นายกฯเผยอยากให้รัฐธรรมนูญโหวตผ่านประชามติ-ไม่ผ่านร่างใหม่อนุมัติงบ 2,991 ล้านบาท



พล.อ.ประยุทธ์แย้มรัฐธรรมนูญโหวตไม่ผ่านร่างใหม่ มีไว้แล้วอยู่ในหัว แต่อยากให้ผ่าน ซัดนักการเมืองอย่าอ้างประชาชน รับการเมืองเปลี่ยนเป็นทุนเสรีนิยมไปแล้วผู้บริหารพรรคต้องหาเงินมาบริหาร แนะสื่อช่วยพัฒนาความรู้การเมืองแก่ประชาชน เผยอนุมัติงบโหวตทำประชามติ 2,991 ล้านบาท

เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 12 เมษายน 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนต่อร่างรัฐธรรมนูญ ที่เตรียมทำประชามติ ว่า รัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ร่างมา เพราะทาง คสช. ก็ได้มีข้อเสนอแนะไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อร่างออกมาได้แค่นั้นก็เป็นการทำงานของ กรธ. ซึ่งตนก็เคารพเขาตรงนั้น เพราะเป็นทีมงานเดียวกันที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้น กรธ. ก็มีความเห็นของเขาอีกแบบหนึ่งออกมาอย่างไรก็แบบนั้น ไม่ได้ไปแย้งอะไร และตนก็จบตรงนั้นสำหรับ กรธ.

ส่วนคำถามพ่วงเรื่อง ส.ว. โหวตนายกรัฐมนตรีนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เหตุผลที่ตนได้รับฟังจากที่ สนช. อภิปรายผ่านการถ่ายทอดทางโทรทัศน์นั้น ก็เห็นว่า บางคนก็อยากให้มี บางคนไม่ต้องการให้มี แต่สรุปก็คือ ต้องมีคำถามพ่วง เนื่องจาก สนช. ไม่ไว้วางใจว่ารัฐบาลต่อไปจะทำอย่างที่ว่าไว้หรือไม่ ดังนั้น ไม่ควรมาถามตน แต่ควรไปถามคนที่จะมารับเลือกตั้งต่อไปว่าเขาจะทำหรือไม่ ก็ไปให้เขามาทำสัญญากับประชาชนของเขาเลยดีไหมว่ากลับมาจะทำอะไร เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องแก้ปัญหาประมง หรืออะไร หลายปัญหามีความซับซ้อนมากมาย คนไม่พร้อม กฎหมายไม่พร้อม ปัญหาความขัดแย้งก็มีอยู่ด้วย ทับซ้อนกันไปหมด

นายกฯ กล่าวว่า ทราบหรือไม่ว่าเวลาผู้นำประเทศอื่น ๆ เวลาเขาเจอตนนั้นเขาบอกว่าอย่างไร เขาบอกว่า มีคนไปถามเขาว่าเป็นห่วงประเทศไทยหรือไม่ ที่จะสะดุดเรื่องประชาธิปไตย ผู้นำประเทศนั้นซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดีก็ตอบไปว่าเขาไม่เป็นห่วง ประเทศไทยมีศักยภาพหลายด้าน แต่ที่ห่วงคือ เรื่องความมีเสถียรภาพทางการเมือง แต่ถึงวันนี้เขาทราบดีว่ารัฐบาลปัจจุบัน และ คสช. ทำงานอย่างเต็มที่ในการทำให้ทุกอย่างไม่สะดุด และเขาซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยก็เป็นกำลังใจให้กับตน แล้วตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมภายในประเทศเรากันเองถึงได้เสื่อมถอยลงไปทุกวัน ตรงนี้แหละที่ทำให้ตนหงุดหงิด แต่แน่นอนตนไม่สามารถทำให้คน 70 ล้านคน มาคิดตามได้

