DSI-ตำรวจเตรียมพร้อมกำลังคน-อุปกรณ์ผบ.ตร.สั่ง 4 กองบัญชาการร่วมมือจับกุมธัมมชโย



ดีเอสไอ-ตำรวจเตรียมพร้อมกำลังคนและอุปกรณ์ รอสถานการณ์พร้อมก่อนลงมือจับกุมธัมมชโย ผบ.ตร.จัดให้ทั้งภูธร 1,นครบาล,สอบสวนกลาง(กองปราบ)และกองบินตำรวจให้ความร่วมมือ นายกฯชี้หากไม่ลงมือก็ผิดม. 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ยืนยันสนใจคนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพระเทพญาณมหามุนี  หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี ไม่ได้เดินทางไปมอบตัวตามหมายเรียกของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ว่า เรื่องดังกล่าวปล่อยให้ทำต่อไปตามกระบวนการของกฎหมาย

อีกทั้งขณะนี้มีการพูดคุยหาทางออกร่วมกับทางคณะสงฆ์ จึงต้องรอฟังผลการหารือก่อน ขออย่าเพิ่งเร่งรัด แต่สิ่งสำคัญคือประชาชนชาวไทยพุทธต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร และมองถึงความเป็นมา อย่ามองว่าเป็นการรังแก เนื่องจากกรณีดังกล่าวเริ่มมาจากคดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่มีการตรวจสอบทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง หากใครถูกเรียกก็ต้องมาชี้เเจงตามกระบวนการ ดังนั้นจึงต้องช่วยลดความขัดแย้ง เพราะมีผลกระทบต่อพุทธศาสนิกชน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่อ่อนไหว อย่างไรก็ตามได้มีการเตรียมการกรณีที่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว โดยดำเนินการตามกฎหมาย แต่หากทำแล้วเกิดผลกระทบมากอาจจะไม่ทำในวันนี้ อาจทำในวันหน้า จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157

ทั้งนี้ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงในกรณีดังกล่าว เพราะหากไม่ห่วงคงใช้อำนาจไปแล้ว แต่ได้มอบหมาย รมว.ยุติธรรม ดีเอสไอและฝ่ายความมั่นคงไปดำเนินการ ซึ่งตนไม่ได้สนใจคนส่วนน้อย แต่สนใจคนส่วนใหญ่คือคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ

พล.อ.ประวิตรยืนยันให้ทำตามกฎหมาย

มื่อวันที่ 30 ฤษภาคม 2559 ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการดำเนินการจับกุม พระเทพญาณมหามุนีหรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่า ต้องว่าไปตามกฎหมาย ไม่ใช่กฎหมายทำอะไรไม่ได้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีรายละเอียดอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องมาถามตน ส่วนพระธัมมชโยจะอยู่ในวัดธรรมกายหรือไม่นั้น ตนคิดว่าต้องไปดูเอง

DSIไม่หวั่นธัมมชโยหนี-ฟ้องได้โดยไม่มีตัว

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 30 พฤษภาคมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยความคืบหน้าหลังศาลอนุมัติออกหมายจับ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แต่ไม่มารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมนำมวลชนมาให้กำลังใจบริเวณโดยรอบทางเข้าออกวัด ว่า หลังมีกระแสข่าว คสช. เรียก 2,000 ล้านบาท เพื่อให้ ดีเอสไอ หยุดทำคดีนั้น ตนยังไม่มีข้อมูล แต่ถ้าสื่อมวลชนมีรายละเอียดสามารถแจ้งมาได้ที่ ดีเอสไอ โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน

ส่วนการประสานขอกำลังตำรวจเพื่อบุกเข้าวัดพระธรรมกาย เมื่อศาลได้อนุมัติหมายจับดีเอสไอต้องดำเนินการ และได้ทำแผนปฏิบัติ รวมทั้งมีการสนธิกำลังกับหน่วยต่าง ๆ ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ อุปกรณ์ ยานพาหนะ และ สถานที่ ซึ่งรายละเอียดอยู่ในแผน ตนไม่สามารถชี้แจงได้ แต่ยืนยันว่าขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า สำหรับการขอหมายค้นวัดพระธรรมกาย อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยแผนปฏิบัติการต่าง ๆ ทำเสร็จสิ้นแล้ว กำลังรอดูความพร้อมในแต่ละส่วน และความเหมาะสมของสถานการณ์ เพราะแต่ละวันมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเจ้าหน้าที่ยังไม่ขอหมายค้นไปวัดพระธรรมกายในสัปดาห์นี้ อีกทั้งตามกฎหมายการที่จะพิจารณาเข้าจับกุมผู้ต้องหา ต้องดูสถานการณ์ และหลาย ๆ ด้านประกอบกัน ถ้าหากเข้าไปจับกุมแล้วเกิดผลกระทบ และมีความสูญเสียเกิดขึ้นต้องประเมินว่ามันคุ้มค่าหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางการข่าวยืนยันว่า พระธัมมชโย ยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย ยังไม่ได้หนีออกนอกประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดีเอสไอ จะประเมินสถานการณ์ไปถึงเมื่อใดพ.ต.อ.ไพสิฐตอบว่า ท้ายสุดแล้ว ดีเอสไอจะประเมินสถานการณ์ก่อนนำเข้าที่ประชุมเพื่อประเมินว่าขณะนี้มีความพร้อมจะเข้าจับกุมหรือไม่ แต่ในส่วนที่ว่า ดีเอสไอทำงานล่าช้านั้นความจริงแล้ว ดีเอสไอ ทำทุกคดีที่เกี่ยวข้องส่งฟ้องศาลไปแล้ว เพียงแต่สื่อไม่ได้ให้ความสนใจ

นอกจากนี้ ตนไม่หวั่นซ้ำรอยคดีของเณรคำที่ได้เดินทางหลบหนีออกนอกประเทศแล้ว เนื่องจากว่าเรามีพยานหลักฐานพร้อมส่งฟ้องไปแล้ว เหลือเพียงประสานกับประเทศปลายทาง

พ.ต.อ.ไพสิฐย้ำว่าการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยหากสำนวนการสอบสวนแล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนสามารถมีความเห็นสั่งฟ้องคดีพร้อมหมายจับได้ โดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหากับพระธัมมชโย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนที่มวลชนวัดพระธรรมกายมีการจัดตั้งบังเกอร์ และหน่วยลาดตระเวนตลอด 24 ชม. เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุม พระธัมมชโย ภายในวัดพระธรรมกาย พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่วนการประสานขอเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินไร้คนขับหรือโดรน จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบินสำรวจภายในวัดพระธรรมกายนั้นอยู่ในแผนปฏิบัติการเช่นกัน

ตำรวจเตรียมคน-อุปกรณ์สนับสนุนดีเอสไอ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงว่า ได้รับการร้องขอกำลังสนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ ในการดำเนินการกับพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหา สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันรับของโจร ในคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด

เรื่องนี้พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบินตำรวจ จัดกำลังพล พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ตามที่ดีเอสไอร้องขอ

พ.ต.อ.กฤษณะเปิดเผยว่าที่ผ่านมา มีการจัดกำลังดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ตามคำร้องขออยู่แล้ว ส่วนจะเข้าจับกุมเมื่อไหร่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ ซึ่งเชื่อว่ามีแนวทางกำหนดไว้แล้วอย่างเหมาะสม การจับกุมต้องพิจารณาตามหลักรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ ควบคู่กับการที่ผู้ต้องหาเตรียมการต่อสู้ทางคดี จึงเป็นเรื่องปกติ

ดีเอสไอยังไม่มีแผนตัดน้ำตัดไฟ-ตัดส่งอาหาร

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกดีเอสไอ กล่าวถึงการดำเนินการจับกุมพระธัมมชโยว่ายึดตามกฎหมายในการเข้าจับกุม ยังไม่มีแผนที่จะตัดน้ำตัดไฟ ตัดการส่งอาหารแต่ประสานแผนปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้พร้อมแล้วไม่ได้ระบุวันเวลาต้องรอเวลาที่เหมาะสม คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ตั้งแต่ศาลอนุมัติหมายจับ อธิบดีดีเอสไอได้ตั้งชุดสืบสวนเข้าไปดำเนินการสืบสวนตามหมายจับ และมีหนังสือถึงเจ้าคณะปกครองทางสงฆ์ให้ช่วยแก้ปัญหา ส่วนการสอบสวน พนักงานสอบสวนจะเร่งสรุปสำนวน มีผู้ต้องหารายอื่นๆ ด้วย เพื่อส่งฟ้องภายใน 2-3 สัปดาห์นี้

ส่วนกรณีหนังสือราชการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำหนังสือเรื่องเสนอผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงวันที่ 27 พ.ค. 2559 ระบุถึงการขอกำลังสนับสนุน กำลังพล สถานที่ และอุปกรณ์ในการปฏิบัติภารกิจ กรณีพระธัมมชโย ไม่เข้ามอบตัวหรือกรณีที่ดีเอสไอขอหมายค้นและเข้าจับกุมที่วัดพระธรรมกาย ในจดหมายมีการระบุถึงกำลังพล รวมไปถึงสถานที่ และอุปกรณ์ต่างๆที่จะช่วยในการปฏิบัติภารกิจ โดยการขอกำลังดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่าเป็นเพียงการเตรียมการเท่านั้น ยังไม่มีการระบุถึงรายละเอียดวันที่จะดำเนินการ เพราะต้องรอการประชุมร่วมกันอีกครั้ง

มีรายงานว่าทางดีเอสไอ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการขอหมายเข้าค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อจับกุมพระธัมมชโย เพราะเกรงว่าจะเกิดความรุนแรง และมีการ สร้างสถานการณ์จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี

ส่วนการดำเนินการคดีกับพระธัมมชโย ดีเอสไอยืนยันมาโดยตลอดว่า เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย และคำนึงถึงความสงบเรียบร้อยเป็นหลัก เมื่อคาดการณ์แล้วว่ามีความเสี่ยงจะเกิดเหตุรุนแรง หากบุกเข้าจับกุมพระธัมมชโย ก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง และดำเนินการในขั้นตอนอื่น เช่นการเอาผิดกับผู้ร่วมขบวนการ รวมไปถึงตรวจสอบทรัพย์สินเพิ่มเติม

ดีเอสไอพบรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายหาทางออก

นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ปทุมธานี ว่า ดีเอสไอได้เข้าพบพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต ในฐานะเจ้าคณะ จ.ปทุมธานีแล้ว ดีเอสไอขอให้ทางเจ้าคณะ จ.ปทุมธานี ช่วยประสานกับวัดพระธรรมกาย เพื่อขอพูดคุยเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น เจ้าคณะ จ.ปทุมธานี พร้อมให้ความร่วมมือที่จะประสานงานให้พบกับทีมงานของวัดพระธรรมกาย ล่าสุดได้รับรายงานว่า ขณะนี้ได้พูดคุยกันแล้วระหว่างดีเอสไอ กับพระราชภาวนาจารย์ วิ. รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพื่อที่จะหาแนวทางออกร่วมกันแล้ว

คณะศิษย์ยืนยันธัมมชโยยังอยู่ในวัด

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 30 ฤษภาคมที่ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายองอาท ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวถึงอาการอาพาธของ พระธัมมชโย ว่า ยังคงมีอาการอาพาธหนัก ทำให้บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งในและต่างประเทศที่ทราบข่าวปัญหาภายในวัดที่เกิดขึ้น เริ่มมีปฏิกิริยาที่ไม่พอใจในการถูกกระทำ เพราะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของ พระธัมมชโย ทางวัดจึงเริ่มมีความหวั่นใจในการควบคุมพฤติกรรมของลูกศิษย์ไม่ได้ แต่ยังยืนยันว่า พระธัมมชโย ยังคงอยู่ในวัดพระธรรมกาย ไม่ได้หลบหนีไปไหน และมีอาการอาพาธอย่างหนัก

อีกทั้ง ภายในวัดก็มีลูกศิษย์และมวลชนเข้าปฏิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ ดูแลศาสนสถานกันต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนหลายพันคนที่ต้องการเข้ามาปฏิบัติธรรมตามโครงการที่มีขึ้นเป็นประจำของทางวัด ไม่ได้เป็นการเกณฑ์คนหรือมวลชนเข้ามาแต่อย่างใด

ส่วนการดำเนินคดีกับ Trasher Bangkok ผู้นำภาพอันเป็นเท็จและบิดเบือนของ พระธัมมชโย ไปเผยแพร่ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ณ ZEN event gallery เซ็นทรัลเวิลด์ ตามการแถลงฉบับที่ 3/2559 เรื่อง ขอประณามพฤติกรรมการจาบจ้วงล่วงเกินต่อพระมหาเถระผู้ใหญ่ทรงสมณศักดิ์ และศาสนสถานในพระพุทธศาสนาโดยขาดความเคารพ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายของวัด ดำเนินการเอาผิดผู้ที่กระทำการดูหมิ่นศาสนาให้ถึงที่สุด

นอกจากนี้ ที่บริเวณห้องแก้วสารพัดนึก อาคารสภาธรรมกายสากล มีพุทธศาสนิกชนร่วมปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ประมาณกว่า 3,000 คน ถือเป็นการปฏิบัติธรรมตามโครงการปฏิบัติธรรมของวัดพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงอายุ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2559 22:21:59 น.
Counter : 237 Pageviews.  

