พล.อ.ประวิตรปลื้มไทยรอดใบแดงประมงผิดกฎหมายอียูชมไทยมีความตั้งใจในการแก้ปัญหา โดยขยายเวลาประเมินออกไป



พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เผยได้รับแจ้งไทยรอดใบแดงจากอียูจากการประเมินการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายเพราะเห็นความตั้งใจในการแก้ปัญหาและขยายเวลาประเมินต่อไปอีกให้อีก 6 เดือน เตรียมเปิดห้องรับคำแนะนำจากผู้แทนอียู

 

วันที่ 23 พฤษภาคม 2559 เมื่อเวลา 12.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกล่าวระหว่างการบรรยายพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อนและการปฏิรูปประเทศไทย ด้านความมั่นคง” ภายในงานสัมมนาการขับเคลื่อนและการปฏิรูปประเทศ

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังจะมีข่าวดีทางอียูได้มีการประเมินมาตรการแก้ไข้ปัญหาประมงผิดกฎหมายของไทย ปรากฏว่าไทยไม่โดนไม่แดง ถือว่ารอดไป โดยตนได้รับแจ้งทางวาจาจากเจ้าหน้าที่ของไทยที่ได้เดินทางไปประชุมกับอียู ซึ่งตอนนี้ยังต้องรอเอกสารทางการออกมายืนยันอีกครั้ง

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่าที่ทางการไทยได้ทำมาทั้งหมดถือว่าเข้าตาอียูเขาชื่นชมว่าเราทำได้ดีขึ้นและมีความตั้งใจในการดำเนินการตามที่อียูบอกมา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมายโดยอียูขยายเวลาในการประเมินต่อไปอีก 6 เดือน หากเราตั้งใจเช่นนี้ต่อไปโอกาสในการได้ใบเขียวมีความแน่นอนมากขึ้น

ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการเลื่อนลำดับขึ้นมาเพียงแต่มีการขยายเวลาออกไป ซึ่งการที่อยู่ในตำแหน่งเดิมนั้นถือว่าเก่งแล้ว เนื่องจากปัญหาสะสมมาเป็นเวลานาน รัฐบาลเพิ่งเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยทุกหน่วยงานร่วมกันทุ่มเท ช่วยกัน ทางอียูได้ส่งจดหมายแจ้งมาว่าในปลายเดือน มิ.ย.เจ้าหน้าที่อียูจะเดินทางมาพบตน

นอกจากนี้ทางอียูยังได้มีจดหมายแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องโอเวอร์ฟิชชิง และจีพีเอสที่ติดไม่ครบ สำหรับการดำเนินการทางกฎหมายต่างๆ ทางการไทยได้ดำเนินการไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1 พันกว่าคดี ซึ่งทางอียูก็มีความพึงพอใจ แต่ขอให้เราทำมากขึ้น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 20:09:23 น.
Counter : 218 Pageviews.  

จัดระเบียบพื้นที่ท่องเที่ยว 9 เกาะใหญ่ มีผลพรุ่งนี้ “ห้ามดำน้ำลึก ห้ามสอนดำน้ำ” โทษคุก 1 ปี ปรับ1 แส



เปิดคำสั่ง “กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง”จัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยวทะเลชื่อดัง มีผลพรุ่งนี้ เกาะมันใน จ.ระยอง - เกาะทะลุ เกาะเหลื่อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ - เกาะไข่ จ.ชุมพร – เกาะราชาใหญ่ เกาะไม้ท่อน แหลมพันวา จ.ภูเก็ต - เกาะไข่นอก เกาะไข่นุ้ย และเกาะไข่ใน จ. พังงา ห้ามดำน้ำลึก ห้ามท่องเที่ยวดำน้ำตื้นเพื่อดูปะการัง ห้ามมีกิจกรรม การเรียนการสอนดำน้ำ ห้ามไม่ให้เรือทุกชนิดเข้าไปในพื้นที่แนวปะการัง ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

       วันนี้(23 พ.ค.) มีรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คําสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ ๔๔๓/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการระงับความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เกาะไข่นอก เกาะไข่นุ้ย และเกาะไข่ใน อําเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา

       ด้วยปัจจุบัน การใช้ประโยชน์ทางทะเล หลายกิจกรรมเป็นภัยคุกคามต่อสถานภาพของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มีการทิ้งสมอเรือบริเวณแนวปะการัง มีการบุกรุก ยึดถือครอบครองพื้นที่ เกาะไข่นอก เกาะไข่นุ้ย และเกาะไข่ใน อําเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เป็นจํานวนมากส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะการทําลายแนวปะการัง ซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่มีความสําคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าจะทําให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น และอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการท่องเที่ยวที่มีความสําคัญทางด้านเศรษฐกิจภายในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศ

       อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๗ ประกอบมาตรา ๓ และมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบมาตรา ๓๒แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงมีคําสั่งในการกําหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อระงับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เกาะไข่นอก เกาะไข่นุ้ย และเกาะไข่ใน อําเภอเกาะยาวจังหวัดพังงา ตามแผนที่แนบท้ายคําสั่งนี้ ดังนี้

       ข้อ ๑ ห้ามจอดเรือโดยการทิ้งสมอบริเวณพื้นที่เกาะไข่นอก เกาะไข่นุ้ย และเกาะไข่ในอําเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เว้นแต่จอดเรือในบริเวณพื้นที่ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกําหนดไว้เท่านั้น

       ข้อ ๒ ห้ามเล่นเครื่องเล่นกีฬาทางน้ํา ทุกชนิด อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

       ข้อ ๓ ห้าม ค้นหา ล่อ จับ ได้มา เก็บสัตว์น้ํา หรือกระทําใด ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อล่อจับ ได้มา หรือเก็บสัตว์น้ํา หรือให้อาหารสัตว์น้ํา

       ข้อ ๔ ห้ามกระทําการก่อสร้าง ยึดถือ ครอบครอง หรือกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

       ข้อ ๕ ห้ามทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล ของเสีย น้ําเสีย หรือสิ่งอื่นใด ที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

       ข้อ ๖ บุคคล หรือผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวดําน้ําตื้น จะต้องไม่กระทําการใด ๆ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

       ข้อ ๗ ผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวดําน้ําลึก ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนําเที่ยวจากสํานักทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ และจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและหลักการของสถาบันการเรียนการสอนดําน้ําสากล

       ข้อ ๘ บุคคลใด หรือนิติบุคคลใด หรือผู้ประกอบกิจการใด ซึ่งเป็นเจ้าของเรือหรือยานพาหนะใด ที่ใช้ในการเข้า หรือออก บริเวณเกาะไข่นอก เกาะไข่นุ้ย และเกาะไข่ในอําเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ให้ไปจดแจ้งทะเบียนเรือ หรือยานพาหนะนั้น ณ ที่ทําการสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ ๖ (จังหวัดภูเก็ต) ภายใน ๓๐ วัน นับแต่คําสั่งนี้มีผลบังคับใช้

       ข้อ ๙ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามตามคําสั่งนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตามความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘

       ข้อ ๑๐ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ดําเนินการภายใต้คําสั่งนี้ ตามอํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้ตามกฎหมายภายในท้องที่รับผิดชอบ

       ข้อ ๑๑ การดําเนินการตามคําสั่งนี้มิให้ใช้บังคับกับการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นการศึกษาและวิจัยทางวิชาการ ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี

       ข้อ ๑๒ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปและมีกําหนดระยะเวลาบังคับใช้จนกว่าทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะมีความอุดมสมบูรณ์เข้าสู่ภาวะปกติและความเสียหายระงับสิ้นไป

       อีกฉบับ คําสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ ๔๔๕/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการระงับความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อทรัพยากรปะการัง บริเวณ ๗ พื้นที่ ได้แก่ (๑) เกาะมันใน จังหวัดระยอง (๒) เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (๓) เกาะเหลื่อม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (๔) เกาะไข่ จังหวัดชุมพร (๕) เกาะราชาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต (๖) แหลมพันวา จังหวัดภูเก็ต และ (๗) เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต

