Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

สิ่งที่บอกน้อง ๆ นักศึกษาที่กำลังจะจบในปีนี้มีแค่ 4 ข้อหลัก ...Pathom Indarodom






สิ่งที่บอกน้อง ๆ นักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาในปีนี้มีแค่ 4 ข้อหลักที่อยากให้เขาได้ขบคิด

1. ระบบการศึกษาทั่ว ๆ ไปทำได้เพียงนำเอาความรู้ยุค 4-5 ปีที่แล้วมาสอนเราในวันนี้ เพื่อหวังให้เราเอาไปใช้งานในอนาคต ...มันอาจเพียงพอให้เราทำงานพื้นฐานได้ แต่ไม่เพียงพอให้เราประสบความสำเร็จในสายงานได้ การเปิดใจเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็น
.
2. กระแส Startup และค่านิยม Slow life ทำให้เด็กรุ่นใหม่เมินการเป็นลูกจ้าง เพราะมันไม่เท่ รายได้ไม่เยอะ หลาย ๆ คนจึงอยากกระโจนมาทำธุรกิจเองทันทีที่เรียนจบ ซึ่งมันไม่ถูกต้องเพราะการเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้เหมาะกับทุกคน บางคนมีพื้นฐานธุรกิจมาจากครอบครัวหรือเริ่มทำกิจการเล็ก ๆ มาตั้งแต่ยังเรียนปีหนึ่งแล้วก็อาจมีช่องทางของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่! การทำงานบริษัทยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญที่เราสามารถเข้ามาพัฒนาตัวเองได้ และยังสร้างคอนเน็คชั่นกับทั้งลูกค้า คู่ค้า เป็นรากฐานให้ตัวเราเองได้ในอนาคต
.
3. การทำงานในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาคราชการหรือเอกชน เราต้องพัฒนาตัวเองให้โดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งเพื่อให้ผู้ใหญ่มองเห็นและมอบโอกาสให้เราได้รับผิดชอบงานสำคัญ หากทำงานมาสัก 2 ปีและผู้ใหญ่ยังจำชื่อเราไม่ได้และไม่เคยรับฟังแนวคิดใด ๆ ของเรา นั่นคือปัญหาที่สะท้อนให้รู้ว่าเราคงไม่รุ่งและไม่เหมาะกับองค์กรนี้
.
4. หาจุดเปลี่ยนของตัวเองให้เจอ ...ของผมเองจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในวัยเดียวกับน้อง ๆ ในห้องนี้ คือคุณพ่อจากไปตอนเรียนปี 3 ทำให้ต้องรับผิดชอบครอบครัวทันทีจากที่เคยใช้ชีวิตเป็นคุณหนูมาตลอด แต่ละคนมีจุดเปลี่ยนไม่เหมือนกัน ไม่ต้องกลับบ้านไปบอกพ่อให้ช่วยตายจากไปเสียทีชีวิตจะได้มีจุดเปลี่ยน เพราะบางคนเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มุมานะมุ่งมั่นขึ้นมาได้เพราะโดนเพื่อนดูถูก บางคนสำเร็จได้เพราะอยากให้แฟนเห็น ฯลฯ จุดเปลี่ยนสำคัญจะเกิดขึ้นอย่างน้อย 2-3 ครั้งในชีวิตทำให้เราก้าวข้ามแต่ละช่วงไปหาความสำเร็จที่ใหญ่กว่าได้เสมอครับ

— ที่ คณะเศรษฐศาสตร์ มช.
ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1338637086189424&set=a.106115969441548.11182.100001294357814&type=3&theater


แถม .. ข้อคิดจากความเห็นของคุณ Krit Kingko

สมัยนี้มีคำพูดที่ดูเท่ห์ หล่อจัง แต่จะทำให้คนที่คิดไม่ทัน พาชีวิตไปลงเหวแทน มีอยู่หลายประโยคมากครับ เช่น