นายกฯอยากให้ผ่าน-หากไม่ผ่านร่างใหม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ วางแนวทางไว้อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ก็ร่างใหม่ แต่ตนก็อยากจะให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่านจะไปทำอะไรได้ เมื่อถามว่า แล้วฉบับที่เตรียมไว้หากไม่ผ่านจริง นายกฯ กล่าวว่า ก็เตรียมไว้อยู่ในใจ ในหัวของตนนี่ ไม่เอาฉบับไหนทั้งนั้น เมื่อถามว่า พรรคการเมืองระบุว่าต้องการให้ทำความเข้าใจรอบด้านกับประชาชนเพื่อให้มีความรู้เรื่องรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ นายกฯตอบว่า อย่ามาพูดคำว่าประชาชนกับตนนักเลย ทำไมรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ไม่ทำให้เขา แต่ทำไมพวกเขายังจนอยู่ ยังต้องทำมาหากินอยู่ จะมาอ้างประชาชนกันอยู่ได้ ทราบหรือไม่ว่าตัวเลขที่คนให้ความสนใจรัฐธรรมนูญ คือ 40% กับนักข่าวที่สนใจ 100%

“เหล่านี้เป็นตัวเลขที่มีการประเมินแล้ว รัฐบาลทำงานแบบมีตัวเลข สำรวจมาทุกหมู่บ้าน ตอนนี้ชาวบ้านหลายคนบอกว่าไม่รู้เรื่อง รธน. ไม่รู้จัก กรธ. และพอถามต่อไปว่าชาวบ้านต้องการอะไรเขาก็บอกว่าขอน้ำทำนา นี่คือ ความแตกต่างทางความคิด ช่องว่างตรงนี้ยังมีมาก”นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า 40% ที่ระบุนั้น น่าเป็นห่วงหรือไม่ว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจจะถูกชักจูง นายกฯ กล่าวว่า ก็อยู่ที่สื่อมวลชนด้วย เพราะถึงอย่างไรตนก็ห้ามไม่ได้ถ้าคนไม่ดีอยากจะทำ แต่ถ้าจับได้ก็ต้องลงโทษ บางคนยังบอกว่าใกล้เลือกตั้งเดี๋ยวก็มีค่ารถกลับบ้านอีก มีค่าเดินทาง ทำไมเขาพูดกันอย่างนั้น แล้วอย่างนี้คนดีใครเขาอยากเข้ามา ทุกวันนี้การต่อสู้ทางการเมืองมันรุนแรง เพราะต้องใช้เงินในการบริหารพรรคการเมือง ทำให้เขาต้องหาเงินมาอุดหนุนดูแลพรรค ต่างจากพรรคการเมืองสมัยก่อน ๆ ที่มีคนร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองมารวมกลุ่มกัน แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นทุนเสรีนิยมไปแล้ว

หน้าที่สื่อมวลชนคือช่วยพัฒนาความรู้

นายกฯ กล่าวว่า สื่อมวลชนต้องช่วยทำหน้าที่ในการพัฒนาทางความรู้ ว่า ต้องคิดอย่างไร ประชาธิปไตยที่เป็นสากลควรเป็นอย่างไร นักการเมืองต้องทำตัวอย่างไร ประชาชนต้องทำอย่างไรในการเลือกรัฐบาล และต้องทำอย่างไรที่จะมีมาตรการในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ดังนั้น ไม่ต้องมาถามตนว่าจะควบคุมตนเพราะตนเป็นคนยึดอำนาจเพื่อที่จะทำให้ได้ เพราะเดิมทำไม่ได้

นายกฯเปิดเผยว่าในวันเดียวกันนี้ ครม. ได้มีมติอนุมัติงบประมาณจำนวน 2,991 ล้านบาท เพื่อการจัดทำประชามติตามที่ กกต. เสนอ เนื่องจากเป็นไปตามกติกา แต่จะเสียเงินเปล่าหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ เลือกมากี่ครั้งก็เหมือนเดิม หลายประเทศเมื่อเขียนรัฐธรรมนูญแล้วเขาก็ประกาศใช้ทันทีก็เห็นเขาเจริญดี ไม่เห็นต้องทำประชามติ

พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงประชามติ ว่า ไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นด้วย ตนไม่สนใจไม่ใช่เรื่องของตน เพราะทำตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่บอกให้มีคำถามพ่วงประชามติได้ ตนก็บอกว่าแล้วแต่ จะให้มีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ สนช. ตนไม่ได้สั่งอะไรสักอย่าง เขาไปคิดกันมาอย่างนั้นไม่เห็นมาถามตนสักคำด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นกติกา แล้วทำไมไม่ถาม สนช. ว่า เขาถึงเขียนให้มีคำถามพ่วง ต้องการให้สืบทอดอำนาจหรืออย่างไร หรือสื่ออยากให้ตนเป็นนายกฯ คนนอกหรืออย่างไร

“บอกมากี่ทีแล้วว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีมันอยู่ในระบบ ส.ส. เป็นคนเสนอชื่อ ส.ว. ไม่ได้เป็นคนเสนอ ส.ว. เพียงแต่ดูว่ารายชื่อที่เสนอมาเป็นอย่างไรใช้ได้หรือดีหรือไม่ ไม่ใช่ว่าประชาชนเลือกที่ผ่านมาประชาชนเลือกทั้งนั้นที่ติดคุกอยู่นี่ และที่จะติดคุกอยู่อีกหลายรายทำไมแยกแยะไม่ออก ไม่เข้าใจ”นายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้นายกฯ พอใจหรือไม่พอใจ กับการแสดงความเห็นของพรรคการเมืองต่อร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ไม่พอใจ คือ รำคาญที่พูดในสิ่งที่ไม่ได้ทำไม่ได้ แล้วมาแสดงความเห็นทำไม เมื่อถามย้ำว่า การแสดงความเห็นครั้งล่าสุดของนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นการชี้นำหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้า พ.ร.บ. การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญออกมาบังคับใช้ ศาลจะเป็นผู้ตีความว่าชี้นำหรือไม่ ถ้าเป็นการรณรงค์ชี้นำมีโทษผิดติดคุก 10 ปี โดนหมดไม่ว่าเป็นใครระวังก็แล้วกัน สื่อก็ไม่เว้นจะบอกให้ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถึงบอกว่าตนไม่ได้เชียร์อะไร ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านหรือไม่ก็เรื่องประชาชน ตนมีหน้าที่ทำ เข้าใจ๊!

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา ดูเหมือนข้อเสนอของ คสช. ต้องการให้ ส.ว. สามารถเลือกนายกฯได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นั่นคือ คสช. แต่ตอนหลังเขาปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญตอนนั้นตนเสนอความเห็นของ คสช. ไม่ใช่เปิดช่องทางพยักพเยิดส่งสัญญาณ อันนั้นก็จบไปตรงนั้นแล้ว เสนอไปเท่าไหร่เขาทำแค่ไหนก็เท่านั้น ต่อจากนั้นก็เขียนในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญ จะตั้งคำถามพ่วงหรือไม่ก็ได้ ตนก็รู้แค่นั้น ทำไมไม่ดูว่าเขาถึงต้องตั้งเพราะไม่ไว้หรือเปล่า รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วจะทำแบบดี ๆ หรือทำแบบไม่ดีก็ไม่รู้ทำไมไม่ไปตอบเขาเล่า

“มีใครพูดแบบนี้หรือไม่ว่า อย่าเป็นห่วงผมเลยครับ ผมในนามหัวหน้าพรรค ผมยืนยันว่า พรรคผมทุกคนจะเข้ามาสู่การเลือกตั้งด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าไม่จริงผมยินดีติดคุกครับ มีไหมเล่า มาสิจะได้ไม่ต้องตั้งคำถามพ่วง ไม่มีใครตอบสักคนแล้วสื่อก็ไม่เคยถามเขาสักคน แล้วถามว่าคุณจะฝากความหวังไว้กับคนอย่างนี้หรือไง มันก็จะวนกลับมาปฏิรูปไม่ได้ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ยังไม่รู้สึกหรือว่าทำอะไรกันบ้าง บอกแค่ดีอย่างเดียวเรื่องความสงบเรียบร้อยแต่โน่นเขามีคณะกรรมการออกกฎหมายเยอะแยะเป็นร้อย ๆ ฉบับ บอกกี่ครั้งแล้วปฏิรูปไม่ใช่ทำแค่ 20 ปี ต้องทำเป็นร้อยปี เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ที่ทำ 20 ปี ยังไม่ทันเขาเลย เพราะของเรามันติดลบอยู่ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการเตรียมตัวลดความเสี่ยงอะไรเอาไว้ล่วงหน้าเลย น้ำแล้วฝนไม่ตก ไม่ได้เตรียมเลยมีแต่ปล่อยน้ำปลูกข้าวใช่ไหม หรือบอกว่าไม่ใช่หรือกลัวเขาว่าเอา ผมไม่กลัวผมพูดข้อเท็จจริงจะทำไม เธอ (นักข่าว) ก็ติดตาม 2 รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ใช่หรือ แล้วมันดีขึ้นหรือไม่ดีกว่าที่ผมทำหรือไม่ ถ้าดีกว่าก็ไปอยู่กับเขา ไปเลย กลัวอะไรกันนักหนาประเทศชาติจะเสียหายกลับไม่กลัว คุณไปบังคับแบบบังคับผมพูดกับเขาแบบที่พูดกับตนดูสิว่า เขาจะตอบอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

