สนช.รับร่างกม.ให้จ่ายค่าปรับผ่านธนาคาร-ร้านสะดวกซื้อแก้ปัญหาตำรวจเก็บส่วย
ที่ประชุมสนช.มีมติรับร่าง พ.ร.บ.ชำระค่าปรับจราจร 181 เสียง เพิ่มช่องทางจ่ายผ่านธนาคาร-ร้านสะดวกซื้อ วิษณุ แจงเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ขับขี่ ล้อมคอกปัญหาตำรวจเก็บส่วย ด้านตำรวจจราจรเผยยอดใบสั่ง 1.4 ล้าน มาจ่ายค่าปรับแค่ 4 แสน เตรียมชงตัดคะแนนยึดใบขับขี่แทน พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาภายใน 30 วัน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 ที่รัฐสภา ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เป็นประธาน ได้มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ ...) พ.ศ...(เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอ ด้วยคะแนน 181 งดออกเสียง 3 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาภายใน 30 วัน โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงสาระสำคัญว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพิ่มช่องทางการชำระค่าปรับตามใบสั่งในกรณีที่ไม่มีการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้กับกับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถ ทั้งนี้เป็นการชำระด้วยวิธีการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิตหรือวิธีการอื่น โดยผ่านธนาคารหรือหน่วยบริการรับชำระเงิน เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำหนด โดยหลักในการเสนอกฎหมายนี้ ก็เพื่ออำนวยความสะดวก เตรียมมาตรการสำคัญในอนาคต และเป็นการพยายามคิดช่องที่ไม่ต้องมีการจ่ายเงินผ่านมือเจ้าหน้าที่ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเรื่องเหมือนที่เกิดเป็นข่าวในขณะนี้ โดยทั้งหมดเชื่อว่าจะทำให้เกิดวินัยได้ นายวิษณุ ได้ตอบคำถามของสมาชิกหลายคนที่แสดงความเป็นห่วงว่าจะมีการผูกขาดร้านสะดวกซื้อเฉพาะบางแห่ง ส่งผลต่อส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียม ว่า จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชำระค่าปรับ โดยชำระที่ธนาคารโดยมีธนาคารกรุงไทยเป็นหลัก ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่อื่นอีก ถ้ายังจะจ่ายกันเพียง 40 เปอร์เซ็นต์อีก ก็คงจะต้องคิดมาตรการอื่นต่อไป ทั้งนี้ ครม.มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม กฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเตรียมยกเครื่อง พ.ร.บ.จราจรทางบกทั้งฉบับเพื่อสร้างเรื่องวินัยจราจร เพื่อแก้ปัญหาเรื่องค่าปรับ ความปลอดภัยบนท้องถนน รวมทั้งดูเรื่องการเพิ่มโทษและอายุความ ส่วนเรื่องศาลจราจรก็คิดกันมานาน แต่คำตอบที่ได้รับคิดว่ายังไม่เหมาะสม อาจจะยังไม่ถึงเวลา เพราะในบางประเทศที่เขามีศาลจราจรมีค่าใช้จ่ายทั้งภาครัฐในการดำเนินการ และเอกชนที่จะต้องไปศาลสูงมาก ซึ่งอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ด้าน พล.ต.ท.อนันต์ ศรีหิรัญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ชี้แจงว่า ธนาคารหลักที่จะรับชำค่าปรับตามกฎหมายนี้ โดยหลักคือธนาคารกรุงไทย ส่วนร้านสะดวกซื้อ ไม่จำกัดจะเปิดรับชำระทุกหน่วยทุกราย ด้าน พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร ชี้แจงถึงการตั้งกล้องตรวจจับผู้กระทำผิดว่า ปัจจุบันตำรวจจราจรมีกล้องตรวจจับ 3 ประเภท กล้อง ตรวจจับสัญญาณไฟแดง มี 30 จุดทั่ว กทม. กล้องตรวจจับความเร็วใช้บนทางหลวงและทางพิเศษ และกล้องเปลี่ยนช่องทางจราจรที่มีเครื่องหมายห้ามเปลี่ยน ตร.เล็งชงเบี้ยวจ่ายตัดคะแนน ถอนใบขับขี่ โดยการตั้งกล้องทุกจุดจะมีป้ายเตือนเป็นระยะๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถทราบและเป็นการปราม แต่ยังมีเจตนาฝ่าฝืนต้องถูกออกใบสั่ง ทั้งนี้ในปี 2558 กทม. ได้ออกใบสั่งจำนวน 1.4 ล้านใบ แต่มีผู้มาชำระเพียง 4 แสนราย อย่างไรก็ตามการที่ผู้กระทำผิดไม่ยอมเสียค่าปรับ คงต้องใช้มาตรการอื่น เช่น การตัดคะแนน เพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ส่วนข้อเสนอเพิ่มความเร็วของรถเพื่อให้เหมาะกับถนนนั้นคิดว่าถ้าปรับความเร็วให้เหมาะกับสภาพรถและถนนปัจจุบัน และกำหนดโทษเพิ่มขึ้นด้วย เชื่อว่าจะควบคุมไม่เกิดอุบัติเหตุได้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีมติรับหลักการวาระ1 ด้วยคะแนน 181 งดออกสียง 3 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาภายใน 30 วัน จราจรให้ตำรวจออก 4 นาย-อมเงินใบสั่ง ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2559 มีรายงานว่า พล.ต.ต.มงคล วรุณโณ ผบก.จร. เซ็นคำสั่งกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)ที่ 217/2559 ลงวันที่ 19 เม.