1. อย่ายึดติดให้คิดนอกกรอบเยอะๆ . . . ขนาดความรู้ในกรอบยังไม่เชี่ยวชาญ แล้วจะระบุได้ไหมว่ากรอบที่แท้จริงคือเรื่องอะไร ขีดจำกัดคือตรงไหน ดันให้
เริ่มไปคิดนอกกรอบแต่แรก ตัวคุณยังไม่รู้เลยว่า "กรอบ" ที่พูดกันอยู่ตลอดคือเรื่องอะไรรายละเอียดคือตรงไหน ดันไปนอกกรอบซะแล้ว . . . .ก่อนจะนอกกรอบควรเข้าใจเรื่องในกรอบให้เชี่ยวชาญซักหน่อย จะได้นอกกรอบได้จริงๆ แบบที่พูดกัน

2. จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ . . . คนคิดไม่ทันก็มัวแต่ไปเน้นเรื่องไอเดีย เรื่องจินตนาการ แต่กลับขาดทักษะความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการที่จะทำให้จินตนาการนั้นๆ เกิดเป็นความจริงได้

หลายคนคงยก elon musk มาเป็นตัวอย่าง แต่คุณต้องมองลงไปให้ละเอียดว่า เขาใช้จินตนาการหรือไอเดียอะไรก็ตาม บนพื้นฐานความรู้กับการค้นคว้า การพัฒนาทักษะในเรื่องนั้นๆ มากพอที่จะเติมเต็มจินตนาการของเขาได้ ความรู้เขาแน่นมากกว่าจินตนาการมาก

3. ให้เงินทำงาน จะได้รีบเกษียณตัวเอง มีเวลาพักผ่อนใช้ชีวิตตามที่อยากเป็น . . . . . ผมก็เห็นคนที่ชอบพูดประโยคนี้สอนคนอื่นก็ยังก้มหน้าทำงานอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่งานนั้นๆ ของเขากลายเป็นส่วนนึงของชีวิต ทำได้ตลอดเวลา 24ชม. ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นงาน แต่มันเป็นการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง เงินไม่เคยทำงานได้เอง ตัวเราเองที่เป็นคนวางระบบการทำงานของเงินที่หามาได้ให้มันเกิดรายได้ขึ้นมา

4. มองโลกในแง่ดีเสมอ . . . คนมองโลกในแง่ดีเป็นคนประเภทที่ไม่รอบคอบ กับมักไม่ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง การมองโลกในแง่ดีไม่ได้สร้างให้งานใหญ่ๆ สำเร็จเสมอไป กลับกันคนมองโลกในแง่ร้ายมีความรอบคอบ และประเมินสถานการณ์จากความเป็นจริงได้ดีกว่ามาก และสามารถรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีกว่าคนมองโลกในแง่ดีมากพอสมควร เพราะเขาประเมินสถานการณ์ไว้แล้ว

หัดมองโลกในแง่ร้ายบ้าง จะลดความผิดพลาดในชีวิตได้เยอะครับ . .. .






 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2560   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2560 21:43:40 น.   
Counter : 2227 Pageviews.  

ลูกโป่งความสุข .. ของเรา ?



ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับลูกโป่งคนละใบ และถูกขอให้เขียนชื่อตัวเองลงบนลูกโป่ง แล้วเอาไปใส่ไว้ในอีกห้องจนเต็ม จากนั้นพิธีกรได้บอกให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา เข้าไปในห้องนั้นแล้วหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองนำกลับออกมา

ภายใน 5 นาที ห้องนั้นก็เหมือนเกิดจลาจล ทุกคนต่างรีบหาลูกโป่งของตัวเอง เหยียบลูกโป่งคนอื่น ทั้งดึง ทั้งดัน กระทบกระทั่ง ล้มลุกคลุกคลาน สุดท้ายไม่มีใครหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองอยู่เจอเลย

พิธีกรประกาศให้หยุด แล้วเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาประกาศให้ทุกคนค่อยๆ หยิบลูกโป่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วประกาศเรียกหาเจ้าของชื่อมารับลูกโป่งไป ภายใน 3 นาที ทุกคนได้ลูกโป่งที่มีชื่อของตัวเองครบทุกคน

....................

