ขวัญชัย ไพรพนาโผล่มอบตัวกับทหาร-ถูกนำส่งศาลติดคุก 2 ปีคดีรุมยำพันธมิตรฯ2551



ขวัญชัย ไพรพนา โผล่มอบตัวกับผบ.มทบ.24 แล้ว หลังหนีนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีพาพวกเสื้อแดงรุมทำร้ายพันธมิตรฯที่หนองประจักษ์ ศาลสั่งจำคุก 2 ปี ไม่รอลงโทษ เจ้าตัวอ้างที่หนีเพราะต้องการรอฟังคำพิพากษารอบสองว่าผลจะออกมาอย่างไร

 

เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.วันที่ 6 กรกรฎาคม 2559 ห้องรับรองมณฑลทหารบก(มทบ.)ที่ 24 จ.อุดรธานี นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา พร้อมนางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยา ได้เข้าพบกับ พล.ต.อำนวย จุลโนนยาง ผู้บัญชาการมณฑลททหารบกที่ 24 (ผบ.มทบ.24)พล.ต.ต.พีระพงษ์ วงศ์สมาน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี (ผบก.อุดรธานี)เพื่อขอมอบตัว

ก่อนหน้านี้นายขวัญชัย หลบหนีเข้านัดฟังคำพิพากษา ของศาลจังหวัดอุดรธานี ในคดีเป็นแกนนำพากลุ่มคนเสื้อแดงเข้ารุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ขณะกำลังจัดกิจกรรมใน สวนสาธารณะหนองประจักษ์ เมื่อปี 2551

ในระหว่างการเข้ามอบตัว พล.ต.อำนวย และ พล.ต.ต.พีระพงษ์ ได้พูดคุยกับนายขวัญชัยกับภรรยาอย่างเป็นกันเอง ขณะที่นายขวัญชัย มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนไม่มีความกังวลใดๆ

ภายหลังพูดคุยเสร็จ ผบ.มทบ. 24 และ ผบก.ภ.จว. อุดรธานี ได้เดินทางไปส่งตัวนายขวัญชัยด้วยตัวเองที่ศาลจังหวัดอุดรธานีเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

นายขวัญชัย สาราคำ เปิดเผยก่อนเดินทางไปศาลจังหวัดว่าการที่ตนหนีนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2559นั้น เพราะว่าต้องการรอฟังคำพิพากษารอบสองว่าผลจะออกมาอย่างไร

 นายขวัญชัยกล่าวว่า ขออนุญาตไม่ตอบว่าหลบไปอยู่ที่ใด เพราะไม่อยากให้พรรคพวกเพื่อนฝูงเดือดร้อน แต่ไปหลบอยู่ในที่ที่สงบ นั่งทำสมาธิ ตั้งจิตใจให้สงบ คิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ในการที่ต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549 และทบทวนบทบาทตัวเอง เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

“ก็ต้องยอมรับ เมื่อสถานการณ์มันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับความจริง เมื่อศาลฎีกาพิพาษศาลงโทษจำคุก 2 ปี จึงคิดว่ากลับมารับโทษดีกว่า เพราะตอนแรกที่ไม่ได้มาฟับงคำพิพากษา ตนได้ข้อมูลมาคลาดเคลื่อน เกรงว่าจะมีการเพิ่มโทษ เกรงว่าจะมีการทำร้ายตนเองในเรือนจำ เพราะข่าวเรื่องติดเชื้อในกระแสเลือดกับคนต่าง ๆ มันแรงเหลือเกิน จึงทำให้ตนหลบหนีไปไม่กล้ามาฟังคำพิพากษา”นายขวัญชัยกล่าว

