Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

รำลึก........ตุลาลัย (เขียนให้คิด) เฉลิมชัย ยอดมาลัย



ขียนให้คิดได้น่าสนใจ เลยเอามาฝาก




เฉลิมชัย ยอดมาลัย

รำลึก........ตุลาลัย (เขียนให้คิด)


แมงเม่าเจ้าร่วงจากฟ้า ลงมาสู่ดินสิ้นสูญ

ร่างเจ้าทับถมเพิ่มพูน เกื้อกูลแมกไม้ให้งาม

แมงเม่าเจ้าร่วงจากฟ้า ลงมา ลงมาหนึ่ง สอง สาม

สี่ ห้า หก เจ็ด ร่วงตาม เจ้าอยากทวงถามเรื่องใด

ถามถึงเรื่องสั้นสั้น ที่เจ้าเคยฝันทิ้งไว้

หรือว่าถามถึงเรื่องที่เก่าไกล ซึ่งไม่มีใครจดจำ


(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล)





ตุลาฯ ความหวังหรือความหลัง

วันที่ 14 ตุลาคม 2516 คือเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือวันที่พลิกโฉมหน้าการเมืองไทยให้สังคมไทยและสังคมโลกได้ตระหนักรู้ในพลัง บริสุทธิ์ของนิสิตนักศึกษาปัญญาชน พลังบริสุทธิ์นี้เองที่เป็นกลไกสำคัญยิ่งตัวหนึ่ง ที่ทำให้รัฐบาลทรราชต้องพ้นไปจากอำนาจที่ยึดครองไว้ยาวนานหลายปี

ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปคงจำได้ดีว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาฯคือวันที่มีผู้คนมากมายถึงห้าแสนคนได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลถนอม-ประ ภาส (จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร) โดยมีนิสิตนักศึกษาเป็นหัวหอกนำขบวน

ช่วงยามแห่งเดือนตุลาคมหรือพูดให้ตรงประเด็นก็คือวันที่ 14 ตุลาฯ เปรียบเสมือนความหวังอันรุ่งโรจน์ของสังคม ที่เชื่อมั่นว่าพลังบริสุทธิ์จะเป็นพลังที่ต่อสู้เพื่อขจัดความเลวร้ายทางกา รเมืองให้หมดไป

แต่แล้วเดือนตุลาคมที่เกี่ยวข้องกับพลังบริสุทธิ์ก็กลายเป็นเพียงสายลมที่ พั ดผ่านแล้วเลยไป เพราะเพียงแค่คล้อยหลังไปไม่ถึง 10 ปี พลังบริสุทธิ์ก็ดูเสมือนว่าไม่สนใจใยดีกับความเป็นไปของบ้านเมืองอีกต่อไป ตุลาฯจึงกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความหลังมากกว่าความหวัง



ตุลาลัย ชัยชนะหรือสูญเสีย

ต่างคนต่างก็มีมุมมองเกี่ยวกับ14 ตุลาฯ หลากหลายผิดแผกกันไป บางกลุ่มอาจนึกถึงในแง่มุมด้านการต่อสู้ทางการเมืองของคนหนุ่มคนสาวหัวก้าวห น้า บ้างก็อาจหวนระลึกถึงวีรกรรมอันห้าวหาญของนิสิตนักศึกษาปัญญาชน

แต่คนอีกมากมายกลับมองเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเหตุการณ์แห่งความสูญเสียและเจ็บ ป วด โดยเฉพาะคนที่ต้องสูญเสียบุคคลที่เขารักไปอย่างไม่มีวันเรียกกลับคืนมาได้ บางคนต้องกลายเป็นคนสติวิปลาส บางคนกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง

แน่นอนเหลือเกิน คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ปรากฏการณ์ 14 ตุลาฯ คือความยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของประชาชนธรรมดา เพราะมันคือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ประชาชนไทยจำนวนมากมายมหาศาล รวมตัวลุกขึ้นสู้กับอำนาจเผด็จการที่กดขี่ข่มเหงมายาวนาน

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล หนึ่งในแกนนำขบวนการนิสิตนักศึกษาในครั้งนั้น เคยเขียนในเรื่องสั้นของเขาว่า "การต่อสู้ 14 ตุลาฯนั้น พูดอย่างถึงที่สุดก็เป็นเพียงบทโหมโรงของโศกนาฏกรรมอีกหลายอย่างที่ตามหลังม า" (ตุลาคมรำลึก ตุลาคม 2535)

