Apple Pay เปิดตัวเต็มรูปแบบในสิงคโปร์ พร้อมเร่งขยายตลาดอีกหลายภูมิภาค



อีกหนึ่งบริการของที่เปิดตัวเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงแถบเดียวกับประเทศไทยบ้านเราอย่างเต็มรูปแบบแล้วในสัปดาห์นี้ ก็คือ Apple Pay โดยทาง Apple นั้นได้แถลงความร่วมมือพันธมิตรทางธุรกิจการเงินอย่างเป็นทางการกับบรรดาธนาคารใหญ่ในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจในสิงคโปร์ ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 6 ถัดจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และจีน ที่ทาง Apple ได้ขยายบริการใหม่สร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้งานให้เกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ

สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจการเงินของบริการ Apple Pay ในสิงคโปร์ เบื้องต้นประกอบไปด้วย AMEX, Visa, MasterCard และกลุ่มธนาคารในท้องถิ่นอีกจำนวน 5 แห่ง คือ POSB, DBS Bank, OCBC Bank, UOB และ Standard Chartered ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมการให้บริการได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ และมีร้านค้าที่เข้าร่วมให้บริการอำนวยความสะดวกประมาณ 30,000 แห่ง นอกจากนั้นยังมีธนาคารบางกลุ่มที่อยู่ในขั้นตอนของการเจรจา เช่น CitiBank, HSBC, ANZ และ Maybank ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้บริการครอบคลุมได้เต็มรูปแบบที่สุด

นอกจากนั้นแล้วแผนการสำหรับขยายขอบเขตบริการของ Apple Pay ในอนาคตอันใกล้นี้ คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ ฮ่องกง อีกหนึ่งในเมืองชั้นนำด้านเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาคเอเชียเหนือ และอาจจะตามมาด้วยสเปนแดนกระทิงดุ ในกลุ่มประเทศยุโรปตอนใต้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจัยที่จะตัดสินใจเข้ามาเปิดตัวบริการทางการเงินนั้นอาจจะอยู่ที่ขนาดของตลาดที่มีอุปกรณ์จาก Apple ซึ่งรองรับการทำงาน Apple Pay อีกทั้งจำนวนในการใช้งานบัตรเครดิตและเดบิต เช่นเดียวกับความนิยมในการใช้งานบริการจำพวก Contactless Payment จะถูกนำมาพิจารณาทั้งหมด และคาดว่าในงาน WWDC 2016 เราจะได้เห็นการเปิดตัวความสามารถใหม่ๆ ในบริการด้านการเงินจาก Apple ด้วยเช่นกันครับ

ที่มา macstroke




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2559 7:36:19 น.
Counter : 238 Pageviews.  

สลด! เด็ก ม.1 โรงเรียนดังพกปืนปากกาไปโรงเรียนหวังอวดเพื่อน เกิดทำปืนลั่นใส่หน้าอกตัวเองดับ



เกิดเหตุสลดนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 นำปืนปากกาขนาด จุด 38 มาโชว์เพื่อน ก่อนลั่นใส่หน้าอกตัวเองในห้องน้ำบาดเจ็บสาหัสแพทย์เร่งช่วยเหลือ สุดท้ายเสียชีวิตในเวลาต่อมาเหตุเกิดภายในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง

เมื่อเวลา 08.45 น.วันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ร.ต.อ.อธิพงศ์ ศรีโพธิ์ รอง สว.(สอบสวน) สน.ทองหล่อ รับแจ้งเหตุนักเรียนทำปืนลั่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ย่านพระโขนง เขตคลองเตย กทม. จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.ขจรพงศ์ จิตต์ภาคภูมิ ผกก.สน.ทองหล่อ ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อและเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุภายในห้องน้ำหลังอาคาร 5 ของโรงเรียนดังกล่าว พบกองเลือดไหลนองเป็นทางยาว และพบอาวุธปืนปากกาพร้อมปลอกกระสุนขนาด .38 ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้บาดเจ็บและเป็นเจ้าของอาวุธปืนทราบชื่อภายหลัง ด.ช.ศราวุธ เผ่าต๊ะใจ อายุ 14 ปี นักเรียนโรงเรียนดังกล่าว ชั้น ม.1/8 ได้ทำอาวุธปืนปากกากระบอกดังกล่าวลั่นใส่บริเวณหน้าอกตัวเองอาการสาหัส ทางเจ้าหน้าที่และครูอาจารย์รีบนำตัวส่ง รพ.กล้วยน้ำไท 1 ไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทว่าผู้บาดเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมา จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ก่อนส่งศพให้นิติเวช รพ.จุฬาฯ ชันสูตรพลิกศพอีกครั้ง