นายขวัญชัยกล่าวว่าเมื่อไปตั้งสติมาแล้ว จึงคิดว่าวันนี้ได้รับคำยืนยันจากทาง พล.ต.อำนวย จุลโนนยาง ผบ.มทบ.24 ที่เป็นคนที่ตนเคารพนับถืออยู่ ตั้งแต่สมัยการต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2549 ที่รู้จักตั้งแต่มีการรัฐประหารครั้งแรก เมื่อท่านให้ความมั่นใจถึงขนาดนี้แล้วจึงเดินทางกลับมาเข้าสู่กระบวนการรับโทษ พร้อมที่จะเข้าไปต้องโทษ 2 ปี ซึ่งตอนนี้ทำใจได้แล้ว และห่วงใยความรู้สึกของสมาชิกชมรมคนรักอุดร ที่พ่อ ๆ แม่ ๆ ที่มาพบคุณอาภรณ์ฯ ภรรยาและบุตรชาย ที่อยากให้กลับมามอบตัว

จากนั้น พล.ต.อำนวยฯ ผบ.มทบ.24 พล.ต.ต.พีระพงศ์ฯ ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ได้นำตัวนายขวัญชัยฯขึ้นรถ เพื่อนำตัวส่งยังศาล จ.อุดรธานี โดยมีทนายความ พร้อมภรรยา บุตรและผู้ติดตาม เข้าไปภายในศาล เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของศาล ก่อนที่จะควบคุมตัวนายขวัญชัยไปยังเรือนจำกลางอุดรธานี

พล.ต.อำนวย ผบ.มทบ.24 เปิดเผยว่า หลังจากที่นายขวัญชัย ไม่มารับฟังความพิพากษา กองทัพบกในฐานะดูแลหน่วยงานความมั่นคงและตำรวจ ก็พยายามติดตามตัวกลับมา เพราะกลัวว่าอาจจะมีความเข้าใจผิด หรือมีอะไรที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดหรือไม่ เนื่องจากส่งผลในความเชื่อมั่น เชื่อถือในระบบความมั่นคง จึงพยายามติดต่อหาข้อมูลกับครอบครัวนายขวัญชัยฯ และฝากบอกว่าขอให้นายขวัญชัยกลับมาเข้าสู่ระบบเสีย เพราะอย่างไรในประเทศไทยก็ยังดำรงเรื่องของความยุติธรรม และความมีน้ำใจอยู่

“จนถึงเมื่อวานนี้ ทางบุตรชายนายขวัญชัย โทรมาบอกผมว่า นายขวัญชัย ติดต่อกลับมา และบอกให้ลูกชายมาพบผม เมื่ออธิบายให้ทราบว่า ทั้งหมดมันหนีความจริงไม่ได้ ให้กลับมา เพราะสุดท้ายก็จะได้รับความเมตตาจากระบบ เพราะถ้าหนีก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต จนเมื่อเช้าวันนี้ภรรยาและบุตรชายนายขวัญชัยมาพบผม ยืนยันว่านายขวัญชัยจะกลับมามอบตัวเข้าสู่ระบบ ผมจึงรายงานไปยังทางแม่ทัพภาค 2 และปรึกษาทางผู้พิพากษาหัวหน้าศาล และผู้กำกับอุดรธานี เพื่อทราบถึงวิธีปฏิบัติตามขั้นตอน เพราะทางนายขวัญชัย ค่อนข้างไม่สบายใจเรื่องความปลอดภัย จนนายขวัญชัยมาพบผม เพื่อให้นำตัวส่งเข้าสู่ระบบต่อไป”พล.ต.อำนวยกล่าว

คดีนี้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 ที่ห้องพิจารณาคดี 4 ชั้น 2 ศาลจังหวัดอุดรธานี มีนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่2 กรณีคดีนายเจริญ หมู่ขจรพันธุ์ อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มเสื้อเหลือง กับพวก 7คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายขวัญชัย สารคำ หรือ ไพรพนา อดีตประธานชมรมคนรักอุดร กลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวหา “ร่วมกันพยายามฆ่า,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันทำลายทรัพย์สิน” เหตุเกิดที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 24กรกฎาคม  2551

