Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

นิทาน ... ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา





นิทานเรื่อง 'ตะเกียงวิเศษ'



กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียงก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่



ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า 'ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน'



ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดี และเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่ง

อยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า 'นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย'



ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า 'ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่' ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่า ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ



ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้ 'สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง' ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา 'ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง' เขาสั่งต่อไป ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา



'ฉันต้องการ.....' เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มต้นวิตกว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้ เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา



ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด



เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอ ถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา



ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา



ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่สามารถ ควบคุมยักษ์ตนนั้นได้ และ สามารถ ทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้






ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไรจะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของเรา
เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธ และความอิจฉา เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเรา เช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา

เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น เราก็สามารถ ใช้ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน




หมายเหตุ : นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้ คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร. อาจอง

ชุมสาย ณ อยุธยา



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





เรื่องที่ 2



ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่ สามารถ รักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างๆ ก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้ แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้



อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ



ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า 'โธ่เอ้ยวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป'


เศรษฐีดีใจมาก และคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคน มาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยัง ซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของ ฤาษี อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น



สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า 'หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน'

ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด



ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า 'ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมาย เพื่อ เปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว'



หาก เราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง

เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน



เรื่องจาก การพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์

โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





เรื่องที่ 3 +++... หาความสุขได้ที่ไหน...+++



ใน ตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆ เสาไฟฟ้าข้างถนน สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ เลยถามขึ้นว่า 'ยาย..ยาย.. ยายกำลังหาอะไรอยู่?'



หญิงชราผู้นั้นตอบว่า 'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ' พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย



'ยาย..ยาย.. ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน' ยายตอบว่า 'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า


'... พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป





เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป

มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่น



ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน?



คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา จากใจเรา ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา



แหล่งที่มา : จาก 'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





เรื่องที่ 4


มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง

'เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร'



สามีก็ตอบว่า 'อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน' แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า 'เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว'



อยู่มาวันหนึ่งภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ 'ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีใดซักผ้า'



สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า 'นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก'



'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็ยังถือเป็นภาระทางจริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ ...


โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา










Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2552 18:14:25 น. 3 comments
Counter : 1847 Pageviews.  

 
ดีจังเลยค่ะ วันหลังมาแบ่งใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: อุ๊ อุ๊ (oumon ) วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:53:27 น.  

 
สนุกดีครับ ได้ข้อคิดดีทุกอันเลย
ขอเซฟไว้ในเครื่องนะครับ


โดย: teeranet วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:53:14 น.  

 
มีข้อคิดดีค่ะ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อนะค่ะ


โดย: jaya (i'm jaya ) วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:40:02 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]