พิธีกรสรุปให้ฟังว่า สังคมของเราเป็นอย่างนี้ ทุกคนต่างมุ่งหาความสุข (ลูกโป่ง) ของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่น ไม่เอื้ออาทร ไม่แคร์แม้ต้องเหยียบย่ำความสุขของคนอื่น แต่เมื่อใดที่ทุกคนมอบความสุข (ลูกโป่ง) ให้กับเพื่อนร่วมสังคมก่อนทีละคน ทุกคนจะได้ความสุขเท่าๆ กัน ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

Cr : Forward LINE




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2560   
Last Update : 22 พฤษภาคม 2560 10:39:45 น.   
Counter : 1176 Pageviews.  

10 บทเรียน ที่ควรรู้ก่อนอายุ 40 ... (คัดลอกจาก WorkVenture ไม่ได้เขียนเอง )







ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, ท้องฟ้า, ต้นไม้, สถานที่กลางแจ้ง, ข้อความ และ ธรรมชาติ


10 บทเรียน ที่ควรรู้ก่อนอายุ 40
https://workventure.com

บ่อยครั้งที่ใจ เดินออกไปไม่มองข้างทาง... “หลายครั้งที่เราก็ปล่อยให้ชีวิตเลยผ่านไป พอรู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว” มาดูข้อคิดดีๆ จากคนที่ประสบความสำเร็จก่อนวัย 40 ท่านหนึ่ง บอกเล่ากันดีกว่า... ว่าอะไรบ้าง ที่ทำให้ชีวิตเขาไปไวกว่าคนอื่นๆ และอะไรบ้าง ที่ทำให้หลายๆ คนตระหนักว่าตัวเองบกพร่องไป..
คงจะดี ถ้าข้อคิดเหล่านี้ ทำให้หนุ่มสาวอย่างเราๆ ได้ตระหนักและตื่นตัว ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยไป และเรากลายเป็นสิ่งไร้ค่า.. เหมือนเศษฝุ่น
#ชีวิตสั้นเกินกว่าจะทำตัวไร้ค่า #พัฒนาตัวเองก่อนจะสายไป

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ ข้อความ

1.ชีวิตสั้น อย่าทนกับงานที่ไม่ใช่
ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายที่ไม่ให้เกียรติ เพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้เรื่อง ความก้าวหน้าในงานที่ไม่มีที่ไป… แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะอดทนและปล่อยให้เวลาผ่านไป พอรู้ตัวอีกที อายุก็ปาไปเลข 4 แล้ว
ในขณะที่ความจริงแล้ว หลายคนที่ตัดสินใจหางานใหม่ ได้ตำแหน่งงานดีๆ และก้าวหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ซึ่งปัจจุบันการหางานก็ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก แค่ใช้เว็บไซต์คลิกๆ หางานแป้ปเดียว ไม่กี่นาที ก็เจองานที่ถูกใจแล้ว


ในภาพอาจจะมี 4 คน, ผู้คนกำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม

2.ความสำคัญของการเข้าสังคม
ในสมัย 22-23 หลังเรียนจบใหม่ๆ คุณอาจมองข้ามการเข้าสังคมไป ยังยึดติดกับเพื่อนมหาวิทยาลัยและไม่อยากเริ่มต้นความสัมพันธ์ในสังคมใหม่ๆ เพราะมันช่างยุ่งยาก และน่าเบื่อ แต่เมื่ออายุผ่านไป คุณจะรู้เลยว่า “ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคมนั้นแสนสำคัญ เพราะมันจะทำให้คุณได้มิตรสัมพันธ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในเชิงธุรกิจ หรือการเริ่มต้นงานในสาขาอาชีพใหม่ๆ”