โครงการต่างๆทุกคนต้องมีส่วนร่วม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้โครงการที่ออกมาเป็นแสนโครงการพอทำมันก็เริ่มโตขึ้นเราต้องทำให้ทุกคนมีส่วนร่วม หรือเรียกว่าให้คนมีส่วนได้ส่วนเสียไม่ใช่ไปรวบไว้ให้ใครคนใดคนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ตนทำ วันนี้เราไปขอความร่วมมือนักธุรกิจ 12 กลุ่มสัปดาห์หน้าจะมาพูดให้ฟังว่าจะช่วยอะไรรัฐบาลบ้าง ต้องมองและคิดใหม่ ประเทศชาติสิ่งสำคัญที่สุด คือ ทรัพยากรมนุษย์ ตนไม่เคยดูถูกใครตนเป็นคนหนึ่งที่ต้องพัฒนาตัวเองเสมอ อะไรที่ตนเปิดรับและตรงกับตนก็เอามาใช้เป็นแนวทางถกแถลงใน ครม. ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ตนทำงานแบบนี้ไม่ใช่ว่าไอ้นี่ไปทำตรงนี้ไอ้นี่ไปทำตรงโน้นที่นี่บ้านผมต้องไปทำไม่มี มีแต่ว่าทุกภูมิภาคต้องเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกภูมิภาคแข็งแรงเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ต้องพึ่งพาใครมาก สามารถเชื่อมโยงซึ่งกันและกันได้ ที่ผ่านมามีหรือไม่

นายกรัฐมนตรี ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า เคยถามใน คสช. หรือใน ครม. หรือไม่ว่าในอนาคตการเลือกตั้งครั้งต่อไป มีใครอยากลงเล่นการเมืองบ้าง เพื่อสานต่อในสิ่งที่ทำวันนี้ว่า ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก ถ้าตนไม่อยู่เขาก็ไม่อยู่ เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวมาตลอดทาง คสช. ได้ตั้งพรรคการเมืองเตรียมไว้แล้ว นายกฯถามว่า พรรคอะไร ข่าวมาจากไหน ใครให้ข่าวเรียกมา ถ้าตนตั้งพรรคการเมืองมาจะเลือกตนไหม ถ้าตนพูดไปก็จะถูกด่าแสดงว่าเปิดทางไว้แล้ว ปัดโธ่ สื่อก็คงเอาไปเขียนแค่นี้

เมื่อถามย้ำว่า เรื่องการตั้งพรรคการเมืองไว้แล้วจริงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่จริง ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น แก้สถานการณ์ไปก่อน ให้มันเกิดประชามติและเลือกตั้งให้ได้ แล้วก็จบหน้าที่ของตน ก็เท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาอีก ก็จะทำให้เลือกตั้งไม่ได้ ก็ต้องไปหาวิธีการมา ก็กลับมาอยู่แบบเดิม