ร.ต.อ.อธิพงศ์เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตได้นำอาวุธปืนปากกาที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเองออกมาโชว์กลุ่มเพื่อน จากนั้นได้เข้าไปห้องน้ำดังกล่าว ต่อมาไม่นานได้ยินเสียงปืนลั่น 1 ครั้งทำให้ผู้เสียชีวิตเดินปิดหูออกมาจากห้องน้ำและล้มลงกองกับพื้น กลุ่มเพื่อนจึงทราบว่าปืนลั่นและช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

เบื้องต้นทางตำรวจสันนิษฐานว่าผู้ตายทำปืนลั่นเสียชีวิตเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะต้องทำการสอบสวนพยานแวดล้อมและรอผลทางนิติวิทยาอีกครั้งก่อนสรุปสาเหตุที่แท้จริง และมอบศพให้ทางญาติไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2559 2:16:56 น.
Counter : 256 Pageviews.  

คิง พาวเวอร์ฟ้องชาญชัย อิสระเสนารักษ์หมิ่นประมาทเหตุไม่ติดตั้งระบบ POS เลี่ยงส่งเงินเข้ารัฐ 2.1 หมื่



รองประธานอนุกรรมาธิการสปท. ย้ำ ทอท.- คิง เพาเวอร์ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ติดตั้งระบบ POS เช็กสต๊อกสินค้า ไม่ทำตามระเบียบศุลกากร ชี้การได้มาของสัญญาโดยไม่ทำตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ย้ำ มุ่งทำหน้าที่ศึกษากลไกการบังคับใช้กฎหมาย คิง เพาเวอร์ ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาทและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ศาลรับฟ้องและนัดไต่สวน 10 ต.ค.

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559  ที่รัฐสภา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในสังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า หลังคณะอนุกรรมาธิการได้ศึกษากรณี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้ให้สัญญากับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวดี้ฟรี จำกัด รวมสองสัญญาเพื่อประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรและร้านค้าเชิงพาณิชย์ ปรากฏหลักฐานว่า ทั้งคู่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา เช่น การไม่ติดตั้งระบบเชื่อมระบบขายหน้าร้าน หรือ POS (Point of sale) ที่จะเช็คยอดการขายและสต๊อกสินค้าคงคลัง ตามที่สัญญาระบุไว้ เพื่อตรวจสอบรายได้จากการขายสินค้า โดยการท่าฯ จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ 15% และเพิ่มอีกปีละ 1% ทุกปีจนหมดสัญญา รวมถึงสัญญาเชิงพาณิชย์ที่ต้องจ่ายค่าสิทธิตามสัญญา 15% โดยการตรวจสอบจากระบบพีโอเอสเพื่อเช็กยอดขายและสต๊อกสินค้าทันที ไม่ใช่การทำบัญชีเช่นที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

นายชาญชัย กล่าวต่อว่า การไม่ทำตามสัญญาและระเบียบกฎหมายศุลกากร ทำให้เกิดผลเสียหายแก่การท่าฯ มีการลักลอบขายสินค้าซึ่งมีกรณีตัวอย่างศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาคดีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ กับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยศาลชี้แล้วว่ามีการลับลอบขายสินค้าปลอดอากรโดยไม่ต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมายจริง (ไม่ใช้หนังสือเดินทางในการซื้อสินค้า) รวมถึงกรณีการได้มาของสัญญาโดยไม่ทำตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ เพราะมูลค่าลงทุนทั้งสองฝ่าย คิดเป็นทรัพย์สินร่วมกันเกินมูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทนี้รู้แล้วว่ามีการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัท คิง เพาเวอร์ ฟ้องศาลแพ่ง เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว คดีดำที่ 2441/2550 และ คดีดำที่ 2440/2550 และคำร้องขอถอนฟ้องคดีดำที่ 2441/2550 และคดีแดงที่ 6232/2551 สำนวนการฟ้องอยู่ในการครอบครองและตรวจสอบคำฟ้องของทั้งสองฝ่าย โดยมีข้อความระบุชัดว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ลงทุนเกิน 1,000 ล้าน ทั้งสองสัญญา ที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องเอง คือ สัญญา คิง เพาเวอร์ ดิวดี้ฟรี ที่ลงทุนฝ่ายเดียว 1,081 ล้านบาท และสัญญา คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ที่ลงทุนและตกแต่งรวมมูลค่า 1,781 ล้านบาท

