Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

FWM อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์



อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ


- ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์



คน เราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

อุแม่เจ้า.........แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง

คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...

เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวณในเชิงตัวเลข

*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย..... กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน

นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!

อุแม่เจ้าเทค 2

คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!

คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้

นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน



เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง
ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....

แต่ น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ‘เงินเดือน’

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ‘ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย

บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล

เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี




อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน ...... แล้วนะ

ลองคิดแบบนี้บ้าง

ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ

ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้

และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว

ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว

ใช้ เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล

....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ใน มือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........

หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......

แต่ กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอกว่า อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ

อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่


โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา






 

Create Date : 11 กันยายน 2552   
Last Update : 11 กันยายน 2552 16:37:19 น.   
Counter : 1508 Pageviews.  

FW mail : คำของปราญช์จีน : สุภาณี ปิยพสุนทรา...แปลจากภาษาจีน









" ชมคนด้วยวาจา...มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ
ทำร้ายคนด้วยวาจา...สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ.."

"ซุนวู"





" คนอื่นช่วยเรา...เราจะจำไว้ชั่วชีวิต
เราช่วยคนอื่น...จงอย่าจำใส่ใจ "

"ฮั่วหลัวเกิง"




" มีชีวิตอย่างไร้คุณธรรม
มิสู้ตายอย่างมีคุณธรรม
ได้มาด้วยความคดโกง
มิสู้ยอมเสียอย่างซื่อตรง..."

"หวังติ้งเป่า"





" น้ำใสสะอาดเกินไป...ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา
คนที่เข้มงวดเกินไป......ย่อมไร้ซึ่งบริวาร "

"ปันกู้"




" ความไม่พอใจ...ความกลัดกลุ้มหงุดหงิด
ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้มากยิ่งขึ้น
ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้..ห่อเหี่ยวยอมจำนนต่ออุปสรรค..."

"หลี่ต้าเจา"





" ในชีวิตของเรา..มิตรภาพเปรียบเสมือนโคมส่องสว่าง
ดวงหนึ่ง....ซึ่งสาดส่องจิตวิญญาณของเราให้สว่างไสว
ทำให้ชีวิตของเรามีแสงสีอันงดงาม.."

"ปาจิน"


๗.

" ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า
แต่ใจสกปรก กลับไม่คิดที่จะชำระใจ..."

"หยางว่านหลี่"



๘.
" สุขสบายเกินไป..เส้นสายก็พลอยหย่อนยาน
จิตใจก็พลอยขลาดกลัว"

"หูหลินอี้"


๙.

" พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย...
....ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว"

"ซุนซือเหมี่ยว"



๑๐.

" คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป...
เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด!"

"ลู่ซู"


๑๑.

" ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความเย่อหยิ่งอวดดี....
ผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คือ คนที่ดีพอ...
ผู้ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว คือ ผู้ที่ดีไม่พอ...!"

"ฟังเสี้ยวหยู"



๑๒.

" ต้องกล้าที่จะมองความจริง...
แม้ว่าความจริงอาจจะทำให้เราเจ็บปวดมากๆ"

"จางจื้อซิน"


๑๓.

" ความอิจฉา เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพ...
ความระแวงสงสัย..เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของความรัก...
...ความรักถ้าปราศจากความซื่อสัตย์จริงใจต่อกันเสียแล้ว
ก็ไม่อาจเชื่อถือซึ่งกันและกันได้"

"ซุนยาง"



๑๔

" ยามมีควรคิดถึงความจน...
....ยามจนไม่ควรคิดถึงยามมี..!"

"เจิงก่วงเสียนเหวิน"


๑๕

" อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว...
อย่าละเว้นการทำความดี...
เพราะคิดว่าได้บุญกุศลแค่นิดเดียว..."

"เผยสงจือ"



๑๖

" รู้เหตุผลไม่อับจน รู้กาละไม่ถูกด่า รู้ประหยัดไม่ขัดสน "

"ซูลิน"


๑๗

" ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น...มาตำหนิตัวเอง.....
ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง...ให้อภัยผู้อื่น.."

"เจิงจิ้นเสียนเหวิน"



๑๘

" ขี้เกียจแล้วยังฟุ่มเฟือย...ย่อมยากจน
ขยันและประหยัด..ย่อมร่ำรวย.."

"ก่วนจ้ง"


๑๙

"…สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง
ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น.."

"ขงเบ้ง"



๒๐

"..ก่อนที่จะเอาชนะคนอื่น...จักต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน
ก่อนที่จะว่าคนอื่น...ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน
ก่อนหน้าที่จะรู้จักคนอื่น...ควรจะรู้จักตัวเองเสียก่อน.."