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง และ ข้อความ

3.ทุ่มร่างกายกับงาน ไม่คุ้มค่า
เคยมีคนกล่าวว่า “หากบริษัทขาดคุณไป เค้าก็หาคนอื่นมาแทนคุณได้ แต่ถ้าครอบครัวขาดคุณไป ก็หาใครมา แทนที่คุณไม่ได้"
เมื่อถึงวัยหนึ่ง คุณจะเริ่มตระหนักว่าการใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วง ทำโอทีจนถึง 3 ทุ่ม และกลับถึงบ้านเที่ยงคืน ทำให้สุขภาพคุณเสียไป แม้ไม่อาจบอกว่าเปล่าประโยชน์ เพราะงานที่คุณทำก็ทำให้คุณได้รับเงินและประสบการณ์เป็นค่าตอบแทน แต่การทำงานหนัก เสียสุขภาพ และทุ่มเงินกับการรักษาตัวตอนแก่นั้น ช่างไม่คุ้มกันเสียเลย..

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

4.โลกออนไลน์ ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
พึงระลึกว่าโลกออนไลน์ คือโลกที่แตะต้องไม่ได้จริง และสมาร์ทโฟนทคือสิ่งที่ทำให้คุ
ณสูญเสียเวลาไปอย่างมหาศาล ดังนั้นถอยห่างจากมันบ้าง แล้วคุณจะพบว่าโลกภายนอกมีอะไรดีๆ ให้เรียนรู้อีกเยอะ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

5.จงอย่าหยุดเรียนรู้
การเรียนรู้แบบไม่สิ้นสุด ทำให้คุณพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ในขณะที่การไม่เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเลย จะทำให้คุณกลายเป็นคนล้าสมัย และติดกับโลกเก่าๆ ของตัวเอง การเรียนรู้จึงเป็นการเปิดโลกกว้างของคุณด้วย


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, รองเท้า, เด็ก และ สถานที่กลางแจ้ง

6.การเปลี่ยนแปลงคือความดีงามอย่างหนึ่ง
หลายคนกลัวการเปลี่ยนแปลง และตระหนกกับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งดีงาม เพราะมันทำให้คุณได้เรียนรู้ กระตุ้นศักยภาพในการพัฒนาตัวเองของคุณ และผลพลอยได้คือ คุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคต


ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า, ข้อความ และ สถานที่กลางแจ้ง

7.ไปคนเดียวอาจไปได้ไกล แต่ไปด้วยกัน “ไปได้ไกลกว่า”
เมื่อคุณอายุมากขึ้น จะรู้ว่าการทำงานเป็นทีม ทำให้งานเสร็จไว และมีประสิทธิภาพกว่าการทำงานคนเดียวมาก ดังนั้นเมื่อหลายคนอยู่ในช่วงอายุระดับหนึ่งแล้ว ลืมไปเลย เรื่องฉายเดี่ยว


ในภาพอาจจะมี ตาราง, ห้องนอน และ สถานที่ในร่ม

8.กังวลไปก็เท่านั้น
สิ่งที่จะรักษาความกลัวและความวิตกกังวลได้นั้นคือ การลงมือทำและความว่องไว ถ้าคุณมัวแต่เสียเวลาไปเพียงเพราะว่าคุณกำลังหวาดกลัวที่จะทำตามแนวคิดนั้นๆ มัวแต่พูดเพ้อเจ้อ หรือรู้สึกกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร คุณจะไม่มีวันบรรลุเป้าหมายของคุณ อย่างไรก็ตามถ้าคุณเอาชนะความวิตกกังวลและความกลัวเหล่านั้น แล้วลงมือทำ คุณจะพบว่าสิ่งที่คุณมัวแต่วิตกกังวลนั้นมันไม่มีอะไรเลย