Apple ยกเครื่องใหญ่ฝ่ายซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัย ดึงผู้เชี่ยวชาญกลับคำรบสาม



ภายหลังจากที่ยุติความขัดแย้งกับรัฐบาลสหรัฐในเรื่องประเด็นที่ Apple ยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ยอมช่วยเหลือในการเจาะระบบโทรศัพท์ iPhone หลายต่อหลายเครื่องที่เป็นหนึ่งในของกลางที่คาดว่าจะเก็บหลักฐานสำคัญประกอบคดีความเอาไว้นั้น แม้ว่าตอนหลังๆ จะมีการเปิดเผยกันว่ามีบุคลากรด้านนิติเวชดิจิตอล (Digital Forensics) หรือแม้แต่ทีมแฮคเกอร์ได้ถูกจ้างวานให้มาจัดการงานเหล่านี้เป็นครั้งคราวกันไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นประเด็นที่ทำให้ Apple ออกอาการนั่งไม่ติดอยู่บ้าง

และจากความคืบหน้าล่าสุดที่เปิดเผยความเคลื่อนไหวของ Apple ออกมาในช่วงระหว่างสัปดาห์นี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้มีการยืนยันว่าบริษัทดำเนินการว่าจ้าง Jon Callas บุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบระบบและซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัย กลับเข้ามาทำงานอีกครั้งเป็นคำรบที่สาม โดยเขาเคยทำงานให้กับทาง Apple มาก่อนแล้วในระหว่างยุค 90s อีกครั้งเมื่อช่วงระหว่างปี 2009 และ 2011 ผลงานบางอย่างที่ Callas ที่น่าสนใจ เช่นว่า การร่วมก่อตั้งบริษัท PGP Corp ที่ปัจจุบันดำเนินธุรกิจในชื่อของ Symantec หรือโทรศัพท์ Blackphone ที่เป็นอุปกรณ์ซึ่งชูจุดขายว่าสามารถลดความเสี่ยงการถูกดักฟังได้นั่นเอง

การกลับเข้ามาทำงานของ Jon Callas นี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่มีการพูดกันว่าทาง Apple นั้นได้จัดการยกเครื่องฝ่ายที่ดูแลการออกแบบระบบและซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยของบริษัทกันครั้งใหญ่อีกด้วยครับ

ที่มา macstroke




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2559 6:56:55 น.
Counter : 247 Pageviews.  

ปลายปีเจอกัน MacBook Pro เรือธง 2016 ปรับดีไซน์ใหม่เน้นความบางเบา



นอกจากกระแสข่าวความคืบหน้าของ iPhone 7 ที่ถูกหยิบยกนำมาเสนอพูดถึงกันหลายต่อหลายครั้งไปแล้ว อีกหนึ่งความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์เครื่องคอมพิวเตอร์จาก Apple ในตระกูล MacBook ที่คาดว่ากำลังเตรียมเปิดตัวทำตลาดในปี 2016 ก็เริ่มจะมีเบาะแสให้ได้พูดถึงกันมากขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนงานสัมมนา WWDC ประจำปีเช่นกัน โดยอ้างอิงบันทึกย่อของนักวิเคราะห์ตลาดคนดัง Ming-Chi Kuo จากบริษัท KGI Securities ซึ่งได้เปิดเผยออกมาในสัปดาห์ล่าสุดนี้