"โดยตัวของมันเอง การพังทลายของรัฐบาลเผด็จการชุดหนึ่งมิใช่การแก้ปัญหาอะไรมากนัก หลากเป็นการเปิดช่องให้ความทุกข์โศกที่ถูกกักเก็บเอาไว้หลายทศวรรษได้ระเบิด ปะทุออกมาโดยปราศจากการปิดกั้น"

"เสรีภาพหลังวันที่ 14 ตุลาฯ มิใช่บทเพลงกล่อมเด็ก ไม่ใช่เทวีในชุดขาว หากเป็นคลื่นความร้อนที่แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินไทย ผู้คนทุกหมู่เหล่าต่างเรียกหาส่วนที่หายไปของตนเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงเก้าอี้การเมือง กำไร ค่าแรง ที่ดินหรืออะไรก็ตาม"




14 ตุลาฯผ่านไป แต่สังคมไทยยังเหมือนเดิม

ก่อนยุค 14 ตุลาฯ สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ มีคนยากคนจน มีคนทุกข์คนยาก มีคนลำบาก มีปัญหาข้าวยากหมากแพง มีรัฐบาลเผด็จการและมีการแบ่งชนชั้นในสังคม

แต่วันนี้ผ่านไปแล้ว 35 ปี สังคมไทยก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำ มีคนยากคนจนและดูเหมือนว่าจะยากจนหนักกว่าเดิมด้วย มีคนทุกข์ยากเต็มแผ่นดิน ปัญหาข้าวยากหมากแพงก็รุนแรงหนักกว่ายุคก่อน รัฐบาลยังคงเป็นเผด็จการไม่ต่างไปจากเดิม และที่สำคัญยังคงมีอภิสิทธิ์ชนเกลื่อนล้นเต็มแผ่นดิน นักการเมืองโกงกินก็มากหลาย ส่วนคนในสังคมก็ยังคงแบ่งเป็นชนชั้นตามเดิม นี่แสดงว่าไม่มีอะไรพัฒนาเลยหรือไรบนแผ่นดินผืนนี้

เด็กและเยาวชนรวมถึงผู้ที่ศึกษาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งถือกำเนิดมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยล้นฟ้า จำนวนมากของคนกลุ่มนี้ไม่เคยตระหนักและสำนึกว่าเมืองไทยมีคนอดอาหารจนเสียชี วิต เด็กบางคนนึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำไปว่าคนยากคนจนมีสภาพอย่างไร

ฉะนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจที่สังคมไทยในวันนี้ จึงมีแต่เด็กและเยาวชนที่สวมใส่เครื่องแบบนิสิตนักศึกษา แต่ทว่าลึกๆ แล้วพวกเขาหาใช่ปัญญาชนไม่ เพราะคนกลุ่มนี้อาจจะมีความทรงจำอันดีเลิศ สามารถท่องบ่นและจดจำตำราได้มากมาย แต่ในเบื้องลึกแล้วเขาไม่สามารถใช้สติปัญญาเพื่อรับรู้ความทุกข์ยากที่เกิดข ึ้นในบ้านเมือง

ส่วนนายทุนก็ยังคงกดขี่ค่าแรงกรรมกรและคนงานโดยไม่เห็นแก่มนุษยธรรม นายทุนจำนวนไม่น้อยผันตัวเองเข้าสู่แวดวงการเมือง กลายเป็นนายทุนการเมืองไปโดยปริยาย ใช้ทุนเป็นบันไดตะกายสู่อำนาจรัฐ เมื่อมีอำนาจรัฐก็ใช้อำนาจนั้นกอบโกยแสวงหาทุนต่อไปโดยมิรู้จบ



ผู้ใหญ่ก็รอเด็ก เด็กก็รอผู้ใหญ่ ตกลงใครจะนำสังคมนี้


นิสิตนักศึกษาคือเยาวชนที่อาจจะอ่อนต่อโลก แต่เขาคือความหวังของสังคมไทย เป็นความหวังที่จะช่วยพาให้สังคมไทยก้าวไปในทางที่เจริญ