ตามหมายเลขคดีดำที่ อ.2149/51 เลขที่แดง 2682/54 ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาให้จำคุกนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ปรับเพื่อเยียวยาเป็นเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันเกิดเหตุ

ศาลอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ด้วยหลักทรัพย์ 500,000 บาท ซึ่งนางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย ได้ใช้หลักทรัพย์โฉนดที่ดิน มีสิ่งปลูกสร้าง ประกันตัวนายขวัญชัย ออกมา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษา ปรากฎว่านายขวัญชัย ไม่ได้เดินทางมารับฟัง ทำให้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้ง

ศาลใช้เวลาไม่นานในการอ่านคำพิพากษา ที่สั่งลงโทษจำคุกนายขวัญชัยเหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับ350,000 บาทพร้อมสั่งปรับนายประกันที่ทำสัญญาไว้จำนวน 500,000 บาท

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2559 21:33:12 น.
Counter : 297 Pageviews.  

หัวหน้า คสช. ใช้ ม.44 แก้ปัญหางบฯบัตรทอง หลังติดขัดข้อกฏหมายทำรพ.บริหารงบติดขัด มอบอำนาจ สธ.ดูแล



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. อาศัยอำนาจ ม.44 แก้ปัญหางบบัตรทองหลังพบ กม.หลักประกันฯ มีปัญหา ทำการบริหารจัดการงบของ รพ.ขาดความคล่องตัว กระทบงานบริการคนไข้

วันที่ 5 กรกฎาคม 2559  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2559 เรื่อง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจําเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่นตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เผยแพร่ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา มีใจความดังนี้

       โดยที่ได้ปรากฏว่าการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีเหตุขัดข้องบางประการ ทําให้เป็นอุปสรรคต่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการและประสิทธิภาพของการให้บริการของหน่วยบริการ ส่งผลกระทบถึงการให้บริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนโดยรวม สมควรแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องในขณะนี้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ต่องานบริการสาธารณสุขของประเทศ และประชาชนผู้รับบริการในระหว่างที่จะได้มีการดําเนินการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต่อไป อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้หน่วยบริการ เครือข่ายหน่วยบริการ หน่วยบริการที่รับการส่งต่อผู้รับบริการ องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดําเนินการแสวงหาผลกําไร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ทํากิจการในอํานาจหน้าที่ของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจําเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่นจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ข้อ 2 ให้ค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจําเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขตามข้อ 1

       (1) ค่าใช้จ่ายเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่ดําเนินการโดยหน่วยงานหรือองค์กรตามข้อ 1

       (2) ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขสําหรับบริการบําบัดทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง

ข้อ 3 ให้ค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ เป็นค่าใช้จ่ายอื่นตามข้อ 1

       (1) ค่าใช้จ่ายประจําที่เกิดขึ้นจากการจัดบริการสาธารณสุขในกิจการของหน่วยบริการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

       (2) ค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยค่าเสื่อมของสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์ที่ใช้ในการบริการผู้ป่วยนอกบริการผู้ป่วยใน และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

       (3) ค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ

ข้อ 4 การรับเงิน การจ่ายเงิน การรักษาเงิน และรายการของค่าใช้จ่ายตามข้อ 2และข้อ 3 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

การออกประกาศตามวรรคหนึ่งให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ

ข้อ 5 ให้การจ่ายเงินและการรับเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามข้อ 2 และข้อ 3 จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งได้ดําเนินการไปแล้วโดยสุจริตตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม2558 จนถึงวันที่ประกาศตามข้อ4 มีผลใช้บังคับ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจําเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใชจ่ายอื่นตามคําสั่งนี้

การจ่ายเงินและการรับเงินซึ่งได้กระทําก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2558 หากผลการตรวจสอบของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าได้ดําเนินการโดยสุจริตและสอดคล้องกับประกาศตามข้อ 4 ให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจําเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่นตามคําสั่งนี้ด้วย