ได้ระบุความคืบหน้าที่น่าสนใจว่าทาง Apple นั้นกำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ MacBook Pro ออกมาทำตลาดใหม่ประจำปี 2016 ซึ่งจะมีขนาดหน้าจอให้เลือกซื้อหากันทั้ง 13 นิ้ว และ 15 นิ้ว ภายในปลายปีช่วงไตรมาสสี่ปลายปีนี้ โดยตัวเครื่องจะเน้นงานออกแบบที่มีความบางและเบาลงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนๆ เป็นจุดขายสำคัญ พร้อมกับเปิดตัวฮาร์ดแวร์แถบปุ่มฟังก์ชั่นแบบใหม่ที่เป็นหน้าจอ OLED จัดวางในตำแหน่งเหนือคีย์บอร์ด อีกทั้งยังอาจจะมีแนวโน้มที่จะนำระบบ Touch ID มาเปิดตัวบนเครื่องคอมพิวเตอร์ตระกูล Mac ด้วยเช่นกัน สอดคล้องไปกับการรายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ระบบ OS X 10.12 นั้นจะรองรับการปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือของผู้ใช้งานจากโทรศัพท์ iPhone

ในส่วนของฮาร์ดแวร์นั้นถ้าหากรายงานข่าวอ้างอิงว่ามีแผนทำตลาดในช่วงไตรมาส 4 ของปี ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะเปิดตัวพร้อมกับชิปเซ็ตหน่วยประมวลผล Intel Kaby Lake แทนที่จะเป็น Intel Skylake อย่างที่คาดเอาไว้ในเบื้องต้น การเชื่อมต่อจะรองรับพอร์ต USB-C เช่นเดียวกับเครื่อง MacBook Retina และตัวเลือกเสริมสำหรับงานในระดับมืออาชีพอย่างพอร์ต Thunderbolt 3 แยกมาให้อีกด้วยครับ

ที่มา macstroke




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2559 3:24:54 น.
Counter : 238 Pageviews.  

กสท.ถกต่ออนุฯเนื้อหาเสนอปรับวอยซ์ทีวี ขัด ม.37และเตรียมสู้คดีมูลนิธิเสียงธรรมฟ้องคลื่นวิทยุ



นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) ครั้งที่ 17/2559 วันจันทร์ที่ 30 พ.ค. นี้ มีวาระประชุมน่าจับตา ได้แก่ การออกอากาศรายการ Wake Up News ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง VOICE TV เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 59 เวลาประมาณ 07.22 น. นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ประกาศจัดกิจกรรมอีกครั้งในวันศุกร์นี้ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายวัฒนา เมืองสุข แบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสำนักงาน กสทช.ได้ตรวจสอบพบเนื้อหารายการดังกล่าว และได้พิจารณาในคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหา พบว่า มีลักษณะเป็นการต้องห้ามมิให้ออกอากาศตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 ก.ค. 57 และประกาศ คสช. ฉบับที่ 103/57 ลงวันที่ 21 ก.ค. 57  ซึ่งการออกอากาศที่เป็นการฝ่าฝืนประกาศ คสช. ทั้ง 2 ฉบับ มีผลเป็นการออกอากาศที่มีเนื้อหาสาระกระทบต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกอากาศตามมาตรา 37 แห่ง พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และเป็นการขัดต่อข้อกำหนดในบันทึกข้อตกลง วันที่ 4 มิ.ย. 57 ระหว่างสำนักงาน กสทช. และ บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด ผู้รับใบอนุญาตช่อง VOICE TV ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯเห็นสมควรโทษปรับทางปกครอง ตามมาตรา 57(2) ประกอบกับมาตรา 57(3) แห่ง พรบ.ประกอบกิจการกระจายเสียงฯ พ.ศ. 2551

นางสาวสุภิญญากล่าวว่า อนุฯเนื้อหาเสนอให้ กสท. เอาผิดรายการโทรทัศน์ที่วิจารณ์การเมืองอีกแล้ว ดิฉันกลับเห็นต่างว่า กสทช.และฝ่ายรัฐควรเปิดใจกว้างขึ้นสำหรับการแสดงความเห็นของฝ่ายค้านและน้อมรับการตรวจสอบจากสื่อต่างๆให้มากขึ้น เพราะเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง อีกทั้งเพื่อลดแรงเสียดทานจากกลุ่มคนที่เห็นต่าง ในเวลาที่ประเทศกำลังจะลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ กสทช. ควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลสื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และ คุ้มครองผู้บริโภคสื่อมากขึ้น แทนที่จะเน้นควบคุมเสรีภาพทางการเมืองเป็นหลัก