ในภาพอาจจะมี ต้นพืช, เมฆ, พื้นหญ้า, สถานที่กลางแจ้ง, ธรรมชาติ และ ข้อความ

9. ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ
เมื่อสมัยมัธยมปลาย หรือมหาวิทยาลัย คนส่วนใหญ่มักจะกลัวความล้มเหลว กลัวจะติดเอฟ กลัวจะอกหัก กลัวจะทำงานออกมาไม่ดี กลัวทุกอย่าง จนกระทั่ง ใช้ชีวิตไม่เต็มที่..
แทนที่จะวิ่งไปสู่ความสำเร็จ ก็เลยหลายเป็นว่านั่งอยู่ที่เดิม ในคอมฟอทโซน
แต่เมื่ออายุได้เฉียดเลข 4 แล้ว คนส่วนใหญ่จะตระหนักได้ว่า ความล้มเหลวคือสิ่งที่ดี และเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และจริงๆ แล้ว ความล้มเหลวก็แค่ส่วนหนึ่งของความสำเร็จเท่านั้น


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, มหาสมุทร, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง, ธรรมชาติ และ น้ำ

10.ความสุขคือระหว่างทาง ไม่ใช่เพียงจุดหมาย
หลายคนคิดเฝ้าฝันให้ไปถึงความสำเร็จเร็วๆ เพราะตัวเองจะได้มีความสุขเสียที แต่จริงๆ แล้วความสุขที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากความสำเร็จในตอนท้ายเท่านั้น แต่ความสุขนั้นกลับเกิดขึ้นในระหว่างทาง เป็นความพึงพอใจที่ได้พยายามทำสิ่งต่างๆ และตระหนักในคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำ


ที่มา เฟส https://www.facebook.com/WorkVentureCom/
https://www.facebook.com/pg/WorkVentureCom/photos/?tab=album&album_id=1965717236989903

ติดตามอ่าน บทความดี ๆ ได้ที่ เวบ
https://www.workventure.com/
https://www2.workventure.com/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81

ปล. แถม ความเป็นมาของบริษัท WorkVenture  
https://www.workventure.com/aboutus

A brighter future through skills and knowledge.

WorkVenture เป็นองค์กรที่ทำธุรกิจเพื่อสังคม ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2557 โดยทีมงานของผู้สำเร็จการศึกษาจากจุ ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและศศินทร์ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสที่ดีกว่าสำหรั บนักศึกษาด้วยการทำวิจัยและพัฒนาร ะหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษ า

เป้าหมายของเราคือการคืนประโยชน์สู งสุดให้แก่สังคม ด้วยการเพิ่มการแข่งขันในของอุตสาห กรรมต่างๆ ในประเทศไทย โอกาสทางหน้าที่การงานที่ดีขึ้นสำหรับ คนรุ่นใหม่ โดยเพิ่มโอกาสและคุณภาพในการการ เข้าถึงการศึกษา

WorkVenture มีฟังก์ชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่ให้ใช้ สำหรับทั้งนักศึกษาและผู้ที่สำเร็จการศึ กษาไปแล้ว ในการหาอาชีพที่น่าสนใจ และโอกาสในการทำวิจัย โดยโอกาสเหล่านี้มาจากทั้งองค์กรที่ใ หญ่และมีชื่อเสียงจากทั้งไทยและต่างป ระเทศ

วิสัยทัศน์ของเราคือการเป็นสะพานเชื่อ มระหว่างสถาบันการศึกษาและผู้นำทา งด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากนวัตกรร มของมหาวิทยาลัย และความสามารถที่มีเพื่อช่วยพัฒนาสัง คมและเศรษฐกิจของประเทศไทย

Warm Greetings,
WorkVenture Team




 

Create Date : 26 มีนาคม 2560   
Last Update : 27 มีนาคม 2560 14:54:50 น.   
Counter : 2462 Pageviews.  

คนอายุเกิน 60 ปี ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายอะไรมากที่สุด ( สำนักข่าว Daily Mail อังกฤษ )



กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว

สำนักข่าว Daily Mail อังกฤษ ออกสัมภาษณ์คนอายุเกิน 60 ปีว่า ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายอะไรมากที่สุด และหากย้อนเวลากลับได้จะทำตัวใหม่ให้ต่างจากเดิม