ข้อ 6 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป จนถึงวันที่พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตามคําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ

       สั่ง ณ วันที่ 5 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

************************************************************************

นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา โพสเฟชบุ๊ก ระบุถึงการออกคำสั่งดังกล่าว ส่งผลปลดล๊อกการจ่ายงบ เพื่อประชาชนที่มีปัญหาให้ถูกระเบียบ ทั้งจ่าย NGO ได้ ค่าส่งเสริมป้องกันโรค ค่าล้างไต ค่าเสื่อม และจ่ายช่วยเหลือ หมอ พยาบาล  ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายได้ หลังจากกฤษฎีกาตีความก่อนหน้าว่า ทำไมได้จนเกิดปัญหาในกระทรวงสาธารณสุขมาก ทั้งนี้ให้มีผลย้อนหลังด้วย 

ขณะที่ ชมรมแพทย์ชนบท  ระบุถึงคำสั่งกล่าว ในที่สุดความจริงก็ปรากฏข้อกล่าวหาว่า สปสช.ไม่สุจริตใช้งบผิดวัตถุประสงค์ เพราะตีความต่างกัน คนตีความหากเชื่อตามคนที่จ้องทำลายโครงการนี้เพื่อล้มโครงการ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ใช่ การบริหารจัดการของ สปสช.มีประสิทธิภาพอย่างมากผลงานโดดเด่น ประเด็นข้อกล่าวหา คำสั่ง คตร.ก่อนหน้านี้ ทำให้ รพ.ไม่สามารถทำงานต่อไปได้

"นายกตู่มีคำสั่ง ม.44 37/2559 ลว.5 ก.ค.2559 ลบล้างการตรวจสอบเดิมในทุกประเด็นที่เคยถูกกล่าวหา นี่ถือเป็นผลงานสมัยที่ หมอประทีป รักษาการเลขา สปสช."

ด้านนพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระบุว่า ปี 2560 บัตรทองได้งบเหมาจ่ายรายหัว 3,109.87 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 1.7  คิดจากงบฯที่ได้หักเงินเดือนออก) แต่เงินเดือนเพิ่มร้อยละ 5.4 ในบางปีก็ไม่ได้งบเหมาจ่ายรายหัวเพิ่ม เช่นปี 2555 ได้เท่าปี 2556 (2,755.6บาทต่อคนต่อปี) และปี 2557 ได้เท่าปี 2558  (2,895บาทต่อคนต่อปี) ทั้งที่สปสช.ของบฯ เพิ่มทุกปีแต่ไม่เคยได้ตามที่ขอ แต่แม้จะได้งบฯน้อยก็ไม่เป็นปัญหาของสปสช. เพราะสามารถบริหารงบฯที่ขาดแคลนได้ด้วยวิธีการเกลี่ยไปตามรพ.ต่างๆ แต่ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับรพ.ที่เป็นคู่สัญญาเหล่านั้น จะต้องประหยัดเพื่อความอยู่รอดโดยเฉพาะรพ.ที่หักเงินเดือนแล้วขาดทุนตั้งแต่แรก ผลลัพธ์จะกระทบต่อคุณภาพบริการในท้ายสุด

"ผมเสนอให้แยกเงินเดือนออกจากค่าเหมาจ่ายรายหัว เพราะเจตนารมณ์เดิมของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต้องการเกลี่ยคนออกจากรพ.ที่มีประชากรน้อย การผูกเงินเดือนกับงบเหมาจ่ายรายหัวเพื่อเตรียมไว้สำหรับรพ.ต่างๆที่จะออกไปเป็นองค์กรอิสระหรือองค์การมหาชน แต่ผ่านมา 14 ปีแล้วก็ยังทำไม่ได้ การเกลี่ยคนก็ไม่สำเร็จ จึงเห็นว่าถึงเวลาที่จะทบทวนความคิดเดิมได้แล้วเพื่อให้เหมือนกับกระทรวงและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ และเพื่อให้เห็นงบประมาณแท้จริงที่ใช้สำหรับโครงการนี้