"หลี่ปุ๊เหว่ย"


๒๑

" ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด.....ผู้ที่รู้จักตัวเองเป็นคนมีสติ.."

"เล่าจื้อ"



๒๒

" การตกระกำลำบากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูงในการฝึกฝนยอดคน..!!"

"เหลียงฉี่เชา"


๒๓

" สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ ...จงอย่าทำกับคนอื่น.."

"ขงจื้อ"



๒๔.

" คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้...คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้.!!"

"ซือหม่าเชียน"


๒๕.

" คนเราหนีไม่พ้นความตาย...แต่ความหมายการตายนั้น ไม่เหมือนกัน...
บ้างมีค่าหนักกว่าขุนเขา...บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก...!"

"ซือหม่าเชียน"





สุภาณี ปิยพสุนทรา...แปลจากภาษาจีน



--


สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม


พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ






 

Create Date : 07 กันยายน 2552   
Last Update : 7 กันยายน 2552 12:49:06 น.   
Counter : 1975 Pageviews.  

LIFE BOX 4 .. กล่องบุญ ๔ ... หนังสือธรรมะชิว ๆ ที่น้องตันหยงส่งมาให้ ..




ได้รับหนังสือ จากน้องตันหยง ดูจากหน้าปก สีสรร จัดจ้าน เหมือนกับหนังสือสำหรับวัยรุ่นทั่วไป .. ( เผลอคิดไปว่า น้องเขาคงเห็นเรายังวัยรุ่นอยู่ เลยส่งมาให้ )

ยิ่งภาพประกอบภายใน ก็ทำให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ที่นำภาพจ๊าบ ๆ มาเข้ากับเนื้อหาธรรมะได้อย่างเนียน ๆ

บางคนพอได้ยินว่าเป็นหนังสือ " ธรรมะ " ก็อาจเริ่มรู้สึก มึนตึบ ขึ้นมาอย่างทันใด ... แต่ถ้าได้ลองเปิด ลองอ่าน รับรองได้ว่า ติดใจ กับ ภาษาง่าย ๆ เหมือนคุยกับเพื่อน

เรื่องแบบนี้ ต้องอ่านบ่อย ๆ คิดบ่อย ๆ .. ตอนอ่านก็เหมือนจะดี แต่พอสักพักก็จะลืมนึกไป .. หนังสือดี ๆ อ่านง่าย ๆ สบายตา สบายใจ แบบนี้ ก็จะได้หยิบมาอ่านได้บ่อย ๆ


ขอบคุณ น้องตันหยง สำหรับ หนังสือ และ ความรู้สึกดี ๆ ที่ส่งมาให้พร้อมหนังสือ นะครับ ..


มีถึงเล่ม ๔ แล้ว ... แบบนี้ ก็ต้องไปหาเล่ม ๑ - ๓ มาอ่านซะหน่อยดีกว่า ..






อ่านเพิ่มเติม ..

//www.naewna.com/news.asp?ID=140075

//www.phrathai.net/node/1819

//www.bsnnews.com/ContentDetail.asp?ContentID=4903




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2552   
Last Update : 23 สิงหาคม 2552 14:49:22 น.   
Counter : 1556 Pageviews.  

FWM ... ปริญญาสองใบ .... แง่คิดจาก ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร







ปริญญาสองใบ...

ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมากคือการเสียชีวิต ของ ดารา และ ผู้ดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร


ดร.อภิวัฒน์ มาเรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส

ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด

เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม

ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย


แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง

วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย

จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก

ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า

พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง

ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้


แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง

ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร ... เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา

แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้

สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเอง เป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย


นี่คือปริญญาวิชาชีวิต

ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ

เพื่อที่ว่าอะไร

เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต

หนึ่งปริญญาวิชาชีพ เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่

แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี



เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า

ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด

บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร
บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ
บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต





 

Create Date : 14 สิงหาคม 2552   
Last Update : 14 สิงหาคม 2552 15:44:27 น.   
Counter : 5221 Pageviews.  

ปริญญา 2 ใบ ของไมเคิล...บทความเกี่ยวกับ MJ ที่ดีที่สุด ... โดย ว. วชิระเมธี






อ่านแล้ว ได้แง่คิดดี .. ก็นำมาฝากกันเช่นเคย ...

ขอบคุณ แหล่งข้อมูล

คุณ โอเปอเรเตอร์ร้านพิซซ่านุ่งสั้น ห้องพักแพทย์ไทยคลินิก

//www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1247760434;start=0

คุณ แม่น้ำนิรันดร์ ห้องเฉลิมกรุง พันทิบ

//www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8084313/C8084313.html#54

ต้นฉบับ ..