ย.59 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก พ.ต.ท.พัทธนนท์ เกียรติไพบูลย์ สว.งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. ,ด.ต.นิธิศ ผกาแก้ว ผบ.หมู่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร.,ด.ต.สุวรรณ์ ทองชมภู ผบ.หมู่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. และ ด.ต.ลภัส ขำพร้อม ผบ.หมู่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร.ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่ง บก.จร.ที่ 206/2559 ลงวันที่ 18 เม.ย.59 เรื่องใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริต และประพฤติ มิชอบต่อหน้าที่ราชการ การเบียดบังหรือเอาไปซึ่งเงินที่ได้จากการชำระค่าเปรียบเทียบปรับเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง หรือผู้อื่น อันเป็นความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบทางราชการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำการใดๆอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง และมีเหตุให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3 (1) และ (2) คือ ผู้ถูกกล่าวหาถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์อันไม่น่าไว้วางใจ หากให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการ และจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น และพิจารณาแล้วเห็นว่า การสอบสวนพิจารณาคดีที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 95 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบกับกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 8.จึงให้ข้าราชการตำรวจทั้ง 4 นาย ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย.59 เป็นต้นไป ผู้ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ได้ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 105 ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่ง หรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครอง หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ สำหรับประวัติของ พ.ต.ท.พัทธนนท์ ชื่อเล่นว่า เก่ง เป็นบุตรชายนายสมพล เกียรติไพบูลย์ อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 52 เคยเป็นนายตำรวจติดตาม พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. เคยตกเป็นข่าวดังจากคลิปยึดรถจักรยานยนต์ขึ้นรถกระบะไปที่ บก.จร. หลังจับกุมผู้ขับขี่รถ จยย.ไม่สวมหมวกกันน็อกและไม่มีใบขับขี่ย่านประตูน้ำ จนเกิดปะทะคารมกันจนเป็นข่าวครึกโครม หลังผู้ถูกจับกุมไปร้องเรียน ฝ่ายสารวัตรเก่งออกมาชี้แจงว่า ตำรวจสามารถยึดรถ จยย.ไปตรวจสอบได้ตามกฎหมาย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น.กล่าวว่า ผบก.จร.ได้รายงานให้ทราบว่า จากการตรวจ สอบของสำนักงานตรวจสอบภายใน (สตส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า มีการกระทำผิดในเรื่องวินัย จึงตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ผลการสืบสวนพบว่า มีข้อมูลความผิด จากนั้นตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จนมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนรายละเอียดการทุจริตยังไม่ได้รับรายงาน มีรายงานว่า เรื่องดังกล่าวสืบเนื่องจากสำนักงานตรวจสอบภายใน (สตส.) สตช.ตรวจพบความผิดปกติการเบิกจ่ายเงินค่าปรับจราจรภายใน บก.จร.ส่อไปในทางทุจริต ก่อนหน้านี้ตรวจพบการทุจริตเรื่องค่าปรับที่ กก.3 บก.จร. (ศูนย์ข้อมูลใบสั่ง) ประจำศูนย์ตรวจสอบใบสั่งและเปรียบเทียบปรับซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ 1 (บางขุนเทียน) เป็นหน่วยตรวจวัดควันดำ-เสียงดัง จนมีคำสั่งให้ตำรวจจราจรที่เกี่ยวข้องออกจากราชการไปแล้ว หลังจากนั้น สตส.จึงเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดทุกหน่วยในสังกัด บก.จร. จากเดิมที่ใช้วิธีการสุ่มตรวจ จากการตรวจสอบพบว่า ที่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. หรือตู้เปรียบเทียบปรับกำแพงเพชร ยอดเงินค่าปรับไม่ตรงกับใบเสร็จรับเงิน ประกอบกับมีผู้ร้องเรียนว่า ที่ตู้เปรียบเทียบปรับกำแพงเพชรค่อนข้างโหด เปรียบเทียบปรับผู้ที่กระทำผิดกฎจราจรในอัตราโทษสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับยอดเงินค่าปรับที่นำส่ง บก.จร.ไม่ตรงกัน จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจนพบว่า มีมูลความจริง จึงมีคำสั่งให้ พ.ต.ท.พัทธนนท์พร้อมพวกออกจากราชการตามคำสั่งดังกล่าว ที่มา thaitribune
Create Date : 22 เมษายน 2559 | | |
Last Update : 22 เมษายน 2559 14:13:56 น. |
Counter : 267 Pageviews. |
| |
|
|
|