แต่สปสช.ยังคงไม่เห็นด้วย ยังต้องการให้งบประมาณผูกกับเงินเดือนเหมือนเดิม อยู่กับระบบเดิมๆ ทั้งที่ไม่มีปัญญาและไม่ต้องการให้เกิดการร่วมจ่ายเพื่อลดการใช้งบประมาณ ไม่สามารถหาเงินเพิ่มเข้ามาในระบบ ปล่อยให้ปัญหาขาดแคลนงบประมาณรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะเป็นปัญหาของสธ.ไม่ใช่ปัญหาของสปสช."

ร่างพ.ร.บ.ที่เสนอ เพื่อให้เกิดความชัดเจนของงบประมาณที่ใช้ ช่วยเหลือรพ.ในพื้นที่ประชากรน้อย และหวังว่าจะได้รับงบประมาณเพิ่มโดยไม่ต้องพะวงกับเงินเดือนเหมือนปัจจุบัน ส่วนการเพิ่มบุคคลากรถูกควบคุมด้วยคกก.กำหนดเป้าหมายและกำลังคนภาครัฐ ในขณะที่การโยกย้ายคนถูกควบคุมด้วยสธ.อยู่แล้ว

ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ถูกส่งให้ปธ.สนช.ตีความว่าเป็นกม.การเงินหรือไม่ ถ้าใช่ อาจต้องส่งให้สธ.เป็นผู้เสนอแทน หมดเวลาที่สปสช.จะรับชอบ แต่ให้สธ.รับผิด ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ผลักดันโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองให้เกิดคุณภาพและเกิดความยั่งยืนในอนาคตต่อไป"

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2559 17:08:55 น.
Counter : 260 Pageviews.  

ซิป้าประกาศจุดยืนเน้นย้ำภารกิจอยู่คู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ก้าวไกลสู่เศรษฐิกิจดิจิทัล



ซิป้าเน้นย้ำภารกิจพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยพร้อมจับมือพันธมิตรร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เดินหน้าชูโรดแมปผลักดันโครงการต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม

 

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ประธานกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ซิป้า กล่าวในงานแถลงข่าว “SIPA: Fostering Thailand’s Digital Economy ซิป้าหนุนไทย ก้าวไกลสู่เศรษฐกิจดิจิทัล” ว่า ซิป้ามีจุดยืนชัดเจนที่จะยืนหยัดอยู่คู่กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย โดยเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกัน เพื่อให้เกิดแผนดำเนินงาน หรือ โรดแมป ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล

โดยจะเดินหน้าไปตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ พ.ศ.2560-2563 ที่มีการปรับปรุงใหม่ให้สัมฤทธิผลโดยเร็วในลักษณะของการดำเนินงานและการปฏิบัติงานเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งองค์กรของรัฐและเอกชน 

เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงในนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดและการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งด้านการพัฒนาบุคลากร ผู้ประกอบการ และพัฒนาตลาด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของเมืองไปพร้อมกันให้มีความทันสมัย ภายใต้โครงการSmart City ที่ให้บรรยากาศเอื้อต่อการลงทุน และนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ป้อนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ให้เติบโตสู่เศรษฐกิจดิจิทอล

“ซิป้ามีการทบทวนแผนยุทธศาสตร์ มีการศึกษาข้อมูลแนวโน้มของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ได้แก่ โมบาย แอพฯ, คลาวด์, โซเชียลมีเดีย และ บิ๊กดาต้า เพื่อกำหนดทิศทางและนโยบายการสนับสนุนผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเกิดใหม่ของเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2559 ซิป้ามีงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งสิ้น 280 ล้านบาท และมีแผนของบประมาณเพิ่มเติมจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพิ่มเป็น 290 ล้านบาท ในปี 2560”นางจีราวรรณกล่าว

