|
|
|
เรื่องเล่าจากคุณหมอคนหนึ่ง .... โดย : น.พ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ จ.ปัตตานี
เรื่องเล่าจากคุณหมอคนหนึ่ง
โดย : น.พ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ จ.ปัตตานี
"จุกในลำคอ" คืออาการแรกหลังอ่านบรรทัดสุดท้ายจบ งานเขียนชิ้นนี้แม้ไม่ได้มาอย่างมืออาชีพ หากบีบหัวใจด้วยภาษาเรียบง่ายจาก "คุณหมอ"...คนหนึ่ง
แดดคล้อยแล้ว แสงสีทองยามนี้แลดูล้าเต็มที แรงแดดที่เคยแผดเผาทุกสิ่ง จนต้องหาที่ซ่อนเร้น ยามนี้แสงของมันกลับอ่อนแรงจนไม่สะท้านผิวเลย
...อ่อนแรงเหมือนผมเวลานี้ หลังสิ้นเสียงหนึ่งกระทบโสตประสาท
"หมอคะ พบศพโดนเผาค่ะ" สีหน้าพยาบาลสาว เจ้าของเสียงดูแตกตื่นระคนกังวล สมองของผมพลุ่งพล่านไปด้วยคำถามมากมาย ใครกันนะที่ถูกเผา เป็นคนรู้จักหรือเปล่า แล้วเกิดเหตุการณ์ได้อย่างไร ทำไมผมต้องมาประสบกับเรื่องบ้าๆ ซ้ำซากแบบนี้ด้วย ทำไมผมต้องเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินในวันนี้
นึกย้อนถึงรุ่งอรุณ ยามที่แสงแดดอ่อนๆ เริ่มฉาบฉาย สีเขียวอ่อนแก่ของใบไม้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ลมที่พัดมาแผ่วเบาสัมผัสร่างกายจนรู้สึกถึงความเย็นสบาย นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเช้าวันจันทร์ งานวันนี้เริ่มต้นด้วยการดูแลรักษาผู้ป่วยที่นอนในโรงพยาบาล เสร็จแล้วจึงออกตรวจผู้ป่วยนอกที่คาดคะเนได้ว่า มากพอที่จะทำให้หมอสองคนนั่งตรวจตลอดจนถึงเที่ยงโดยก้นแทบไม่ขยับลุกจาก เก้าอี้เลย
เวลาก้าวกระโดดมาหยุดนิ่งในเหตุการณ์ปัจจุบัน ผมกำลังประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมอหิวาตกโรคที่ระบาดอยู่ในพื้นที่ เสียงพยาบาลสาวที่แทรกขึ้น ทำให้ต้องรีบจบการประชุม ต่างคนต่างแยกย้ายกันด้วยความแตกตื่นเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ชั่วพริบตาเดียว ผมก็มายืนอยู่ในห้องฉุกเฉินพร้อมพยาบาลเตรียมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวของศพที่ถูกเผา ได้ความว่า ผู้ตายเป็น คุณครูผู้ชายท่านหนึ่ง ทำงานในพื้นที่แห่งนี้ฟูมฟักและสร้างลูกศิษย์มาหลายสิบรุ่น เป็นบุคลากรเก่าแก่ท่านหนึ่งที่เสียสละทำงานมายาวนานในดินแดนอันกันดารและ เสี่ยงภัย นานจนเป็นที่รักของชาวบ้าน จนคาดไม่ถึงว่าวันนี้จะต้องมาจบชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ขณะเดินทางกลับบ้านในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา
ขณะรอการเคลื่อนย้ายศพจากจุดที่เกิดเหตุ ผมตรวจรักษาผู้ป่วยที่ห้องฉุกเฉินไปพลางๆ นาฬิกาบนผนังบอกเวลาทุ่มเศษ ศพครูผู้เสียสละก็ยังไม่มา อาจเนื่องจากความยากลำบากและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจกลับบ้านพัก ตามคำเรียกร้องของกระเพาะอาหารและความแห้งผากของริมฝีปากและลำคอ จำได้ว่ามันได้น้ำหยดท้ายสุดไปเมื่อช่วงเที่ยงวัน มือที่ยกแก้วน้ำจึงสั่นราวกับเป็นน้ำดื่มแก้วแรกกลางทะเลทราย
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น "หมอคะ ศพเคลื่อนมาถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ" เสียงคุ้นหูที่ไม่อยากได้ยินเลยในเวลานี้
เหมือนไม่รู้ตัว ตอนนี้ผมกำลังเดินไปที่โรงพยาบาล เท้าที่สาวไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดสลับแสงไฟเป็นระยะๆ เค้าลางของต้นไม้ทรงพุ่มข้างทางที่ดูเป็นระเบียบสวยงามสะกิดให้ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นในใจอย่างมากมาย ภาพอดีตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาช่างแจ่มชัดจนเหมือนว่าผมกำลังอยู่ในเหตุการณ์ นั้นอีกครั้ง เหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอ
* เรื่องของใหญ่
ภาพชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวสีแทน หน้าตาซื่อๆ แบบคนชนบททั่วไป พูดน้อย แต่ความขยันกลับไม่น้อยตามคำพูด ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดทักทายทุกคนอย่างจริงใจ จนเป็นที่รักของทุกคนในโรงพยาบาล เขาชื่อ ใหญ่ เป็นคนสวน
ผมกับใหญ่คุยกันน้อยมาก แต่กลับรู้สึกสนิทกันอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่ทักทายกันทุกเช้า
ทันใดนั้น ภาพผมกำลังใช้อุ้งมือกดที่หน้าอกเพื่อปั๊มหัวใจช่วยชีวิตใหญ่กลับผุดแทรก ขึ้น ใหญ่โดนยิงขณะขี่รถมอเตอร์ไซด์มาทำงานในตอนเช้า แต่เป็นเช้าที่เช้ากว่าปกติ เพราะมีงานค้างอยู่มาก ใหญ่จึงมาเช้าเป็นพิเศษ หลังทราบข่าวว่าใหญ่ถูกนำส่งโรงพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุ ผมจึงตามไปดูอาการ
ผนังหน้าอกของใหญ่ส่งเสียงดังกรึ๊บกร๊าบตามแรงมือของผมที่กดลงบนผนังปอด ที่ถูกยิงทะลุจนลมรั่วออกแทรกตัวอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในหูผม ใบหน้าของใหญ่ที่คอยยิ้มแย้มตลอดเวลาดูอ่อนล้าเต็มที
หัวใจใหญ่หยุดเต้นแล้ว แต่ผมยังไม่หยุด ผมยังปั๊มหัวใจอยู่ด้วยความหวัง ..หวังจะให้หัวใจของคนดีคนหนึ่ง กลับมาเต้นใหม่ หวังจะเห็นรอยยิ้มของใหญ่กลับมาทักทายผมทุกเช้าอีก ผมต้องพยายามเต็มที่ เหงื่อบนใบหน้าผมหยดลงบนหน้าอกใหญ่ หยดแล้วหยดเล่า ไม่ต่างไปจากน้ำตาที่มีให้เพื่อนที่ลาจากไป
...ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง รอยยิ้มนั้นหายไปกับกระสุนปืนที่วิ่งผ่านร่างของใหญ่ไปในเช้าวันนั้น
* คิดถึง "อัมรัน"
ภาพพยาบาลหนุ่มที่ชื่อ อัมรัน ปรากฏชัดเจนไม่แพ้ภาพของใหญ่ หนุ่มร่างท้วม มีเคราน้อยๆ ผิวคล้ำ บุรุษผู้เสียสละท่ามกลางเพื่อนพยาบาลสาว อาสามาอยู่แทนในอำเภอแห่งนี้ที่กันดารและเสี่ยงภัย เป็นพยาบาลน้องใหม่อยู่มาประมาณ 1 ปี อัมรันเป็นผู้ชายนิสัยดี คอยช่วยเหลือพี่ๆ พยาบาลเท่าที่ตัวเองทำได้ จนเป็นที่รัก และเมื่อข่าวอัมรันถูกยิงมาถึงโรงพยาบาล ผู้ที่อยู่เวรวันนั้นแทบช็อก บางคนถึงกับร้องให้โฮ ส่วนผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
"ทำไม" ผมเปรยกับตัวเอง แม้รู้ว่าไม่มีคำตอบ แต่คำถามนี้กลับยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด จนผมมายืนอยู่หน้าศพอัมรัน บรรยากาศมีแต่ความโศกเศร้า การจากอย่างกะทันหันย่อมนำไปสู่การทำใจไม่ได้ของผู้เป็นพ่อแม่ เสียงร้องไห้ปนเสียงสะอื้น ช่างรันทดเหลือเกิน
ขณะกำลังอาบน้ำศพก็พบว่า แผลที่ถูกยิงบริเวณกลางหลังมีเลือดไหลไม่หยุด ราวกับจะฟ้องคนที่ยิงว่าเจ้าของเลือดยังไม่อยากหยุดชีวิตที่ยังหนุ่มแน่นไว้ แค่นี้ ความฝันของคนเพิ่งจบการศึกษาที่อยากทำอะไรมากมาย ไม่อยากหยุดที่ตรงนี้
สีแดงของเลือดดูร้อนแรง ราวกับจะบอกว่า เขายังมีพลังมากมาย พลังที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่นตามวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ทำไมต้องมาทำกับเขาแบบนี้
ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้ตกแต่งศพยังไม่สามารถหยุดการไหลของเลือด ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามต่อได้ จนผมต้องมาเย็บแผลนั้นด้วยมือของผมเอง
...คิดถึงทั้งใหญ่ และอัมรันแล้ว ผมรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างที่เดินอยู่นั้นมันล้าเต็มที
ภาพศพอื่นๆ อีกมากมายยังประดังมาไม่ขาดสาย ศพทหารผู้กล้าที่โดนยิง โดนระเบิด แล้วต้องจบชีวิตบนปลายด้ามขวานนี้ ภาพศพของชาวบ้านที่รู้จัก ทำไมมันมากมายจนผมนับตามไม่ไหว เหนื่อยเหลือเกิน