//www.posttoday.com/lifestyle.php?id=55868





ไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป๊อปของโลกจากไปพร้อมกับความเสียใจของแฟนเพลงมากมายทั่วโลก

มี รายงานข่าวบางกระแสระบุอีกว่า มีคนฆ่าตัวตายตามเขาไปแล้ว 12 คน บทสัมภาษณ์ของแฟนเพลงหลายคนที่เป็นชาวต่างชาติพูดถึงเขาในลักษณะรับไม่ได้ กับการจากไปในลักษณะก่อนเวลาอันควรซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ปุถุชนจะ รู้สึกเช่นนั้น

แต่ในมุมมองของพุทธศาสนา การจากไปของไมเคิล แจ็กสัน ไม่ใช่วันเวลาของความโศกเศร้า หรือร่ำหาอาลัยไม่จบสิ้น แต่ควรเป็นวันเวลาของการเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต


ชีวิตของไมเคิล ควรให้คุณค่าแก่เราผู้ยังอยู่มากไปกว่าการเที่ยวตามสะสมผลงาน หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึก เสื้อผ้า ที่เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งไม่มีคุณค่าแท้แต่อย่างใด เพราะสิ่งของเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมคลายมนต์ขลังลงไป ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางใดๆ ขึ้นมาแก่ชีวิตของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นเพียงรอยอาลัยเล็กๆ น้อยๆ ที่จะค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลาเท่านั้นเอง

ที่ถูกนั้นเราควรได้ประโยชน์จาก มรณกรรมของเขาในทางจิตใจ หรือในทางสติปัญญามากกว่าทางวัตถุ โดยเราควรถือว่า "หนึ่งคนตาย เพื่อให้ล้านคนตื่น"




การตายของไมเคิล แจ็กสัน ควรทำให้เราตื่นในหลายประเด็นด้วยกัน

ประการ ที่หนึ่ง รำลึกถึงด้านที่งดงามของตัวเขา

เช่น การที่เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ซึ่งคนอย่างนี้ร้อยปีจึงจะมีสักคนหนึ่ง เมื่อมองในแง่ดี ไมเคิล แจ็กสัน จึงนับเป็นมงกุฎแห่งดนตรีกาลที่เป็นเกียรติยศแก่ประชาคมโลก เป็นเกียรติแก่เราทุกคนที่ได้ดำรงชีวิตอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง


ประการที่สอง รำลึกถึงแบบอย่างแห่งการมีจิตสำนึกสากลในการร่วมรับผิดชอบต่อชะตากรรม ของมนุษยชาติอันงดงามที่เขารังสรรค์ประดับไว้ในโลกาให้คนรุ่นหลังได้ตระหนัก ว่า

ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตอันแสนรุ่งโรจน์ของเขานั้น เขาก็ได้เคยทำสิ่งดีๆ ที่มีคุณูปการแก่มนุษยชาติอย่างน่าสรรเสริญควรเจริญรอยตามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เขาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงร่วมกับเครือข่ายคนดนตรีอีกหลายคนรังสรรค์บทเพลง พิเศษที่ชื่อ We are the world อันแสนไพเราะเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กในทวีปแอฟริกา

และเพลงต่อมาของเขา อีกเพลงหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึง ความรักต่อมนุษยชาติอย่างสูงยิ่งที่เขาบรรจงขับขานฝากไว้ในยุคสมัยของเรา เพื่อสร้างกระแสแห่งการตื่นรู้ร่วมกันของชาวโลกให้หันกลับมาร่วมกันยุติ สงครามที่ระอุอยู่ทั่วทุกมุมโลก นั่นก็คือเพลง Heal the world

บท เพลงแห่งการุณยธรรมทั้งสองเพลงนี้ ได้รับการขับขานอย่างกึกก้องทั้งในยามที่เขายังคงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ เหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และถูกขับขานต่อมาอย่างไม่เสื่อมคลายนับครั้งไม่ถ้วนในงานต่างๆ มากมายที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสากลของผู้คนในระดับโลกให้ตระหนัก รู้ว่า โลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน และสงครามไม่ใช่สิ่งอันพึงประสงค์ในทุกกรณี

ไมเคิล คือ บุคคลตัวอย่างคนหนึ่งที่รู้จักใช้ความดังของตัวเองมาสร้างความเด่นในทางดี งามเพื่อเกื้อกูลสังคมและมนุษยชาติ ในลักษณะยืมแสงดาวมาสกาวแสงธรรมได้อย่างน่ายกย่องยิ่งนัก

โลกนี้มีคน ดังมากมายที่ใช้ความดังของตัวเองต่อยอดไปหาผลประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่าง เดียว โดยไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมแม้แต่น้อย ทว่าสำหรับไมเคิลแล้ว เขาไม่เคยหลงลืมความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกของเขา และเขาแสดงออกซึ่งจิตสำนึกด้านนี้ด้วยศักยภาพด้านดนตรีของเขาให้เราได้เห็น ประจักษ์มาแล้ว