นอกจากนี้กระทรวงไอซีทียังให้ซิป้าดำเนินโครงการสำคัญในหลายมิติ อาทิ เป็นหน่วยงานนำร่องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และกำหนดให้มีโครงการสำคัญเพื่อกระจายรายได้อย่างทั่วถึงในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในระดับชุมชนและยกระดับผู้ประกอบการให้มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสายซอฟต์แวร์เพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยสำนักงานมีการผลักดันส่งเสริมสนับสนุน ก่อให้เกิดการกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยในประเทศมีการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนด้านความตระหนักในการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล คอนเทนต์ ซึ่งในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับดิจิตอล คอนเทนต์ กระจายไปทั่วภูมิภาคจำนวน 28 หลักสูตร 27มหาวิทยาลัย และมีบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มากขึ้น นางจีราวรรณ กล่าว

นางจีราวรรณ กล่าวต่อว่า ซิป้าได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงไอซีทีให้ดำเนินโครงการสำคัญในหลายมิติ อาทิ เป็นหน่วยงานนำร่องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และกำหนดให้มีโครงการสำคัญเพื่อกระจายรายได้อย่างทั่วถึงในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในระดับชุมชน และยกระดับผู้ประกอบการให้มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสายซอฟต์แวร์ เพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยสำนักงานฯ มีการผลักดันส่งเสริมสนับสนุน ก่อให้เกิดการกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยในประเทศมีการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนด้านความตระหนักในการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านDigital Content ซึ่งในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับ Digital Content กระจายไปทั่วภูมิภาคจำนวน 28 หลักสูตร 27 มหาวิทยาลัย และมีบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มากขึ้น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2559 16:03:42 น.
Counter : 246 Pageviews.  

สสวท.เปิดระบบคลังความรู้ออนไลน์ TEDET ให้นักเรียนทุกคนทั่วประเทศ สามารถสมัครสมาชิกเพื่อเข้าฝึกฝนทักษ



เพื่อกระตุ้นบรรยากาศการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนไทยในศตวรรษที่ 21 ให้มีทักษะและความรู้ความสามารถได้ทัดเทียมนานาชาติต่อไป อย่าลืมส่งต่อข่าวดีนี้ให้กับผู้ปกครองทุกท่านด้วย

ประกาศ สสวท. เปิดระบบคลังความรู้ออนไลน์ TEDET ให้นักเรียนทุกคนทั่วประเทศ-สามารถสมัครสมาชิกเพื่อเข้าฝึกฝนทักษะและพัฒนาตนเอง

สมัครสมาชิกฟรีที่นี่ คลิก //goo.gl/ox9GWq

แล้วอย่าลืมส่งต่อข่าวดีนี้ให้กับผู้ปกครองทุกท่านด้วย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tedet.ac.th หรือ www.facebook.com/tedet.ac.th หรือ Line@ Official Account ที่ไอดี @tedet.ac.th (ต้องมีเครื่องหมาย @ ด้านหน้า) หรือคลิก //goo.gl/xuvvIF (ผ่านโทรศัพท์มือถือ)

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2559 10:49:47 น.
Counter : 264 Pageviews.  

มหาดไทยจัดประชุมผู้ว่าฯ-นอภ.ทั่วประเทศดูแลความสงบ-รองฯวิษณุเผยตั้งศูนย์รักษาความสงบเป็นแนวคิดของฝ่าย



รัฐมนตรีมหาดไทยประชุมผู้ว่าฯ-นายอำเภอทั่วประเทศ 6 กรกฎาคม สั่งดูแลความสงบช่วงลงประชามติ ย้ำรัฐบาลตั้งศูนย์รักษาความสงบเกิดขึ้นจากบริสุทธิ์ใจเพื่อดูแลความสงบทำตามกรอบของกรธ. วิษณุ เครืองามเผยศูนย์ฯเป็นแนวคิดของฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ปราบโกงหรือชี้นำ ชี้งบปกครองท้องถิ่นไม่ได้ตัดแต่เพิ่ม 29 %