* ธงชาติแด่คุณครู
ภาพต่างๆ หยุดฉายลงพร้อมเท้าที่หยุดชั่วขณะ ผมมาถึงตัวโรงพยาบาลแล้ว แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี
ศพที่ปรากฏเบื้องหน้า นอนอยู่บนเปลหน้าห้องฉุกเฉิน ไม่สามารถเข็นเข้าไปในห้องได้ อันเป็นผลจาก แขนทั้งสองข้างของร่างที่ไร้วิญญาณ กางออกกว้างและแข็งเกร็งจากเปลวไฟที่เผาไหม้จนเอ็นและกล้ามเนื้อทั้งตัวแข็ง ตึงจนไม่สามารถดัดงอได้
สภาพศพที่ดำเกรียมโดยเฉพาะส่วนศีรษะที่ถูกเผาจนไม่เหลือสภาพเดิม ผสมผสานกับกลิ่นไหม้ฉุนคลุ้งไปทั่ว กลิ่นแรงจนชวนอาเจียน
ศพที่น่าอเนจอนาถนี้ย่อมไม่เหมาะที่จะตั้งไว้ประเจิดประเจ้อ ผมจึงให้คนงานเข็นเปลเคลื่อนย้ายศพเข้าในห้องเอ็กซเรย์ที่ประตูกว้างพอ แล้วผมก็เริ่มขั้นตอนการพิสูจน์ศพ โดยมีพยาบาลคอยจดบันทึกลักษณะบาดแผลตามคำบอกของผม
ผมเพ่งพินิจมองศพอย่างตั้งใจ ไล่เรียงตั้งแต่ส่วนศีรษะลงไป เห็นส่วนกะโหลกศีรษะซ้ายหลุดหายไปประมาณอุ้งฝ่ามือเนื่องจากแรงกระสุน เปิดให้เห็นเนื้อสมองสีขาวปนไขมันเยิ้ม เนื้อก้อนนี้เคยทำให้ร่างไร้วิญญาณร่างนี้อ้าปากสั่งสอน ยกแขนหยิบชอล์คเขียนกระดานดำเพื่อบ่มเพาะคนจำนวนนับไม่ถ้วนให้มีความรู้ ใบหน้าผู้ตายไม่สามารถบอกถึงเค้าหน้าเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ได้เลย เนื่องจากแรงไฟที่ร้อนจนทำให้เนื้อหนังหายไปหมด
ถัดจากศีรษะ ก็เป็นส่วนลำตัว แขน และขาที่ถูกเผาจนไหม้ ยกเว้นส่วนมือและแขนท่อนล่างขวาที่ไม่โดนเผา นับว่าโชคดี เพราะลายนิ้วมือบนมือขวาข้างนี้จะช่วยพิสูจน์ตัวบุคคลได้
ปัญหาใหญ่ต่อมาหลังพิสูจน์ศพก็คือการตกแต่งศพ เพราะหากญาติมาเห็นสภาพศพตอนนี้คงทำใจไม่ได้ แต่ตอนนี้พยาบาลมา รวมตัวกันไม่น้อย เมื่อมีกำลังคนมากขึ้นการแต่งศพกลับไม่ยากอย่างที่กังวล กระบวนภาพแห่งความร่วมมือร่วมใจเริ่มจากการนำผ้ามาผูกบริเวณขาที่กางออก เนื่องจากขากางออกไม่มากเท่าแขนจึงผูกให้ชิดกันได้ง่าย แล้วจึงจัดแจงใส่เสื้อผ้าผู้ป่วยของโรงพยาบาลให้กับผู้ตาย เนื่องจากญาติไม่ได้นำเสื้อผ้ามาด้วย
เสื้อใส่ลำบากมาก แม้จะเป็นเสื้อโรงพยาบาลที่สวมใส่ได้ง่ายโดยสอดแขนทีละข้างแล้วผูกเชือกตรง กลาง แต่ด้วยความกว้างและแข็งตึงของแขนทั้งสองข้าง กว่าจะใส่ได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน นี่หากญาติเอาเสื้อผ้าของผู้ป่วยมาก็คงใส่ให้ไม่ได้แน่
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เราจึงค่อยมาผูกมืออันเป็นขั้นตอนที่ยากสุด ต้องค่อยๆ ดันแขนทั้งสองข้างเข้าหากัน ถ้าดันหรือดัดแรงเกินไปอาจทำให้ข้อต่อบางส่วนที่ถูกไฟเผาจนเนื้อกรอบเกรียม นั้นหักหรือหลุดออกได้ แต่เราก็ผูกมือทั้งสองเข้าหากันจนสำเร็จด้วยความตั้งใจและประณีต ไม่มีชิ้นส่วนที่หักหรือหลุดเลย
ขณะช่วยกันทำอยู่นั้น ผมสังเกตว่าพวกเราทุกคนมีความตั้งใจจะช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ได้มีเส้นแบ่งของคำว่าศาสนา ไม่มีเส้นแบ่งของคำว่าพุทธหรือมุสลิม ไม่มีเส้นแบ่งทางวัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์ และไม่มีความรังเกียจใดๆ ให้เห็นเลย
เมื่อศพห่อด้วยผ้าขาวแล้ว เราก็ช่วยกันกางผืนธงชาติห่มร่างครูผู้ล่วงลับ มองดูเหมือนมีพลังอย่างน่าประหลาด ธงชาติอันประกอบด้วยสีแดง ขาว น้ำเงินคล้ายจะรวมเอาจิตวิญญาณของผู้กล้าผู้เสียสละทั้งหมดไว้ที่ผืนธงชาติ ผืนนี้ ช่างเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีสำหรับข้าราชการผู้ล่วงลับไปแล้ว