คำตอบมากที่สุดมี 7 คำตอบ เรียงตามลำดับคำตอบที่มีคนตอบมากที่สุดดังนี้

1. ถ้าย้อนเวลากลับได้ จะเชื่อฟังพ่อแม่มากกว่านี้ เพราะพ่อแม่รู้จักเราดีและ หวังดีต่อเรา แม้เมื่อเราโตแล้ว สิ่งที่พ่อแม่พูดก็มีค่าควรฟัง

2. จะทำสิ่งที่อยากทำ เพราะเสียดายเวลาและโอกาสมากที่ตอนมีกำลังวังชากลับ ไม่กล้าทำ เพราะกลัวล้มเหลว พออายุ 60 แล้วถึงตระหนักว่า ความล้มเหลวหนักที่สุดของมนุษย์คือการไม่ทำ

3. การเดินทาง คนอายุเกิน 60 ทั้งหมดพูดเหมือนกันว่า ตอนที่ไปไหนได้คล่อง ดันไม่ไป ไม่มีเวลาบ้าง ไม่มีเงินบ้าง แล้วแต่จะอ้างกัน มาวันนี้มีเงิน มีเวลา แต่จะไปไหนๆก็ไม่สะดวก เหมือนก่อนแล้วยิ่งแก่ยิ่งไปยากใครที่ยังไหวจึง ควรไปเที่ยวเสีย คนที่ยังหนุ่มสาวก็ควรไป เพราะจะคล่องตัวและทำกิจกรรมต่างๆได้ดีกว่า ตอนแก่เยอะเลย

4. จะพูดคำว่ารักให้มากขึ้น ไม่ว่าจะบอกรักพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ป้าน้าอาลุง หลานเหลน โดยเฉพาะลูก และสามี ภรรยา บางที่เรานึกเองว่าเราทำ อะไรให้ตั้งเยอะ น่าจะรู้ แล้วว่ารักแต่ที่จริงถ้าเรา ไม่เอ่ยคำว่ารักก็เหมือนกับ หัวใจไม่ยอมเปิดและคน รอบข้างเขาจะขาดความมั่นใจโดยเฉพาะลูกที่พ่อแม่ ไม่เคยบอกว่ารักจะขาดความมั่นใจมาก ๆ

5.จะเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าที่เคยเป็นตอนหนุ่ม สาว และตอนทำงาน บางทีต้องทำเป็นชอบอะไร ตามสมัยให้เหมือนคนอื่น บางทีไม่กล้าแปลกแยก พอแก่แล้วถึงเข้าใจได้ว่า คนเราไม่สามารถเหมือนคน อื่นและเหมือนตัวเองได้ พร้อมกันและเมื่อมองย้อนอดีต จะเห็นชัดเจนว่า คนเงินเดือนสูงและประสบความสำเร็จนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่พยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่

6.เปลี่ยนงานหากงานที่ทำมันบั่นทอนจิตใจ มันหนักไป ถูกเอาเปรียบมากไป หรือมีปัญหาอื่น คนวัยเกิน60บอกว่า นึกไม่ออกว่าทำไมไม่หางานใหม่ ไปทนทำอยู่ทำไม

7. ถ้าย้อนเวลากลับได้ คนวัยเกษียณบอกว่าจะกังวล กับเรื่องต่างๆให้น้อยลง เพราะที่ผ่านมามัวไปกังวล เรื่องบ้าบอคอแตกมากมาย โดยไม่เกิดผลอะไรเลย กังวลแล้วทุกเรื่องก็จบลงได้ โดยที่ความกังวลไม่ได้ทำให้ จบลงดีหรือเลวกว่าเดิม

ถ้าจะเที่ยวก็ไม่ต้องคิดเยอะ แต่ถ้าคิดเยอะก็ยังไม่ต้องเที่ยว

อย่ารอให้คำว่า "รู้งี้... ทำก็ดี / ไปก็ดี" เกิดขึ้น เพราะเราไม่รู้อนาคตจะเป็นเช่นไร

IG: A_Traveler_Blog
https://www.facebook.com/atravelerblog/photos/a.444733172344438.1073741829.443848889099533/613215582162862/?type=3&theater

Cr.#GoodStoryFromJustHats




 

Create Date : 21 มกราคม 2560   
Last Update : 21 มกราคม 2560 21:21:49 น.   
Counter : 1507 Pageviews.  