เสกสรรค์กล่าวว่าเคยสนทนากับอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี อานันท์ถามเสกสรรค์ว่า "คุณยอมรับไหมว่าตอนนั้นคุณพลาด"

เสกสรรค์ตอบว่า "ใช่ ผมพลาด แต่พวกเราเป็นใครเล่า ก็เด็กๆ ทั้งนั้น ผมก็อยากให้มีผู้ใหญ่มาคิดหาทางออกให้บ้านเมืองเหมือนกัน มาชี้ทางออก บอกทางไปให้พวกเรา แต่ตอนนั้นคนรุ่นท่านหายไปไหนกันหมด ไม่เห็นมีใครสักคนที่จะช่วยเราได้"

เมื่อพินิจพิเคราะห์บทสนทนานี้แล้ว ทำให้สะท้อนใจเหลือเกินว่า บ้านนี้เมืองนี้จะหวังพึ่งใครได้ ครั้นหวังจะพึ่งเด็กหรือคนรุ่นใหม่ เขาก็อาจจะด่วนได้ใจเร็วเร่งรีบจนเสียรูปการณ์ แต่ครั้นหวังจะพึ่งผู้ใหญ่ ก็รอไปด้วยความเลื่อนลอยและว้าเหว่ หรือว่าบ้านนี้เมืองนี้จะพึ่งได้ก็เพียงแค่พระสยามเทวาธิราชเจ้าเพียงเท่านั้น



ลมหายใจแห่ง 14 ตุลาฯ หมดสิ้นแล้วหรือ

ความภาคภูมิใจในวีรกรรมอันหาญกล้าของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ในปรากฏการณ์แห่ง เดือ นตุลาฯ กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่คนส่วนมากลืมเลือนจนนึกไม่ออก คนไทยหลายคนมองเหตุการณ์เดือนตุลาฯเป็นเสมือนแค่ฉากการต่อสู้ในละครน้ำเน่า นิสิตนักศึกษาหลายคนไม่เคยตระหนักว่าเหตุการณ์นี้สำคัญอย่างไร ไม่ต้องอะไรมาก ขนาดนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บางคน ยังตอบข้อสอบวิชาที่สอนโดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ว่า "เหตุการณ์ 14 ตุลาคมเกิดขึ้นในปี 2519" บางคนก็เขียนว่า "เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2516" หนักไปกว่านั้นบางคนบอกว่า "14 ตุลาฯคือวันเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475"

ช่างเป็นเรื่องเศร้าสะเทือนใจเหลือเกิน แต่ไม่สามารถร้องไห้ได้ นี่ขนาดเป็นนักศึกษาในสถาบันชั้นเลิศของเมืองไทย ยังตอบได้เช่นนี้ แล้วจะยังมีหวังอันใดเหลือไว้บนแผ่นดินนี้บ้าง

เสกสรรค์ประเมินว่า แรงเหวี่ยงทางประวัติศาสตร์ของ 14 ตุลาฯนั้นยาวนานประมาณ 8 ปี เริ่มต้นอย่างก้องกระหึ่มเมื่อ 2516 แล้วแผ่วหายไปในปี 2524 ระหว่างกลางเป็นเพียงลีลาที่วูบไหวในประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าหักเหไปในทิศทางใด

นักศึกษาที่เป็นหัวหอกนำการเดินขบวนเรียกร้องเสรีภาพ เป็นปากเป็นเสียงให้คนยากคนจนกลับถูกฝ่ายที่สูญเสียอำนาจรัฐติดตามไล่ล่าหมา ยเอาชีวิต หลายคนต้องเข้าป่าหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ผู้ที่ต้องหลบหนีเข้าป่าหลายคนไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้อีก ศพของนิสิตนักศึกษาจำนวนมากถูกฝังอยู่ในเขตป่า หลายคนต้องทนสู้กับอำนาจรัฐอย่างยาวนานกว่าจะกลับออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอี กครั้ง

โรคประจำตัวอย่างหนึ่งที่ปัญญาชนซึ่งเคยผันตัวเองไปเป็นนักรบในแดนป่าอย่าง เ สกสรรค์บอกกับสังคมคือ โรคกลัวการพลัดพราก ซึ่งอาจเกิดมาจากการได้พบเห็นความตายและความผันผวนของโลกมาจนเกินไป