       ด้วยปัจจุบันอุณหภูมิน้ําทะเลฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันมีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติจากการสํารวจพบว่าปะการังฟอกขาวใน ๗ พื้นที่ ได้แก่ (๑) เกาะมันใน จังหวัดระยอง (๒) เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (๓) เกาะเหลื่อม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (๔) เกาะไข่ จังหวัดชุมพร (๕) เกาะราชาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต (๖) แหลมพันวา จังหวัดภูเก็ต และ (๗) เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต ปะการังที่ฟอกขาวมีแนวโน้มจะตายลงในเวลา ๑ เดือน ขึ้นอยู่กับชนิด พันธุกรรมของปะการังสภาพแวดล้อม และการรบกวนจากมนุษย์ ซึ่งหากปะการังตายลงจะส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสัตว์น้ําในทะเลไทย วิถีชีวิตชุมชนชายฝั่ง การท่องเที่ยวทางทะเล โดยปัจจุบันพบว่ายังมีกิจกรรมของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อปะการังในบริเวณดังกล่าว ทั้งการท่องเที่ยวดําน้ํา การประมง การทิ้งมลพิษและขยะทะเล การเหยียบย่ําปะการัง ซึ่งตามหลักทางวิชาการในช่วงที่วิกฤตของปะการังนี้กิจกรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อปะการัง

       อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๗ ประกอบมาตรา ๓ และมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงมีคําสั่งในการกําหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อระงับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรปะการัง บริเวณ ๗ พื้นที่ ได้แก่

       (๑) เกาะมันใน จังหวัดระยอง (๒) เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์(๓) เกาะเหลื่อม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (๔) เกาะไข่ จังหวัดชุมพร (๕) เกาะราชาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต (๖) แหลมพันวา จังหวัดภูเก็ต และ (๗) เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต ตามแผนที่แนบท้ายคําสั่งนี้ ดังนี้

       ข้อ ๑ ห้ามจอดเรือโดยการทิ้งสมอเรือบริเวณแนวปะการัง

       ข้อ ๒ ห้ามทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น้ําเสีย มลพิษ ลงในทะเล ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพน้ําทะเลอันจะส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง

       ข้อ ๓ ห้ามการขุดลอกร่องน้ําในแนวปะการัง

       ข้อ ๔ ห้ามการกระทํากิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดตะกอนลงสู่แนวปะการังอันจะส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง

       ข้อ ๕ ห้ามค้นหา ล่อ จับ ได้มา เก็บสัตว์น้ํา หรือการกระทําใด ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อล่อ จับ ได้มา หรือเก็บสัตว์น้ําในบริเวณแนวปะการัง

       ข้อ ๖ ห้ามการให้อาหารปลาและสัตว์น้ําในแนวปะการัง

       ข้อ ๗ ห้ามการเดินเหยียบย่ําปะการัง

       ข้อ ๘ ห้ามการเก็บหรือทําลายปะการัง เว้นแต่การกระทําเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิชาการ

       ข้อ ๙ บุคคล หรือผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวดําน้ําตื้นจะต้องไม่กระทําการใด ๆ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง

       ข้อ ๑๐ ผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวดําน้ําลึก ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนําเที่ยวจากสํานักทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ และจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและหลักการของสถาบันการเรียนการสอนดําน้ําสากล

       ข้อ ๑๑ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามตามคําสั่งนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับตามความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘

       ข้อ ๑๒ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ดําเนินการตามคําสั่งนี้ ตามอํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้ตามกฎหมายภายในท้องที่รับผิดชอบ

       ข้อ ๑๓ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปและมีระยะเวลาบังคับใช้จนกว่าสถานการณ์ปะการังฟอกขาวจะกลับสู่สภาวะปกติ และความเสียหายระงับสิ้นไป

       สั่ง ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙

       สุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ

       อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

       มีรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยนายศักดา วิเชียรศิลป์ รองอธิบดีฯ ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการ ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เกาะไข่นุ้ย เกาะไข่นอก และเกาะไข่ใน อ.เกาะยาว จ.พังงา เปิดเผยว่า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. และ น.ส.สุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลฯ ได้รับการร้องเรียนจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยว ว่ามีการบุกรุกพื้นที่และทำลายปะการัง รวมทั้งการเรียกรับผลประโยชน์ในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่บริเวณพื้นที่เกาะไข่นุ้ย เกาะไข่นอก และเกาะไข่ใน อ.เกาะยาว จ.พังงา แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของทะเลอันดามัน และ จ.พังงา