 

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ขึ้นทุกจังหวัดและอำเภอว่า ตนได้กำชับการทำหน้าที่ตามนโยบายของรัฐบาลผ่านการประชุมระบบวีดิโอ คอนเฟอเรนซ์ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทุกแห่งในวันที่ 6 กรกฎาคมนี้ เบื้องต้นอำนาจของผู้ว่าฯ และนายอำเภอจะดูแลให้การลงประชามติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือทำให้ผลการทำประชามติไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของสังคม

ทั้งนี้การทำประชามติต้องเป็นไปตามหลักการ คือเป็นไปด้วยความเห็นของประชาชนโดยบริสุทธิ์ ไม่มีการชี้นำ บิดเบือน ไม่ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน จะได้คุ้มค่ากับงบประมาณที่ได้ใช้ไป

เมื่อถามว่าได้รับรายงานความเคลื่อนไหวหรือความไม่สงบในพื้นที่ใดบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเคลื่อนไหวหรือสิ่งที่น่าวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำประชามติในพื้นที่ แต่กระทรวงมหาดไทยพยายามเน้นไปยังวิทยากรในพื้นที่ว่าต้องมีความเป็นกลาง ส่วนตัวเห็นว่าต้องระมัดระวังให้มาก อย่าทำอะไรให้สังคมมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าแบ่งฝ่าย หากเริ่มต้นอย่างนั้นจะทำให้การทำประชามติไม่ได้รับความเชื่อมั่น

กรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะหารือกับกระทรวงมหาดไทยเรื่องการลงพื้นที่ของวิทยากรเผยแพร่ประชาธิปไตยระดับหมู่บ้าน(ครู ค.) พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ช่วงที่ผ่านมาการอบรมวิทยากรฯระดับจังหวัด(ครู ก.) และระดับอำเภอ (ครู ข.) รวมถึงวิทยากรในพื้นที่ ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าจะพูดเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างไร และต้องตอบประเด็นคำถามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร ทั้งนี้หากไม่มั่นใจเรื่องใด ขอให้วิทยากรอย่าตอบเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

ส่วนเรื่องเอกสารเนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญที่อาจไม่เพียงพอนั้น เป็นสิ่งที่กรธ.จะต้องทำ แต่ทราบว่าที่ทำการของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โรงเรียนและอีกหลายสถานที่มีร่างรัฐธรรมนูญจัดไว้ เพื่อให้สามารถศึกษาได้

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองตั้งข้อสังเกตว่าการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว จะเป็นการแทรกแซงการทำงานของ กกต. รวมถึงกังวลเรื่องความไม่เป็นกลาง พล.อ.อนุพงษ์ ตอบว่า รัฐบาลมีความบริสุทธิ์ใจในการทำงาน กระทรวงมหาดไทยในฐานะกำกับดูแล ผู้ว่าฯ และนายอำเภอ จะทำตามกรอบที่ กรธ.มอบหมายหมาย คือดูแลให้การทำประชามติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่ให้เกิดการชี้นำซึ่งน่าจะเป็นผลดี