ประการที่สาม ใครๆ มักพูดถึงไมเคิลว่า เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ที่มีเยาวภาพในหัวใจสูงมาก เสียงร้องของเขานั้นสดใส กังวานดังหนึ่งเสียงระฆังเงิน ทั้งยังมีมนต์เสน่ห์เหมือนหนึ่งจะสะกดให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยโสตลงสดับอย่าง ไม่มีทางขัดขืน แต่แล้ว อัจฉริยภาพและเยาวภาพที่ซื่อใสของเขาก็เริ่มเลือนรางจางหายไป และมีความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง รวมทั้งเรื่องราวอื้อฉาวมากมาย ถึงขนาดเคยถูกตำรวจจับกุมใส่กุญแจมือ และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายครั้งเข้ามาแทนที่

คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา อัจฉริยภาพของเขาหายไปไหนหมด

ไม่ มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างหมดจด เพราะคงไม่มีใครรู้จักเขาดีที่สุดเท่าตัวเขาเอง แต่จากข่าวคราวที่เราได้ทราบ และจากฐานข้อมูลที่เราพอจะสืบค้นได้ ทำให้เราพอจะสันนิษฐานได้ว่า ความยุ่งเหยิงมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานั้น คงหนีไม่พ้นเกิดจากการขาดทักษะในการดำเนินชีวิตนั่นเอง

ทักษะในการดำเนินชีวิต ก็คือ ธรรมะที่จะใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการชีวิตทั้งในยามสุขยามทุกข์ ยามรุ่งโรจน์และยามร่วงโรย

ทักษณะในการดำเนินชีวิต ก็คือ หนึ่งในปริญญาสองใบที่ผู้เขียนพูดถึงอยู่เสมอ

พระ พุทธเจ้าเคยตรัสว่า คนเรานั้นจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีตาครบทั้งสองข้าง ตาข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในการดำเนินชีวิตทางโลกเพื่อทำให้บุคคลสามารถดำรง ชีวิตรอดอย่างมีความสุข ตาอีกข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในทางธรรมเพื่อทำให้บุคคลสามารถบริหารจัดการ ชีวิตได้เป็นอย่างดีเวลามีความสุข (โด่งดังประสบความสำเร็จมีเงินทองมากมาย) และเวลาที่ความทุกข์เคลื่อนตัวเข้ามาสู่ชีวิตทั้งโดยคาดฝันและโดยไม่คาดฝัน มาก่อน

ตาสองข้างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปริญญา 2 ใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง เป็นปริญญาวิชาชีพ (ทำงานเป็น, ตั้งตัวได้)

ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาวิชาชีวิต (ปัญหาเกิดขึ้นมา แก้ปัญหาได้)

ไม่ ต้องสงสัยเลยว่า ไมเคิล แจ็กสัน สอบผ่านได้ปริญญาเอก เกียรตินิยมเหรียญทองในแง่ปริญญาวิชาชีพ เพราะเขาได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า เขาคืออัจฉริยศิลปินที่โลกไม่ลืม และไม่มีทางหาอะไหล่สำรองได้อีกแล้ว

แต่ในแง่ปริญญาวิชาชีวิตนั้น เขาคงสอบผ่านเพียงปริญญาตรีแบบคาบเส้นเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตให้เกิดความสมดุลได้ ชีวิตของเขาตกอยู่ในภาวะงานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์

ไมเคิล แจ็กสัน จากพวกเราสู่สวรรค์ชั้นดนตรีรุจีรัตน์เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เราทั้งหลายที่ยังคงอยู่ ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากชีวิตของไมเคิลอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิตของไมเคิล สิ่งนั้นเราจะต้องหามาเติมให้เต็มให้ได้ในช่วงชีวิตของเรา


ปริญญาวิชาชีพ ปริญญาวิชาชีวิต


เรา ทุกคนควรพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนได้ปริญญาเอกทั้งสองสาขานี้ให้ได้ด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว เราทั้งหลายก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียวเหมือนไมเคิล ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

ไมเคิลจากไปแล้ว จึงหมดเวลาแก้ตัว แต่เราทุกคนที่ยังคงอยู่ ยังไม่สายเกินไปที่จะแสวงหาปริญญาทั้งสองใบนี้มาประดับชีวิตให้เกริกเกียรติ มีคุณค่า น่าภูมิใจ และจากไปอย่างคนที่สมบูรณ์ด้วยปริญญาทั้งสองใบ







 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 16:11:31 น.   
Counter : 2639 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]