       ทั้งนี้ พบว่าสถานการณ์ในพื้นที่ 3 เกาะนี้ค่อนข้างรุนแรง มีการบุกรุกพื้นที่เกาะไข่นอก ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างและร้านค้ารองรับนักท่องเที่ยว จำนวน 15 หลัง เกาะไข่ใน จำนวน 7 หลัง เกาะไข่นุ้ย จำนวน 1 หลัง ทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งปัญหาขยะ น้ำเสีย ไม่ต้องพูดถึงอาหารที่ขายมีราคาแพงมาก ที่สำคัญมีการทำลายแหล่งปะการังน้ำตื้นของ 3 เกาะ พื้นที่รวมกันประมาณ 368 ไร่ เสียหายมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยเรือนักท่องเที่ยวทิ้งทุ่นสมอจอดเรือ นักท่องเที่ยวเหยียบจับ เก็บซากปะการัง จนเสียหาย โดยในเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา จับกุมเรือนำเที่ยวที่ฝ่าฝืนกฎหมายทิ้งสมอในแนวปะการัง จำนวน 18 ลำ และดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่เก็บซากปะการังอีกจำนวนมาก

       พบว่า ปัญหาของเกาะไข่นุ้ย เกาะไข่นอก และเกาะไข่ใน เกิดขึ้นเพราะมีนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี มีเรือท่องเที่ยวพานักท่องเที่ยวเข้าชมบนเกาะทั้ง 3 เกาะวันละ 60-70 เที่ยว โดยเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวได้ลำละ 45-50 คน หรือประมาณวันละ 3,500-4,000 คนถ้าเป็นวันหยุดมีนักท่องเที่ยวเกือบหนึ่งหมื่นคนเก็บค่าท่องเที่ยวรายหัวจากนักท่องเที่ยวประมาณ 1,000 บาทเศษ ทำให้มีรายได้มากกว่าวันละ 2-3 ล้านบาท ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายกับสภาพแวดล้อมของทั้ง 3 เกาะ ที่ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ โดยเกาะไข่นอกมีพื้นที่บนบกเพียง 16 ไร่ เกาะไข่นุ้ยมีพื้นที่บนบก 2 ไร่ ส่วนเกาะไข่ในมีพื้นที่บนบก 27 ไร่ แต่ปัญหาที่มากกว่าคือ การหาผลประโยชน์ จากกลุ่มนายทุน จากการตรวจสอบพบว่ามีไม่น้อยกว่า 7 กลุ่ม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนได้เสียกับการท่องเที่ยวบน 3 เกาะดังกล่าวด้วย

       โดย กรมจะจัดระเบียบเกาะไข่นุ้ย เกาะไข่นอก และเกาะไข่ใน อย่างเข้มข้น อาทิ ห้ามไม่ให้จอดเรือโดยการทิ้งสมอเรือบริเวณแนวปะการังโดยเด็ดขาด ห้ามดำน้ำลึก ห้ามท่องเที่ยวดำน้ำตื้นเพื่อดูปะการัง ห้ามมีกิจกรรม การเรียนการสอนดำน้ำ ห้ามไม่ให้เรือทุกชนิดเข้าไปในพื้นที่แนวปะการัง เป็นต้น ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการท่องเที่ยว หากยังไม่ดีขึ้นใน 3 เดือนคือตั้งแต่ มิ.ย.-ส.ค.นี้ ทช. จะใช้มาตรา 17 พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 เพื่อทำการปิดเกาะทั้ง 3 แห่งโดยเด็ดขาด.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 19:10:17 น.
Counter : 256 Pageviews.  

ตำรวจเร่งไล่ล่าโจรสะพานลอยโรคจิตดักปล้น "เหยื่อ" บนสะพานลอยหน้าม.เกษตร มีดจี้คอบังคับอม “นกเขา”



ไล่ล่าโจรหื่นใช้มีดจี้ชิงทรัพย์สาวประเภทสองกลางสะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยเกษตร พฤติกรรมสุดอุกอาจหวังข่มขืนเหยื่อคาป้ายรถเมล์แต่ทำไม่ได้เลยบังคับให้อมนกเขาแทน

 