ศูนย์ฯมีหน้าที่รักษาความสงบไม่ได้ปราบโกงหรือจับผิด

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 4 กรกฏาคม 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตอบข้อซักถามการตั้งศูนย์รักษาความเรียบร้อย เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดเรื่องดังกล่าว เป็นแนวคิดของฝ่ายความมั่นคง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การให้เจ้าหน้าที่รัฐมาตรวจสอบกันเองจะดูไม่ดีหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ศูนย์ดังกล่าวไม่ได้มีเพื่อจับผิดหรือปราบโกง แต่เป็นหน้าที่ของรัฐในการดูแลรักษาความสงบ และเขาคงมีข่าวอะไรมาว่าอาจมีความไม่สงบขึ้นมาแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะตามกฎหมายประชามติกำหนดให้รัฐต้องดูแลความเรียบร้อย จึงจำเป็นต้องตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นโดยมีกฎหมายรองรับ ทั้ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าศูนย์นี้ไม่ได้ปิดกั้นหรือปราบปรามคนเห็นต่าง ถ้าไปทำอย่างนั้นเจ้าหน้าที่จะผิดกำหมายประชามติเสียเอง

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าบางพื้นที่มีการบอกจะให้เงินกับชาวบ้านหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเห็นจากข่าวซึ่งผู้เกี่ยวข้องได้ปฏิเสธไปแล้ว ถือเป็นการสร้างข่าวเท็จ แต่จะมีจริงหรือไม่คงต้องตรวจสอบกัน หากมีจริงถือว่ามีความผิด ตอนนี้ ครู ก,,ค มีจำนวนมาก อาจเป็นไปได้ว่ามีคนแทรกซึมเข้ามา แล้วไปพูดหรือกลอนพาไปถือเป็นความผิด

เมื่อถามถึงเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญผิด โดยมีการสลับมาตราและสลับหน้า รองนายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่รับทราบเรื่องที่ครู ค ยังไม่ได้รับร่างทั้งที่ถึงเวลาที่จะต้องชี้แจงต่อปะชาชนแล้ว แต่คิดว่าจากวันนี้ถึงวันที่ 7 สิงหาคม ผู้เกี่ยวข้องจะสามารถสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจได้ทันเวลา เพราะเมื่อประชามติปี 2550 ซึ่งมีเวลาไม่มากยังสามารถทำได้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกฯมีแนวคิดที่จะเชิญกลุ่มนักการเมืองเข้าร่วมพูดคุยเพื่อหาทางออกให้ประเทศ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เคยได้ยินนายกฯ พูดเรื่องลักษณะนี้มาปีกว่าแล้ว แต่ไม่มีใครติดใจอะไร เพราะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

งบปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้ตัดแต่พิ่ม 29 %

นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถูกตัดงบประมาณไปกว่า 2.2 หมื่นล้านบาทว่า ไม่ได้ออกตามที่เป็นข่าวทั้งหมด แต่ในภาพรวมปีนี้ทางรัฐเพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นมากกว่าปีที่แล้วกว่า 29 เปอร์เซ็นต์ แต่บางรายการต้องตัดออก เช่น เรื่องศูนย์เด็กเล็ก สนามกีฬา อาคารเรียน มีการบ่นว่าให้นำถนนทางหลวงชนบทไปให้ท้องถิ่นซ่อม แต่ปรากฏท้องถิ่นไม่มีงบซ่อม มีเสียงบ่นว่าถนนตามที่ต่างๆ ท้องถิ่นต้องเสียค่าไฟฟ้า แต่ทางหลวงชนบท ทางหลวงแผ่นดินไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า ซึ่งตนดูแล้วนโยบายรัฐต้องดูแลในภาพงบประมาณทั้งประเทศ งบท้องถิ่นในภาพรวมจัดงบเพิ่มให้แล้ว

ส่วนงบที่ต้องตัดออกไปเพราะ 1. จะเพิ่มรายได้ให้กับท้องถิ่นด้านอื่นในการจัดเก็บ 2.นายกฯ คิดว่าต้องทำงานอย่างบูรณาการอาจจะโยกงบนั้นไปใส่ในงบนี้ ส่วนงบที่จะแปรญัตติเพิ่มคงยาก ในระหว่างนี้ต้องหารายได้ทางอื่นของท้องถิ่นมาจัดการแล้วค่อยใส่เพิ่มเข้าไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2559 10:15:27 น.
Counter : 270 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.