ยืมอะไรยากที่สุด ? ยืมเงิน ! ... นั่นคือคำพูดของ ลีกาซิง



Dome Mario

ไปอ่านเจอมา บทความนี้ดีมากๆ
ยืมอะไรยากที่สุด? ยืมเงิน!
นั่นคือคำพูดของลีกาซิง มหาเศรษฐีฮ่องกง
.....

คนที่กล้าให้คุณยืมเงิน คือผู้อุปถัมภ์ของคุณ

คนประเภทนี้มีน้อยมากแล้วในสังคมทุกวันนี้ หากคุณมีวาสนาได้พบเจอ ต้องสำนึกคุณไปชั่วชีวิต

ตอนที่คุณลำบากเรื่องคน แล้วมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงคุณไว้ ไม่ใช่ว่าเพราะเขามีเงินมาก แต่เพราะน้ำใจของเขาที่อยากฉุดคุณให้ขึ้นจากหุบเหวของความลำบาก

ที่ให้คุณยืมนั้นมันไม่ใช่เงิน แต่มันคือความเชื่อใจความไว้ใจและกำลังใจ!

เพราะเชื่อในศักยภาพของคุณ เพื่อให้คุณพ้นจากความลำบากในตอนนั้น

หวังว่าคุณทั้งหลายที่เป็นคนยืมเงินอย่าได้เหยียบย่ำคำว่า "น้ำใจ" ที่ใครเขาให้มา เพราะคำว่า "เสียสัจจะ" คือการล้มละลายที่สาหัสที่สุดในชีวิตคนเรา ต้องระวังไว้ให้ดี

มิตรสหายที่จริงใจคือทรัพย์สมบัติที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต

...

ในขณะเดียวกัน ขอให้คุณพึงระลึกไว้เสมอว่า

...คนที่ชอบจ่ายเงินก่อน...
ไม่ใช่เพราะเขาอวดว่ามีเงินมาก แต่เป็นเพราะเขาเห็นว่ามิตรภาพสำคัญกว่าราคาอาหารในมื้อนั้น

...คนที่ยอมยกผลประโยชน์ให้คุณมากหน่อยตอนร่วมหุ้น...
ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เป็นเพราะเขารู้จักแบ่งปัน

...คนที่ยอมทำงานมากกว่าคนอื่น...
ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เป็นเพราะเขาอยากรับผิดชอบในหน้าที่และเขารักองค์กร

...คนที่ยอมขอโทษก่อนเวลาทะเลาะกัน...
ไม่ใช่เพราะเขาผิด แต่เป็นเพราะเขายังแคร์ความรู้สึกของคุณอยู่

...คนที่ยอมช่วยเหลือคุณไม่ว่าเรื่องใด...
ไม่ใช่เพราะเขาเป็นหนี้คุณ แต่เป็นเพราะเขาเห็นคุณเป็นเพื่อนแท้

...คนอื่นช่วยเหลือคุณนั่นเป็นเรื่องของน้ำใจ ที่ไม่ช่วยเหลือคุณนั่นก็เป็นเรื่องของเขา

...คนเป็นจำนวนมากแสดงท่าทางโกรธแค้นที่คนอื่นไม่ยอมให้ยืมเงิน ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธแค้นเขาเลย

...คนบางคนกลับทำตัวฉลาด ยืมแล้วไม่ยอมคืน! ...คนประเภทนี้ สักวันหนึ่งจะหมดค่าในสายตาของผู้คน

#หากการได้พบการได้รู้จักกันคือวาสนา การจะคบหากันให้ยาวนานต้องอาศัยสัจจะและความจริงใจ....

.....
Cr. ลีกาซิง
Cr. นุสนธิ์บุคส์

https://www.facebook.com/vatcharapat/posts/1208938985860735




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2559   
Last Update : 27 ธันวาคม 2559 20:40:07 น.   
Counter : 1333 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]