ผู้ซึ่งผ่านเวทีชีวิตในป่า หลังเหตุการณ์เดือนตุลาฯหลายคนบอกตรงกันว่า แม้เมืองไทยจะผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 6 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ 35 มาแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าสังคมไทยจะพัฒนาไปได้ดังใจหวัง

นักรบป่าหลายคนบอกว่าไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจกระทำลงไปเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ก็รู้สึกสะท้อนใจเหลือเกินเมื่อเห็นว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับบ้านเมืองของเรายังคงไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาฯ บางคนบอกว่าแม้สังคมไทยจะผ่านความสูญเสียอย่างมหาศาลมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายมันก็คล้ายจะกลับไปเป็นดังเดิม เหตุการณ์เดือนตุลาฯและสงครามประชาชนอาจไม่ช่วยให้ผู้คนบนแผ่นดินนี้เรียนรู ้อะไรเลยกระมัง


ตุลาคมมิได้เป็นเพียงปฏิทินประวัติศาสตร์
แต่หากคือตำนานชีวิตหลากสีสัน
ทั้งสวยงามและเศร้าหมอง เช่นกับฤดูใบไม้ร่วง



แมงเม่าเจ้าร่วงจากฟ้า ลงมาสู่ดินสิ้นสูญ

ร่างเจ้าทับถมเพิ่มพูน เกื้อกูลแมกไม้ให้งาม



เฉลิมชัย ยอดมาลัย


มาจาก //www.naewna.com/news.asp?ID=125334

ส่งโดย: ppom






 

Create Date : 28 กันยายน 2551   
Last Update : 28 กันยายน 2551 19:54:05 น.   
Counter : 1625 Pageviews.  

หากหัวใจคล้ายห้องว่าง โดย ว.วชิรเมธี




หากหัวใจคล้ายห้องว่าง


ว.วชิรเมธี


คำว่า “ชีวิต” ประกอบขึ้นมาจาก “กาย” กับ “ใจ” เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รูป” กับ “นาม” องค์ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้ “ใจ” มีความสำคัญมากกว่า “กาย” เพราะ “ใจ” เป็นอย่างไร “กาย” จะเป็นอย่างนั้น

ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย อภิปรายกันไม่รู้จบ

เช่น วันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วู้ด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร จึงตีได้แม่นเหมือนจับวางทุกครั้ง เขาตอบสั้นๆ ว่า

“ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟ ลอยละลิ่วลงหลุม ก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก”

คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่า ใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น แม้แต้ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เข้าทำนอง “กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่” โดยแท้


ครั้ง หนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึงนายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง

ซึ่งมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี เมื่อไปถึงนายแพทย์ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง รอไม่กี่นาที ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่ เพราะตรวจพบ “บางอย่าง” ในร่างกาย ขอให้งดการฝึกซ้อมเอาไว้ก่อน

พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้ก มีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขายกน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ยกอย่างไรก็เป็นที่พอใจ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน ต่อมานายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษนักกีฬาคนนั้นพร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็นอันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไปก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น

ซึ่งทั้งครูฝึกนักจิตวิทยา และนายแพทย์ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร วันรุ่งขึ้นนักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อ และคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด

การทดลองคราวนี้ ก็สะท้อนหลักการที่ว่า “ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น” จริงๆ




ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทางกายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น

คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ (ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ) ก็เพราะลึกๆ แล้ว เขาไม่มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขา เต็มไปด้วยความกังวล คนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล คอรัปชั่น ก็เพราะใจเขามี “ไถยจิต” ซึ่งแปลว่า “จิตที่มีธาตุแห่งความเป็นหัวขโมย” แฝงอยู่ คนที่สู้ชีวิต ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย “ปรักกมธาตุ” ซึ่งแปลว่า “ใจนักสู้” อยู่ข้างใน ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน ก็เพราะข้างในของเขา หมักหมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง

นอกเป็นอย่างไร ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น

กาย จึงเป็นเหมือน เงาสะท้อนของใจ

ใจของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้นสถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที


เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ

เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ

เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว

เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน

เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก

เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน


เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี

เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ

เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน

เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม

เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ

เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้

เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย


เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า

“ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์...” หรือ บางทีก็ตรัสว่า “จิตฺเตน นียติ โลโก” แปลว่า “โลกหมุนไปตามใจสั่งการ” โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิตจะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น


ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไรลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้

ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง !



ส่งโดย: ... ^o นีน o^...





 

Create Date : 28 กันยายน 2551   
Last Update : 28 กันยายน 2551 11:45:16 น.   
Counter : 1055 Pageviews.  

ข้อคิดจากถังน้ำ 2 ใบ





ข้อคิดจากถังน้ำ 2 ใบ

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก

ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...

แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล
จากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ใน ถังใบที่มีรอยแตก เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว


เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ
กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึก ภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...

ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา


หลังจากเวลา 2 ปี… ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน"

คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า... แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่... .

ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น

เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบ นี้ได้"

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง...

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้....

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น..

และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง



ที่มา : แคน พูนวศินมงคล

ส่งโดย: Dr K: รักนะเด็กแรด




 

Create Date : 28 กันยายน 2551   
Last Update : 28 กันยายน 2551 11:36:25 น.   
Counter : 1429 Pageviews.  

80 เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้



เมื่อทรงพระเยาว์


1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3.พระนาม”ภูมิพล”ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H Bhummibol Mahidol”หมายเลขประจำตัว 449

7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า”แม่”

8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า”บ๊อบบี้”

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่า เวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2 ที พอแล้ว

14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ โดยนะหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก”การให้”โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า”กระป๋องคนจน”หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก”เก็บภาษี”หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า”ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง




พระอัจฉริยภาพ


19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก”การเล่น”สมัยพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์

21.ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ”แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง”เราสู้”

26.รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. - - - -

28.นกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

29.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง ”นายอินทร์” และ ”ติโต” ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ "พระมหาชนก" ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

30.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น”กีฬาซีเกมส์”)ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

31.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536

33.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว

34.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง



เรื่องส่วนพระองค์


35.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

36.รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

37.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

38.หลังอภิเษกสมรส ทรง”ฮันนีมูน”ที่หัวหิน

39.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

40.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

44.พลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

45.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง



งานของในหลวง


46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

50.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศ ที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

51.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

52.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

53.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

54.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน



ของทรงโปรด


55.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

56.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย

57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

61.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว



รู้หรือไม่ ?


66.ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

67.ทรงวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
68.อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”

69.ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

70.ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”

71.ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

72.หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

73.รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

74.ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน

75.ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.24 93 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

76.ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

77.สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

78.นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

79 - - - -

80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน









 

Create Date : 20 กันยายน 2551   
Last Update : 20 กันยายน 2551 19:02:22 น.   
Counter : 1240 Pageviews.  

นิทานเรื่อง " กบ ฟุ้งซ่าน...ข้างกำแพงวัด "


ได้รับมาทางเมล์ ... นำมาฝาก ..


กบ ฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัด ทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกเดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด พอพระกลับมาถึงวัดเพื่อฉันเช้า...

กบมันนึกในใจ อยากเกิดเป็นพระ เป็น พระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน ..

เมื่อพระฉันเสร็จ ก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อ แล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย

..

ตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ อยากเกิดเป็นเด็กวัด แล้ว เพราะสบายกว่าพระ
มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้ สบายกว่าเยอะเลย...

เมื่อเด็กวัดกินเสร็จ ก็โกยเศษอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกันล้างจาน...

ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ อยากเกิดเป็นหมาวัด แล้ว เพราะไม่ต้องล้างจาน เหมือนเด็กวัด สบายกว่า

...

พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัด คอยเห่าคนแปลกหน้า...

ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินเศษอาหารต่อจากหมาวัด

ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ(อีกแล้ว) อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุดไม่ต้องทำอะไรเลย หนำซ้ำยังมีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย...

ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น พอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆ จึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวันเข้าปากตัวเองกินโดยสัญชาตญาณ ..




ถึงตอนนี้ กบฟุ้งซ่าน จึงบรรลุธรรมฉับพลัน (Sudden knowledge)

คิดได้ว่า เอ้อ เป็นตัวของเราเองนี่แหละ ดีที่สุดเลย (The best to be yourself)




จงเชื่อมั่นในตัวเอง (Be yourself)




 

Create Date : 18 กันยายน 2551   
Last Update : 18 กันยายน 2551 19:37:01 น.   
Counter : 1638 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]