขึ้นภายนอกบ้าง ชายคนที่นอนราบอยู่ก็รู้สึกดีขึ้นจากเวลาแค่ 1 ชั่วโมงที่เพื่อนที่นอนริมหน้าต่างบรรยายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า เขาได้ดำเนินชีวิตตามปกติ โลกของเขาดูกว้างขวางขึ้นและมีชีวิตชีวาขึ้น จากกิจกรรมหลากสีสันของชีวิตที่ดำเนินไปในโลกภายนอก

ชายที่ได้รับโอกาศให้ลุกนั่ง ได้บรรยายให้ชายที่นอนราบตลอกเวลา เห็นภาพว่า หน้าต่างที่มองออกไป เห็นทะเลสาบที่สวยงาม ฝูงเป็ดและหงษ์ลอยล่องอยู่บนน้ำ ในขณะที่เด็กๆเล่นเรือใบจำลอง คู่รักวัยเยาว์เดินจูงมือกัน มีดอกไม้สีสันสวยงามเบ่งบานอยู่รอบๆและเห็นตึกรามที่ทันสมัยของตัวเมืองอยู่ ไกลๆ

ในขณะที่ชายที่นอนริมหน้าต่างบรรยายให้เพื่อนๆฟังถึงรายละเอียดต่างๆด้านนอก ชายที่นอนราบอยู่ก็หลับตาลง จินตนาการให้เห็นภาพตามไป

ยามบ่ายวันที่อบอุ่นวันหนึ่ง ชายที่นอนอยู่ริมหน้าต่างได้เล่าว่า มีขบวนพาเหรดขบวนหนึ่งกำลังเดินผ่านไป

แม้ว่าชายอีกคนไม่ได้ยินเสียงของขบวนพาเหรดนั้นเลย แต่เสมือนเขาสามารถได้รับฟังและแลเห็นได้จากคำบรรยายที่พรรณนาได้อย่างละเอี ยดละออของเพื่อนที่อยู่ริมหน้าต่าง



วันเวลา เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ผ่านไปเช่นนั้น

เช้าวันหนึ่งเมื่อพยาบาลจะเข้าไปดูแลคนไข้ พยาบาลเวรเช้าได้พบร่างที่สงบนิ่งไร้ชีวิตของชายที่นอนริมหน้าต่าง เขาได้จากไปอย่างสงบขณะนอนหลับ เธอเศร้าใจมาก และได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายฌาปนกิจมารับศพของเขาไป

เมื่อการจัดการศพผ่านไปเรียบร้อย ชายที่เป็นเพื่อนร่วมห้องได้เอ่ยปาก ขอย้ายเตียงไปนอนที่ริมหน้าต่างแทนเพื่อนผู้จากไปของเขา พยาบาลรู้สึกดีที่ได้มีการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ และเมื่อจัดที่ทางให้คนไข้เรียบร้อย เธอก็ออกไปจากห้อง ทิ้งให้เขานอนที่ตียงใหม่คนเดียว

ชายผู้ซึ่งต้องนอนราบกับเตียงเป็นเวลานาน ได้พยายามยันร่างของเขาขึ้นด้วยศอก แม้มันจะเจ็บปวดและยากลำบาก ด้วยความกระหายที่จะมองเห็นโลกภายนอกด้วยตาของตนเอง และ....เมื่อเขายันกายขึ้นมองผ่านหน้าต่างไปได้....

เขากลับเห็นเพียงแค่....ผนังตึกว่างๆ!!!

ด้วยความข้องใจ..เขาได้ถามพยาบาลผู้ดูแลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้องผู้เพิ่งจาก ไป..ผู้ซึ่งได้พรรณนาถึงความงามของโลกภายนอกที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นให้เขาฟัง

นางพยาบาลเล่าว่า...ชายผู้เพิ่งจากไปนั้น ที่แท้เป็นคนตาบอด ไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นว่ามีผนังว่างเปล่านอกหน้าต่างบานนี้ เธอบอกว่า

“ที่เขาเล่าให้คุณฟังถึงโลกภายนอกที่สวยงามนอกหน้าต่างนั้น อาจเพราะแค่อยากให้กำลังใจคุณ”



เรื่องนี้บอกเราว่า

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในโลก ที่เราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุข ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

การแบ่งปันเรื่องทุกข์ใจให้คนอื่นรับรู้ อย่างมากก็ลดความทุกข์ของเราไปครึ่งหนึ่ง

แต่ถ้าแบ่งปันความสุขที่เรามีให้คนอื่น เราก็สุข..เขาก็สุข..ความสุขก็จะเป็น2เท่า



ถ้าเราอยากรู้สึกว่ารวย..จงอย่านับแต่เงินและทรัพย์สินที่มี จงนับสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขที่เงินไม่สามารถซื้อหาได้..เข้าไปร่วมด้วย.


‘Today is gift,that is why it is called The Present.’




จาก FW mail ถ้าซ้ำก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ

ส่งโดย: DrT031








 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2552 20:00:59 น.   
Counter : 1391 Pageviews.  

น่าเสียดาย......ที่.....







น่าเสียดาย.....ที่


ว.วชิรเมธี





น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ


น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง


น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป


น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง


น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา


น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา


น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด


น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า


น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา


น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด


น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊


น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า


น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา


น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนไม่ดีตลอดกาล


น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก


น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน




จาก : //www.dhammajak.net/dhamma/11.html






 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 18:42:32 น.   
Counter : 1227 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]