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2559 เวลา 22.20 น. ขณะที่ด.ต.สหรักษ์ บุญครอง ผบ.หมู่ ป.สน.บางเขน และส.ต.ต.อดิศักดิ์ นันทภาพ ผบ.หมู่ ป.สน.บางเขน ขับจยย.สายตรวจมาถึงบริเวณป้ายรถเมล์ประจำทาง หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พบนายเจ (นานสมมุติ) อายุ 19 ปี สาวประเภทสอง อาชีพพนักงานขายโทรศัพท์มือถือที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านรังสิต เข้ามาแจ้งว่าได้ถูกคนร้ายเป็นชายใช้อาวุธจี้ชิงทรัพย์และยังถูกกระทำอนาจารขณะเดินอยู่บนสะพานลอยคนข้ามถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งม.เกษตร ยืนขอความช่วยเหลือในที่เกิดเหตุ

โดยนายเจ เล่าด้วยอาการหวาดกลัวว่าขณะที่กำลังเดินอยู่บนสะพานลอยดังกล่าวนั้น เพื่อจะนั่งรถกลับที่พักย่านดอนเมือง ได้มีคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 30-35 ปี ใช้อาวุธมีดจี้ที่คอของตนเอง ก่อนบังคับให้นั่งลง จากนั้นคนร้ายก็ได้เปิดกระเป๋าพร้อมรื้อค้นทรัพย์สิน แล้วจึงหยิบเงินสดไป 100 กว่าบาท

จากนั้นคนร้ายยังไม่หยุดพฤติกรรมคุกคาม ใช้กำลังบังคับพามายังป้ายรถประจำทางม.เกษตรศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีรถผ่านไปผ่านมาแต่ไม่มีคน ก่อนจะข่มขู่ว่าต้องการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตน เพราะคิดว่าเป็นผู้หญิงจริงๆ แต่ตนบอกว่าเป็นสาวประเภทสอง คนร้ายจึงเปลี่ยนใจรูดซิปกางเกงก่อนบังคับให้สำเร็จความใคร่ด้วยปากแทน ซึ่งตนพยายามปฏิเสธยกมือไหว้ขอชีวิตแต่ก็ถูกข่มขู่จะฆ่าให้ตายจนต้องยอมทำให้ กระทั่งคนร้ายสำเร็จความใคร่ไป 1 ครั้ง ก่อนจะหลบหนีมุ่งหน้าไปยังถนนตัดใหม่เลียบคลองบางเขน (วิภาวดีรังสิต-พหลโยธิน) จนทางตำรวจผ่านมาถึงที่เกิดเหตุ จึงขอความช่วยเหลือ

ด้าน ด.ต.สหรักษ์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนทราบว่าหลังก่อเหตุคนร้ายได้หลบหนีมุ่งหน้าไปยังถนนตัดใหม่เลียบคลองบางเขน สำหรับพื้นที่เกิดเหตุนั้นพบว่าอยู่ในความรับผิดชอบของสน.ทุ่งสองห้อง จึงได้ประสานนำผู้เสียหายส่งไปพบร้อยเวร สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดกับคนร้ายต่อไป

ขณะที่ พ.ต.ท.พิภพ สุขก่ำ รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งสองห้อง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ชุดสืบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเพื่อหาพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงต่างๆ รวมถึงภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง เพื่อเร่งติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัดอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้มาก เนื่องจากเกรงว่าผู้เสียหายจะได้รับความอับอาย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 18:27:09 น.
Counter : 538 Pageviews.  

นักวิชาการแนะรัฐออกกฎหมายห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ ลดความรุนแรง อาชญากรรม



นักวิชาการ ชงรัฐออกกฎหมายห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ ลดปัญหาความรุนแรง อาชญากรรม สร้างปลอดภัย “นักท่องเที่ยวต่างชาติ - คนไทย” เปิดผลสำรวจประชาชน 80% ได้รับความเดือดร้อนจากคนดื่มสุรา

 

       นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว อาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงกรณีวันรุ่นไทยดื่มสุราก่อเหตุทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หัวหินในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก ว่า การดื่มสุราของวัยรุ่นกลุ่มนี้เป็นการดื่มสุราแบบตั้งวงดื่มในพื้นที่สาธารณะ ภาครัฐควรจัดการแก้ไขปัญหาโดยการออกกฎหมาย “การห้ามดื่มสุราในพื้นที่สาธารณะ (Open container law)” เพื่อป้องกันเหตุการณ์การทำร้ายนักท่องเที่ยวไม่ให้เกิดขึ้นอีก การดื่มในลักษณะนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายในหลายประเทศโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ทั้งนี้ การออกกฎหมายการห้ามดื่มสุราในพื้นที่สาธารณะพร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วอย่างจริงจัง เป็นทางเลือกหนึ่งที่ภาครัฐสามารถทำได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสวัสดิภาพความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว รวมไปถึงประชาชนชาวไทยเอง