“การถอนฟ้องคดีของ คิง เพาเวอร์ ระบุไว้ในข้อ 2. ชัดเจนว่า วันที่ศาลอนุญาตให้ถอนคดีและกรณีที่โจทก์พื้นที่จริงภายหลังการทำสัญญาเป็นผลให้มูลค่าเงินลงทุนของโครงการมีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โจทก์และจำเลยตกลงที่จะดำเนินการและปฏิเสธตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ให้ถูกต้องหรือไม่ ปรากฏต่อมาว่า มีการต่อสัญญาอีกสองครั้ง ซึ่งเข้าเงื่อนไขต้องใช้ พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ดังกล่าว บริษัท คิง เพาเวอร์ ก็รู้อยู่ และการท่าฯ เองก็ทราบว่า ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ แต่ทั้งบริษัท คิง เพาเวอร์ และการท่าฯ ร่วมกันทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ. ร่วมทุน” นายชาญชัย กล่าว

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า การที่ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของบริษัท ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ พร้อมจะปฏิบัติตามที่การท่าฯ เสนอแนะหรือให้ทำตามสัญญา เป็นการแถลงที่ขัดแย้งต่อข้อเท็จจริง และที่อ้างว่าพร้อมปฏิบัติตามสัญญาให้การท่าฯ มีผลประโยชน์มากกว่า แต่กลับกลายเป็นการท่าฯ โดยผู้บริหารไม่ดูแลผลประโยชน์ของการท่าฯ กลับยอมให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ทำผิดกฎหมายและได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว จากการที่อ้างไม่ติดตั้งระบบพีโอเอสไม่ผิดอะไร

ส่วนกรณีที่นายวิชัยจะเป็นเจ้าของพรรคการเมืองหรือไม่ หรือจะเป็นนักการเมือง หรือจะอยู่เบื้องหลังการเมืองใดหรือไม่ หรือจะมีทีมฟุตบอลได้แชมป์อีก 10 ประเทศ จะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไร คณะอนุกรรมาธิการไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านั้น แต่เรามุ่งทำหน้าที่ศึกษากลไกการบังคับใช้กฎหมาย ว่า บริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ ต้องปฏิบัติตามสัญญา ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงเงินภาษีประชาชน ที่เป็นผู้ลงทุนในสนามบิน 147,000 ล้านบาท

 “บริษัทดังกล่าวเป็นแค่ทำสัญญาเช่า ไม่ใช่เจ้าของ แต่กลายเป็นว่า รัฐจะทำอะไรกลับต้องไปถามบริษัทเอกชนว่าสามารถทำได้หรือไม่ เช่นนี้เขาเรียกว่า คู่สัญญามีอำนาจเหนือรัฐ สัญญานั้นขัดต่อความมั่นคง โดยเฉพาะในสัญญาที่เขียนไว้ว่า สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และคำตัดสินของการท่าฯ ถือเป็นอันยุติ ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกับเอกชนทำผิด พ.ร.บ. ปปง. มาตรา 3(5) ว่าด้วยเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่ และ (7) ว่าด้วยเรื่องภาษีเป็นมูลฐานความผิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐ คือ ปปง. สามารถอายัดเพื่อตรวจสอบความถูกต้องได้ทันที ไม่ต้องมีคำพิพากษาตัดสินมาก่อนด้วย ทั้งนี้เอกสารเหล่านี้เป็นบันทึกอยู่ในรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการทั้งหมด” นายชาญชัย กล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้มอบอำนาจให้นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 393  กรณีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม นายชาญชัยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ร่วมกับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด และบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด กระทำผิดสัญญาตาม พ.ร.บ. ร่วมทุน พ.ศ. 2535 มีการขายสินค้านอกสนามบิน หลบเลี่ยงการส่งผลประโยชน์เข้ารัฐ 21,000 ล้านบาท ไม่ติดตั้งเครื่องตรวจสอบระบบ POS ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ทำผิดกฎหมาย เอื้อประโยชน์แก่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีกับบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ และเรียกทรัพย์คืนแผ่นดิน

