รัฐบาล และ คสช. กับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง กรณียื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่บอกกล่าวกันไปหลายครั้งหลายคราวแล้ว แต่บางกลุ่มบางพวกยังทำเป็นไม่เข้าใจ หรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ซึ่งหากจะไม่พูดถึงอีก ก็เหมือนจะปล่อยให้บางกลุ่มบางพวกนั่นย่ามใจ คิดว่าทำถูก และถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ บ้านเมืองก็จะเสียหายได้ มีคณบดีคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยบรรดาครูบาอาจารย์ด้วยกันเรียกตัวเองว่าเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ไปยื่นหนังสือที่สำนักงานสหประชาชาติบอกว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศฯ หลายฉบับมารองรับกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้ ได้บรรยายว่ามีการจับกุมคุมขังประชาชน นิสิตนักศึกษา นักวิชาการ สื่อมวลชนและนักกิจกรรม ที่ได้แสดงความคิดเห็นที่ต่างกับ คสช. ด้วยความผิดในฐานต่างๆ อาทิ ความผิดเกี่ยวคอมพิวเตอร์ และความผิดเกี่ยวกับสถาบัน เครือข่ายฯ ระบุว่าจนกระทั่งหลังสุดจับกุมประชาชน 8 คน ถือเป็นจุดเริ่มต้นการกวาดล้างผู้เห็นต่าง สร้างบรรยากาศความกดดัน และสอดคล้องกับที่รัฐบาลพยายามให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ หัวหน้าผู้ยื่นหนังสือประท้วงระบุท้ายหนังสือว่า มีความกังวลต่อสถานการณ์ ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จึงเรียกร้องให้ยูเอ็นตรวจสอบข้อเท็จจริงนี่ เพื่อให้แสดงท่าทีไปยังรัฐบาลและ คสช. ให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกกรณีโดยเร็ว กลุ่มผู้ยื่นหนังสือบอกกับสื่อมวลชนว่า ต้องยกระดับการพูดคุยในประเด็นดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ระดับที่สูงขึ้น และผลักดันเรื่องนี้ไปที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ที่นครเจนีวา เพื่อกดดันอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยหันมาพูดคุยกับนักวิชาการมากขึ้น โดยเน้นที่เสรีภาพทางวิชาการ ความคิดเห็นและการลงประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการพูดคุยกับคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ยังไม่มีโอกาสพูดคุย ท้ายสุดกลุ่มคัดค้านยังบอกด้วยว่ามีแต่การเรียกไปปรับทัศคติ การร้องเรียนด้วยเหตุใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม อันเนื่องมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นๆ ที่จะเข้าไปช่วยเหลือจัดการแก้ปัญหาที่ไม่เป็นธรรม หน่วยงานอื่นใดที่ไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ก่อเหตุไม่อาจที่จะเข้าไปช่วยเหลือหรือแก้ปัญหานั้นๆ ได้ แต่เดิมที่เริ่มมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็เล็งเห็นว่าอาจมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นได้ จึงได้ตั้งศูนย์บริการประชาชน1111 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนทุกประเพทที่เกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังใช้ได้หรือจะเป็นศูนย์ดำรงธรรมที่กระจายทั่วราชอาณาจักรเพื่อประโยชน์กับประชาชนที่จะให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยราชการต่างๆ หรือรัฐบาล หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าช่วยเหลือในกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องที่เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาตินั้น หากเจตนาดี,หากหวังตั้งสติที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงจังในฐานะที่เป็นคนไทยและเห็นว่าพฤติการณ์ต่างๆ ที่กล่าวหาควรที่จะให้ผู้ปกครองบ้านเมืองแก้ไขปัญหาให้แล้ว ก็น่าที่จะร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือเรียกร้องให้รัฐบาลได้รับรู้รับทราบปัญหาและช่วยเหลือในการแก้ไข การยื่นหนังสือต่อองค์การระหว่างประเทศ ไม่มีเหตุผลอื่นใดมากไปกว่าประกาศให้นานาประเทศได้รับรู้ ทั้งๆที่ยังไม่มีหน่วยงานใดยืนยันว่าเรื่องที่ร้องเรียนนั่นจริงเท็จแค่ไหน นายกรัฐมนตรี พูดสดๆ ร้อน ๆ กับกรณีนี่ว่า จะไม่เรียกร้องนักการเมืองให้นักการเมืองหยุดการเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็น พวกที่ออกมาเคลื่อนไหวแล้วมีคนไปร้องเรียนต่างชาติพวกนี่เป็นพวกชักศึกเข้าบ้าน ไม่เคยเห็นประเทศไทยอยู่ในสายตาของโลก แม้หน่วยงานความมั่นคงจะไม่เปิดเผยข้อมูลว่ายังมีกลุ่มบุคคลที่ไม่ปรารถนาดีต่อประเทศคอยปั่นเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องความเท็จให้เป็นเรื่องต่อเติมเสริมแต่งให้เกิดความเสียหาย ประชนทั่วไปก็รู้ได้ว่ากระแสการปลุกปั่นยังคงมีต่อเนื่องด้วยการกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง น่าเห็นใจรัฐบาลที่พยายามอย่างต่อเนื่องที่ไม่ใช้อำนาจรัฐหรือบังคับใช้กฎหมายแต่ประการเดียวในการแก้ไขปัญหา แต่ใช้นโยบายในการทำความเข้าใจหรือที่เรียกกันกว้างขวางว่าการปรับทัศนคติเจ้ามาช่วยแก้ปัญหา กลับมีกลุ่มบุคคลโจมตีและให้ร้ายว่า รัฐบาลและ คสช.ใช้อำนาจปราบปรามกลุ่มที่มีความเห็นต่าง ผู้ไม่หวังดีบางคน กระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีพฤติการณ์ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง คงไม่อาจใช้การปรับทัศนคติได้แล้ว การตีชกตัวไปร้องขอความช่วยเหลือองค์การระหว่างประเทศใด ก็ไม่น่าที่จะได้ผลนอกเสียจากจะไปประจานหรือโพนทะนาตัวเองว่าพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศมาตุภูมิ สร้างความรังเกียจเดียดฉันท์เพิ่มขึ้น รัฐบาล และ คสช. ควรหามาตรการใหม่ที่จะขจัดภัยใกล้ตัวออกไปให้ไกล เพื่อไม่ให้เชื้อร้ายมาคอยบ่อนทำลายการปฏิรูปประเทศที่กำลังเดินทางไปพร้อมกับความมั่นคง ที่มา thaitribune
Create Date : 09 พฤษภาคม 2559 |
Last Update : 9 พฤษภาคม 2559 1:29:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 289 Pageviews. |
|
|