       “หลักการของกฎหมาย คือ ห้ามดื่มสุราในพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ทางเท้า ที่จอดรถ รวมไปถึงการดื่มสุราขณะขับขี่หรือโดยสารบนยานพาหนะ โดยหลักฐานที่ใช้ดำเนินคดี คือ บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มสุราที่ถูกเปิดฝาออก (open container) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียกกฎหมายลักษณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น นาย A เดินถือกระป๋องเบียร์ที่เปิดฝาแล้วอยู่บนทางเท้า แม้นาย A ไม่ได้แสดงพฤติกรรมการดื่มเบียร์ให้เห็น หรือมีพฤติกรรมเมาสุราก็ตาม ถือว่านาย Aกระทำผิดกฎหมายการห้ามดื่มสุราในพื้นที่สาธารณะทันที” นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว

       นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากงานวิจัยเรื่องการทบทวนองค์ความรู้เรื่อง แอลกอฮอล์กับความรุนแรงของแผนงานการพัฒนาระบบการดูแลผู้มีปัญหาการดื่มสุรา สสส. ปี 2556 พบว่า การดื่มสุราทำให้เพิ่มความเสี่ยงการทะเลาะวิวาทเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าในเพศชาย และ 14 เท่าในเพศหญิง เนื่องจากสุราออกฤทธิ์ต่อสมองทำให้อารมณ์ของผู้ดื่มแปรปรวนในลักษณะก้าวร้าวและมีการตัดสินใจแย่ลง โดยในกลุ่มที่ดื่มสุราเป็นประจำ เพศชายเกือบครึ่งหนึ่ง และเพศหญิงประมาณ 1 ใน 3 เคยประสบเหตุทะเลาะวิวาทจากการดื่มสุรา นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก ร่วมกับ สสส. ได้สำรวจเรื่องอันตรายต่อผู้อื่นจากการดื่มสุรา (The Harm to Others from Drinking) ปี 2558 กลุ่มตัวอย่างกว่า 80% เคยได้รับความเดือดร้อนจากการดื่มสุราของผู้อื่นในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และที่น่าตกใจ คือ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนถึง 25% ระบุว่า เด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลเคยได้รับความเดือดร้อนจากการดื่มสุรา สะท้อนให้เห็นว่า การดื่มสุรานอกจากก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ดื่มแล้ว ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างและสังคม ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติด้วย

พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 31 กำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณดังต่อไปนี้

1.    วัดหรือสถานที่สำหรับปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา เว้นแต่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา

2.    สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ สถานพยาบาลตามก.ม.ว่าด้วยสถานพยาบาล และร้านขายยาตามก.ม.ว่าด้วยยา ยกเว้นบริเวณที่จัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล

3.    สถานที่ราชการ ยกเว้นบริเวณที่จัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล หรือสโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี

4.    สถานศึกษาตามก.ม.ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ยกเว้นบริเวณที่จัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล หรือสโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี หรือสถานศึกษาที่สอนการผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และได้รับอนุญาตตามก.ม.ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ

5.    สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตามก.ม.ว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงหรือร้านค้าในบริเวณสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง 

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 16:32:31 น.
Counter : 210 Pageviews.  