นายบัญชา ทนายความให้สัมภาษณ์ว่า ผู้บริหาร คิง เพาเวอร์ ได้พิจารณาข้อความที่นายชาญชัยได้แถลงข่าวแล้วเห็นว่า นายชาญชัย แถลงข้อมูลในส่วนที่สำคัญไม่ครบถ้วน และไม่มีหน้าที่แถลงข่าวชี้นำให้ประชาชนที่ไม่ทราบข้อมูลครบถ้วนเชื่อว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ผิดสัญญาตาม พ.ร.บ. ร่วมทุน พ.ศ. 2535 มีการขายสินค้านอกสนามบิน หลบเลี่ยงการส่งผลประโยชน์เข้ารัฐ 21,000 ล้านบาท ไม่ติดตั้งเครื่องตรวจสอบระบบ POS เพราะนายชาญชัย มีหน้าที่ศึกษา เสนอแนะมาตรการ และกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องการและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (สปท.) พิจารณา

อีกทั้งนายชาญชัยเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิก สปท. แต่เป็นเพียงบุคคลภายนอกที่ถูกแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่รองประธานคณะอนุกรรมาธิการเท่านั้น ดังนั้น การแถลงข่าวของนายชาญชัย ทำให้ บริษัท คิง เพาเวอร์, ทอท. และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงต้องฟ้องนายชาญชัยเพื่อปกป้องชื่อเสียงของบริษัท คิง เพาเวอร์ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อพิสูจน์ความจริงและขอความเป็นธรรมต่อศาลตามกระบวนการยุติธรรมด้วย

ทั้งนี้ ศาลได้รับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.1673/2559 นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 เวลา 13.30 น.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2559 22:22:50 น.
Counter : 436 Pageviews.  

ยุติธรรมเพิ่ม 5 คดีพิเศษเอาผิดทั้งข้าราชการ-แก๊งข้ามชาติ-กลุ่มอิทธิพลเอี่ยวค้าสัตว์ป่า-ไม้เถื่อน-ที่



กระทรวงยุติธรรมลงนามเพิ่ม 5 คดีพิเศษ เน้นเอาผิด“ฝ่ายปกครอง-ตํารวจชั้นผู้ใหญ่-แก๊งข้ามชาติ-ผู้มีอิทธิพล” เอี่ยวค้าสัตว์ป่า-ไม้เถื่อน-ที่ดิน มีความผิดเกี่ยวกับการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ป่าไม้ ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ และที่ดิน เฉพาะคดีที่มีความซับซ้อน

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม2559 มีรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่กฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 ดังนี้

“อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๕) (๑๖) (๑๗) (๑๘) และ (๑๙) แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕

“(๑๕) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า

       (๑๖) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้

       (๑๗) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ

       (๑๘) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ

       (๑๙) คดีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน”

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙

พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม”

สำหรับเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่คดีความผิดเกี่ยวกับการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ป่าไม้ ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ และที่ดิน เฉพาะคดีที่มีความซับซ้อน จําเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ หรือคดีที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ หรือคดีที่มีลักษณะเป็นการกระทําความผิด ข้ามชาติที่สําคัญ

หรือเป็นการกระทําขององค์กรอาชญากรรมหรือคดีที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สําคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน หรือคดีที่มีพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมิใช่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะได้กระทําความผิดอาญา หรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา จําเป็นต้องดําเนินการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษเพื่อที่จะนําตัวผู้กระทําความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย สมควรกําหนดให้เป็นคดีพิเศษ จึงจําเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้

มีรายงานว่า ก่อนหน้านั้น คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้คดีความผิด 5 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ คือ ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เป็นอำนาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษ โดยไม่ต้องขอมติจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2559 18:58:03 น.
Counter : 225 Pageviews.  