สักพักหนึ่ง นายอำเภอพร้อมด้วยญาติผู้ตายเดินทางมาถึง นายอำเภอแนะนำผมให้รู้จักกับพ่อของครู สีหน้าท่านเคร่งขรึม สายตาที่แฝงด้วยความเศร้ามากมายกลับไม่พบรอยน้ำตาเลยในดวงตาคู่นั้น ท่านพูดกับผมว่า ขอดูศพลูกชายได้ไหม ได้ครับ ผมตอบกลับ หลังประเมินด้วยสายตาว่าบุคลิกที่เข้มแข็งพอๆ กับหินผานั้นคงจะเพียงพอที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะอยู่ตรงหน้า
เมื่อเดินมาถึงศพ พ่อผู้ตายถามว่า ไหนส่วนหัว ส่วนขา เนื่องจากศพที่ถูกธงชาติคลุมนั้นดูไม่เห็นเป็นรูปร่างคน ผมจึงชี้ไปส่วนศีรษะ และบอกว่า ตรงนี้ส่วนหัวครับ พ่อผู้ตายพยักหน้าเชิงรับทราบ
สายตาท่านเพ่งมองบนร่างไร้วิญญาณ มือซ้ายยกขึ้นช้าๆ ลูบศีรษะ และไล่ลงช้าๆ อย่างทะนุถนอมเท่าที่พ่อจะทำต่อลูกเป็นครั้งสุดท้ายได้ และตบลงบนลำตัวอย่างหนักแน่นหลายต่อหลายครั้ง ประหนึ่งจะบอกถึงความภูมิใจ ความรักต่อลูกชายคนหนึ่ง
แล้วคำพูดที่แทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขอให้ลูกไปสบายเถอะ ตัวพ่อแก่แล้ว คงทำได้แค่นี้ ประโยคสั้นๆ แต่ทำไมมันถึงเย็นเฉียบจนจับจิตเช่นนี้
ทิ้งระยะชั่วครู่ เขาก็พูดซ้ำ ขอให้ลูกไปดีเถอะ พ่อแก่แล้ว คงทำอะไรมากกว่านี้ให้ลูกไม่ได้แล้ว
อีกแล้ว คำพูดนี้เหมือนกับเคยได้ยินซ้ำๆ ใช่ มันเป็นคำพูดเมื่อ 2 - 3 เดือนก่อน คำพูดของพ่อของทหารพรานที่ถูกยิงเสียชีวิต และเดินทางมารับศพของลูกชายคนเดียว นึกแล้วเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากเคลื่อนศพมาไว้บนรถ และมีทหารขึ้นนั่งบนท้ายรถกระบะ คอยคุ้มครองศพและญาติผู้ตายส่งกลับไปจังหวัดยะลา ก่อนก้าวขึ้นรถ พ่อของครูผู้ล่วงลับ หันมาทางผมพร้อมยกมือไหว้ พร้อมกล่าวว่า ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ผมได้แต่ยกมือไหว้ตอบ พูดอะไรไม่ออก พูดไม่ออกเพราะสายตาคู่นั้นแสดงความขอบคุณอย่างมากมาย มากมายอย่างที่ผมนึกไม่ออกว่าผมทำอะไรมากมายให้เจ้าของสายตาคู่นั้น
พระจันทร์เคลื่อนคล้อยจนเกือบจะวางตำแหน่งตรงกับศีรษะ ดวงดาวบนท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ทำไมจึงฉายแสงพร่างพราวชัดเจนเช่นนี้ แสงอันสุกสว่างของมันวาววับขับกับท้องฟ้าที่มืดสนิท ผมคิดว่าผมไม่เคยเห็นแสงดาวสดใสอย่างนี้มาก่อนเลย
ถ้าดาวที่ทอแสงงามนี้มีหัวใจ ใจของมันจะงดงามสดใสเหมือนใจของผมในเวลานี้ไหมนะ
Tags : น.พ.เดชา แซ่หลี โรงพยาบาลกะพ้อ ปัตตานี
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20100401/108111/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87.html
นายแพทย์เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ
หรือจะแวะไปเยี่ยมชม รพ.กะพ้อ ก็ได้นะครับ ..
//kaphohos.sasukpattani.com/about.html
ช่วยกันเผยแผ่ ความดี .. คนทำดี จะได้มีกำลังใจ ทำดีต่อไป
Create Date : 02 เมษายน 2553 |
| |
|
Last Update : 3 เมษายน 2553 13:23:44 น. |
| |
Counter : 5048 Pageviews. |
| |
|
|
|
นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ
นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:58 น.
//www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000017452 นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ มี พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง "ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด" ลูกชายไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป "ที่ ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดีและได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ "แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดนเขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ "ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง" พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า "ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง" ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า "อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก" ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง "พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก "ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด" ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม "เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น "พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของเขา "พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ" ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า "พ่อ คงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน" แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น "ผม ทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ" คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง" ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก" "ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน" ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบ ร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน "โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า "ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ"
"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว" แต่ ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ "ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ" แต่ ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกจะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา" "อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ" ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่า แล้วนั่นเอง
บทสรุปของผู้แต่ง ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำและยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือ สีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจน ตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้านและกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ขอบคุณนิทานดี ๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 16:25:20 น. |
| |
Counter : 1498 Pageviews. |
| |
|
|
|
ข้อความดี ๆ ที่ได้รับผ่านเมล์ ...
ข้อความดีๆ
โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน
เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
Create Date : 28 มกราคม 2553 |
| |
|
Last Update : 28 มกราคม 2553 16:17:31 น. |
| |
Counter : 1200 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
หมอหมู |
|
|
|
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]
|
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ
ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )
หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ
ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ
นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )
ปล.
ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com
ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
|
|
|