“ส่วนกรณีเรื่องร้องเรียนการถ่ายทอดสดเหตุการณ์เจรจาผู้ต้องหาจนยิงตนเองเสียชีวิต ขณะนี้อนุกรรมการด้านเนื้อหายังอยู่ในระหว่างการรวมรวมข้อมูล และให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาขี้แจงก่อนสรุปว่าขัดมาตรา 37 หรือไม่ จึงยังไม่ได้เสนอวาระเข้ามาให้ กสท. พิจารณาครั้งนี้ ส่วนในมิติจริยธรรม สำนักงาน กสทช. ได้ส่งจดหมายไปให้แต่ช่องพิจารณาตัวเองตามกรอบจรรยาบรรณของช่องต่างๆแล้วว่าขัดกติกากำกับตนเองที่วางไว้หรือไม่ แล้วให้แจ้งกลับมาที่ กสทช. ใน 15 วัน จากนั้น สำนักงาน กสทช. จะส่งเรื่องต่อให้องค์กรวิชาชีพสื่อพิจารณาต่อไป เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่าการเผยแพร่ถือว่าขัดจริยธรรมสื่อไหม ถ้าขัดแล้วสื่อควรทำอย่างไร เช่น การขอโทษและแก้ไข เป็นต้น” สุภิญญากล่าว

นอกจากนี้มีวาระน่าติดตาม  ได้แก่ วาระการกำหนดแนวทางการดำเนินคดีปกครอง กรณีมูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน ได้ยื่นฟ้อง กสทช. และ กสท. ต่อศาลปกครองอุดรธานี โดยศาลปกครองมีคำสั่งให้ทำการแก้คำฟ้องพร้อมด้วยพยานหลักฐานยื่นต่อศาลโดยจะครบกำหนดในวันที่ 3 มิ.ย. นี้ วาระสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการสำหรับการให้บริการกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ (ฉบับที่๔) การพิจารณาให้ระงับการออกอากาศโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือสินค้าในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์  วาระการขยายระยะเวลายื่นรายงานการแพร่แปลกปลอมของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่    และวาระอื่นๆ ติดตามการประชุมในวันจันทร์นี้ … 

ที่มา supinya




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2559 21:46:53 น.
Counter : 229 Pageviews.  

รัฐบาลขอบคุณ UNOHCHR แสดงความยินดีผ่านร่างกม.ป้องกันการสูญหาย-ปกป้องสิทธิมนุษยชน



รัฐบาลขอบคุณ UNOHCHR ยินดีไทยผ่านร่าง กม.ป้องกันการสูญหาย ยันจริงใจคุ้มครอง ป้องกันสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียม ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับผู้กระทำผิด กม. และไม่ต้องการเห็นใครมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอบคุณสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่แสดงความยินดีกับรัฐบาลหลังจากที่ ครม.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายว่า เป็นก้าวย่างที่ดีในการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันว่ามีความจริงใจในการดูแลคุ้มครองและปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนในแผ่นดินนี้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งรวมไปถึงผู้ที่กระทำผิดกฎหมายให้ได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ไม่เคยใช้ความรุนแรง ทรมาน หรือทำสิ่งใดนอกเหนือไปจากข้อกำหนดทางกฎหมายหรือหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยทุกฝ่ายทั้งในและต่างประเทศสามารถตรวจสอบได้ในทุกกรณี

พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า รัฐบาลประกาศชัดเจนมาโดยตลอดว่าประเทศชาติได้รับความบอบซ้ำเสียหายมามากจากการบริหารงานที่ผิดพลาดในอดีต จึงจำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ คืนความสงบเรียบร้อย วางรากฐานไปสู่การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และปฏิรูปประเทศอย่างยั่งยืนตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาพิเศษในการเปลี่ยนผ่านประเทศ มีการออกกฎหมายเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าอาจกระทบความรู้สึกของผู้ที่ยึดมั่นในหลักการหรือผู้ที่เสียประโยชน์บ้าง

“ต้องยอมรับว่าแม้รัฐบาลจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่เคยคิดจะละเมิดสิทธิใครทั้งสิ้น และไม่ต้องการเห็นใครมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมายเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม หากมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่คนในรัฐบาลลุแก่อำนาจ ปราบปรามฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามโดยอ้างนโยบาย เช่น ปราบยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก หรือรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จจนเกิดทุจริตคอร์รัปชัน ครอบงำสื่อ และผู้นำชาวบ้าน ฯลฯ จึงอยากให้สังคมพิจารณาว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่”

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2559 18:42:31 น.
Counter : 236 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.