ศาลปกครองกลางไม่รับคำร้อง Voice TV ที่ให้สั่งกสทช.เลื่อนเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตงวด 3



ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งรับพิจารณาคำฟ้องบางข้อที่วอยซ์ทีวียื่นฟ้อง กสทช.ปมทีวีดิจิตอล โดยไม่รับคำฟ้องในข้อหาที่ 2 และ 3 ไว้พิจารณา ศาลชี้ไม่อาจใช้ดุลยพินิจแทนเจ้าหน้าที่ของรัฐได้

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับพิจารณาคำฟ้องบางข้อหาในคดีที่บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ยื่นฟ้อง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) และสำนักงาน กสทช. ในคดีประมูลคลื่นความถี่ทีวีดิจิตอล เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แผนแม่บท คำสั่งและคำโฆษณาประชาสัมพันธ์ และไม่แก้ไขเยียวให้แก่ผู้ชำระค่าใบอนุญาตทำให้ได้รับความเสียหายจากการลงทุนจำนวนมาก

ทั้งนี้ ตามคำฟ้องระบุว่า กสทช. ไม่มีแผนบริหารคลื่นความถี่ที่เหลือจากการเปลี่ยนผ่านระบบโทรทัศน์ ไม่ทำแผนแม่บท พร้อมกับแนวทางการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอน และไม่มีการสำรวจข้อมูลตลาดอย่างถี่ด้วย แต่กลับรีบเร่งให้มีการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้มีการออกใบอนุญาตทั้ง ๆ ที่ผู้รับใบอนุญาตยังไม่มีความพร้อม จึงก่อภาระให้กับผู้ให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ดิจิตอลภาคพื้นดินเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องลงทุนล่วงหน้าเป็นเงินจำนวนมาก โดยที่ผู้ชมยังไม่สามารถรับชมได้อย่างเต็มที่

ศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องตามคำขอท้ายฟ้องในข้อ 1 ข้อ 4 และข้อ 5 ไว้พิจารณา คือ คำขอที่ 1 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ตามประกาศคณะกรรมการ กสทช.เรื่อง แผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ (พ.ศ.2555) ประกาศ คำมั่นและคำโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยบังคับใช้หรือออกระเบียบบังคับใช้ให้มีการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

ส่วนคำขอที่ 4 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 1,312 ล้านบาทให้แก่ผู้ฟ้องคดี พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชำระค่าเสียหายดังกล่าว ขอให้มีคำสั่งออกมาตรการเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ฟ้องคดี โดยลดการจ่ายเงินค่าประมูลเป็นสัดส่วน 9 ปี และขยายเวลาใบอนุญาตเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ของผู้ฟ้องคดีออกไปอีกเป็นระยะเวลา 9 ปี และคำขอที่ 5 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแทนผู้ฟ้องคดี

คดีนี้ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาที่ 2 และ 3 ไว้พิจารณา กล่าวคือ คำขอที่ 2 ที่ผู้ฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนประกาศคณะกรรมการ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการธุรกิจระดับชาติ พ.ศ.2556 ในข้อที่ 10 การชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ศาลเห็นว่าเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา และการฟ้องข้อหานี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น

ส่วนคำขอที่ 3 ที่ผู้ฟ้องขอให้เพิกถอนเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ประเภทบริการธุรกิจระดับชาติ โดยอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีขยายเวลาชำระเงินในงวดที่สามที่จะถึงกำหนดในวันที่ 23 พ.ค.59 ออกไปจนกว่าผู้ถูกฟ้องทั้งสองจะปฏิบัติตามแผนแม่บทที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสองกำหนดเป็นที่เรียบร้อย

ศาลเห็นว่า เป็นการขอให้ศาลใช้ดุลพินิจแก้ไขระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมที่ กสทช.ได้กำหนดไว้เป็นเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตดังกล่าว ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจแทนเจ้าหน้าที่ของรัฐ

คำสั่งของศาลปกครองกลางสรุปว่า “เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาที่ 2 และข้อหาที่ 3 ของผู้ฟ้องไว้พิจารณา ศาลจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาหรือมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามคำขอของผู้ฟ้องคดีอีกต่อไป จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาที่ 2 และ 3 ของผู้ฟ้องไว้พิจารณา”

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2559 0:27:28 น.
Counter : 314 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.