รวบหนุ่มหื่นย่องปล้ำแฟนเพื่อนหวังข่มขืน ฝ่ายหญิงฮึดสู้-กัดลิ้นเกือบขาด รับสารภาพดื่มสุราจนมึนเมาเกิด



หนุ่มแสบแอบชอบแฟนเพื่อนซดเหล้าเมาเกิดอารมณ์ ออกอุบายยืมกุญแจรถเพื่อนย่องไขประตูบุกปล้ำกลางดึกหวังข่มขืนแต่ฝ่ายหญิงฮึดสู้ กัดลิ้นคนร้ายจนเลือดสาดกลบปากก่อนแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าตะครุบตัวยอมรับสารภาพแอบหลงรักเหยื่อเพราะรูปร่างหน้าตาดีเมาเหล้าเกิดอารมณ์ทนไม่ไหวบุกเข้าไปก่อเหตุ

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2559 พ.ต.ต.สุนทราพร จาตูม สว.(สอบสวน) สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้รับแจ้งความจาก น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี ชาว จ.อุดรธานี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 25 ปี แฟนหนุ่ม ว่า ถูกนายวัลลภ กล่อมเกลี้ยง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81 หมู่ที่ 7 ต.ม่วงสามสิบ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี บุกเข้าไปในห้องพัก ก่อนใช้กำลังประทุษร้ายพยายามข่มขืนและจูบปา แต่ได้ขัดขืนต่อสู้โดยกัดลิ้นจนนายวัลลภได้รับบาดเจ็บวิ่งหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ

ด้านแฟนผู้เสียหายให้การว่า ขณะแฟนสาวนอนดูทีวีในห้องพักได้เกิดอาการปวดท้องขึ้นมา ตนจึงขี่รถจักรยานยนต์ออกไปซื้อยาที่ร้านหน้าปากซอย แต่ระหว่างทางได้พบนายวัลลภ ซึ่งเป็นเพื่อนกันนั่งกินเหล้าอยู่ จึงได้ไปคุยด้วย แต่ระหว่างนั้นนายวัลลภได้ขอยืมรถจักรยานยนต์ของตน ขี่ออกไปโดยบอกว่า จะไปซื้อลูกชิ้น จนเวลาผ่านไปกว่า 1 ชม. จึงได้นำรถจักรยานยนต์กลับมาคืน โดยนายวัลลภมีสภาพเลือดเต็มปากจึงได้สอบถามว่าไปโดนอะไรมา แต่นายวัลลภกลับบอกว่าโดนคู่อริรุมทำร้าย ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจ

จนกระทั่งซื้อยาเสร็จ กลับมาถึงห้องพัก พบแฟนสาวอยู่ในอาการตกใจและบริเวณพื้นห้องมีคราบเลือดตกอยู่ ก่อนที่แฟนสาวจะเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ระหว่างที่ตนไม่อยู่นั้น นายวัลลภบุกเข้ามาในห้องก่อนที่จะลงมือทำร้ายและพยายามกระทำชำเรา โดยใช้มือกดที่คอและใช้ปากจูบแต่แฟนสาวฮึดสู้ ขัดขืน และกัดลิ้นของนายวัลลภอย่างแรงจนนายวัลลภได้รับบาดเจ็บ นายวัลลภเห็นท่าไม่ดีจึงได้ลุกออกจากร่างแฟนสาวและวิ่งหลบหนีไปจากห้องอย่างรวดเร็ว จึงรีบไปแจ้งตำรวจในตู้ยามใกล้ที่เกิดเหตุ ก่อนเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมตัวนายวัลลภเอาไว้ได้ แต่ยังให้การปฏิเสธ กระทั่งช่วงสายจึงได้พาแฟนสาวมาแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับนายวัลลภ

หลังจากนั้นเวลาประมาณ 12.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประกอบด้วย พ.ต.ท.โสภณ มงคลโสภณรัตน์ รอง ผกก.สภ.เมือง พ.ต.ท.นพดล ช่างเรือน สว.สส.พร้อมด้วยกำลังฝ่ายสืบสวน ได้ออกสืบสวนได้จับกุมนายวัลลภ ผู้ต้องหาได้ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ และนำตัวมาทำการสอบสวน

นายวัลลภ รับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยแอบชอบแฟนเพื่อนมานานแล้ว เพราะเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ซึ่งก่อนเกิดเหตุดื่มสุราจนเมา จึงเกิดอารมณ์ทางเพศจึงออกอุบายขอยืมรถเพื่อน ขี่ไปยังห้องผู้เสียหาย และใช้กุญแจห้องที่ติดอยู่กับรถจักรยานยนต์ไขเข้าไป ก่อเหตุดังกล่าว

เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำอนาจารผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นไม่สามารถขัดขืนได้ และส่งผู้เสียหายและผู้ต้องหาไปแพทย์เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบคดีต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 16:07:25 น.
Counter : 334 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.