ทั้งนี้ ผู้ป่วยเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกวิธีการรักษา แต่ปัญหาคือ หากผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่สื่อสารไม่ได้ จะมีวิธีป้องกันอย่างไร
Living Will หรือหนังสือแสดงเจตนาเลือกวิธีการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิต จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อช่วยรักษาสิทธิ์ของผู้ป่วยอีกทางหนึ่ง
เพียงเขียนองค์ประกอบทั้ง 5 ประการนี้ในกระดาษเปล่า คุณก็จะได้ Living Will ฉบับสมบูรณ์ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย โดยไม่ต้องรบกวนทนายความสักคนเดียว
1. ข้อมูลส่วนบุคคล
เช่น ชื่อ นามสกุล ของผู้เขียน Living Will หมายเลขประจำตัวประชาชน อายุ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ วันเดือนปีที่ทำหนังสือแสดงเจตนา ส่วนนี้คุณอาจเขียนกำกับไว้ว่า คุณเป็นผู้เขียนเอกสารนี้ด้วยตนเองและมีสติสัมปชัญญะดี
ในส่วนนี้ คุณอาจบอกโลกทัศน์เกี่ยวกับชีวิตและความตาย บอกคุณค่าที่คุณต้องการได้รับ เช่น ต้องการความเคารพ ต้องการศักดิ์ศรี ต้องการความสุขสบาย ไม่ต้องการเป็นภาระของครอบครัว ไม่อยากทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน เป็นต้น
2. อยากให้ครอบครัวและทีมสุขภาพดูแลคุณอย่างไร
เช่น อยากรักษาตัวที่ไหน อยากให้ใครมาเยี่ยมดูแล คุณต้องการการปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ ยินยอมรับอาหารทางท่อหรือไม่ หากหายใจไม่ออกจะให้ทำอย่างไร ยินยอมให้แพทย์ใช้ยากระตุ้นหัวใจไหม หากจำเป็นต้องล้างไตจะอนุญาตให้แพทย์ล้างหรือไม่ เป็นต้น
4. ชื่อผู้แทนการตัดสินใจ
ระบุชื่อคนที่จะมาเป็นตัวแทนของคุณ คนที่จะพิทักษ์เจตนารมย์ ตัดสินใจแทนคุณเรื่องการชีวิตช่วงสุดท้าย รวมทั้งวิธีติดต่อบุคคลนั้นๆ
5. การดูแลหลังเสียชีวิต
คุณอาจฝากฝังสิ่งที่ยังห่วงกังวลไว้ที่นี้ แจกแจงความประสงค์เกี่ยวกับการจัดงานศพ การจัดการกระดูก อัฐิ หรือร่างกายส่วนที่เหลือ
6. ลงลายมือชื่อ
เซ็นชื่อของคุณ หากมีพยานอาจลงลายมือพยานพร้อมบอกความเกี่ยวข้องด้วย
เมื่อเขียนทุกอย่างครบแล้ว ให้นำ Living Will ไปสื่อสารกับครอบครัว ให้ทุกคนได้รับรู้ความต้องการทั่วกัน จากนั้นถ่ายเอกสารแนบไว้กับแฟ้มประวัติผู้ป่วยของโรงพยาบาลที่คุณสังกัด คุณอาจปรึกษาข้อความในเอกสารกับแพทย์ที่ดูแลสุขภาพของคุณอยู่ก็ได้
Living Will ฉบับนี้สามารถปรับแก้ได้ตลอดเวลา เพียงขีดฆ่าหรือเพิ่มข้อความใหม่ ระบุวันที่ แล้วเซ็นชื่อกำกับ หรือจะยกเลิกเอกสารด้วยการขีดฆ่าแล้วเขียนขึ้นใหม่ก็ได้ แต่ต้องปรับปรุงเอกสารที่ฝากไว้กับโรงพยาบาลด้วย
Living Will ให้ความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 บุคลากรสุขภาพที่ดูแลผู้ป่วยตามที่เขียนเอกสารและตามจริยธรรมทางวิชาชีพ จะไม่มีความผิดทางกฎหมาย ส่วนบุคลากรสุขภาพที่ไม่ปฏิบัติตามเอกสาร แต่ปฏิบัติตามหลักวิชาชีพ ก็ไม่มีความผิดทางกฎหมายเช่นกัน แต่ควรสื่อสารเหตุผลกับญาติให้เข้าใจ
Living Will ครอบคลุมเฉพาะความเจ็บป่วยระยะสุดท้ายและผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้ หากผู้ป่วยยังพูดได้ ให้ถือเอาคำพูดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เอกสารฉบับนี้ยังไม่ครอบคลุมการเจ็บป่วยนั้นมีลักษณะฉับพลัน หรือการประสบอุบัติเหตุที่ฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ กรณีหลัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือแบบฉุกเฉินตามขั้นตอนปกติ
Living Will เป็นเพียงเอกสารแสดงเจตนารมย์ในลักษณะทั่วไป แม้ไม่ป่วยก็เขียนได้ แต่เมื่อผู้เขียนได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง เห็นแนวพัฒนาการของโรคมากขึ้น แพทย์หน่วยดูแลแบบประคับประคองมักจะชวนตั้งเป้าหมายการดูแลสุขภาพ วางแผนการดูแลระยะสั้น-ยาว กระบวนการดังกล่าวเรียกว่าการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า หรือ Advance Care Plan และอาจปรับปรุง Living Will ให้สอดคล้องกับภาวะโรคมากขั้น
หากเปรียบชีวิตเหมือนการขับรถทางไกล ผู้ป่วยคือผู้ถือพวงมาลัยเหยียบคันเร่ง เลือกเส้นทางชีวิต ส่วนแพทย์ก็คือคนนั่งเบาะข้าง ช่วยถือแผนที่แนะนำทางเข้าสู่เส้นชัยไปด้วยกันนั่นเอง
ที่มา: คู่มือผู้ให้บริการสาธารณสุข กฎหมายและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ฉบับปรับปรุง โดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
แนะนำหนังสือน่าอ่าน " ท่านอาจารย์พุทธทาส : คนไข้ที่ผมได้รู้จัก " โดย นพ.นิธิพัฒน์ เจียรสกุล
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-07-2009&group=8&gblog=79