เมื่อถามว่า ตัวของนายกฯเอง ถึงเวลานี้เคยคิดอยากจะลงมาเล่นการเมืองเสียเองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เคยคิดอยาก แต่อยากทำงานให้มันเสร็จ ทำงานเพื่อพวกคุณเพื่อคน 70 ล้าน ไม่ใช่เพื่อพวกหรือตระกูลของตนเองหรือญาติพี่น้อง ไม่ใช่ วันนี้เขาไม่เคยได้อะไรจากตนเลย เพราะเขาเพียงพอกันหมดแล้ว

เมื่อถามว่า มีข่าวว่า ตัวนายกฯ และผู้ใหญ่ใน คสช. มองคนไว้แล้วที่จะเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครล่ะ บอกชื่อมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีหรือ เมื่อถามว่า ไม่ใช่ทหารแต่หลายถึงพลเรือน นายกฯ กล่าวย้ำว่า ใครเล่า ถามมาเลยว่าเป็นใครจะได้ตอบถูกมีชื่อใคร

เมื่อถามว่า มีชื่อ พล.อ.ประวิตร ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีจะมาได้อย่างไร ไม่ได้สมัครเลือกตั้งจะเป็นนายกฯ ได้อย่างไร เมื่อถามต่อว่า ในบรรดานักการเมือง มองแล้วใครมีแววที่น่าจะเป็นผู้นำประเทศต่อจากตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีเยอะ แต่ตนไม่ชอบสักคน ถ้าชอบตนจะมายืนตรงนี้ทำไม ซึ่งตนก็เลือกมาทุกทีทุกพรรคแล้วทำไมมันไม่สงบเรียบร้อย ก็แสดงว่ายังไม่ดีพอแต่ถ้าจะดีในสายตาท่านก็ว่ากันไป ตนไม่ไปดูถูกอยู่แล้วแล้วแต่ใครจะเชื่อ สื่ออย่าไปเขียนผิด นี่เป็นสิ่งที่ถามตนคนเดียว ตนไม่ได้ดูถูก ถ้าถามตนว่าชอบไหม ตนไม่ชอบ เพราะเลือกแล้วผิดหวังทุกที ถ้าใครเลือกแล้วผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตามใจ ไม่รู้ใครเหมือนกัน

 “ไหนลองบอกตัวย่อ ก็ได้ ว่าใคร อยากรู้ จะได้เตรียมตัวเลือก ใคร บอกตัวย่อมา” นายกรัฐมนตรีถาม ขณะที่สื่อบอกว่า ตัวย่อ ส เสือ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ส. เสือใครว่ะ” เมื่อสื่อบอกว่า สุรเกียรติ์ นายกฯ กล่าวว่า “ฮู้! ไม่มี ใครอยากเป็นก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ตอนนี้ใครจะบอกว่าจะเลือกใครบ้าหรือเปล่า”

เมื่อถามว่า ในความรู้สึกของนายกฯ คิดว่า จะมีม้ามืดมาเป็นนายกฯ นอกจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันจะมีได้อย่างไร ม้ามืด แต่จะมืดมาอย่างไร มันอยู่ที่นักการเมืองทั้งนั้น ไม่ใช่ตน ที่ผ่านมา นักการเมืองทำ ไม่ใช่ตน จะไปบังคับอะไรเขาได้ เมื่อการเมืองเข้ามาเต็มรูปแบบ ตนก็บังคับอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว เป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของประชาชน ที่จะเป็นคนกำหนดอนาคตตัวเอง แล้วมีชื่อใครอีกที่จะมาเป็นนายกฯ ตนจะได้เตรียมใจไว้ มี ส. เสือ แล้วมีใครอีก ส. อาสนจินดา หรือเปล่า หรือ สมจิต ทรัพย์สำรวย หรือ สมจิต นักมวยอะไรอย่างนี้หรือ ยังนึกไม่ออกเลย วันหลังเขียนใส่กระดาษมาเดี๋ยวจะดูให้

เมื่อถามว่า ถ้ามีคนเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ กล่าวว่า จะเสนอได้อย่างไร ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน นายกฯ คนนอกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การเสนอชื่อนายกฯ จะต้องเลือกมาจาก ส.ส. เว้นแต่มีเหตุการณ์ความจำเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว ที่มีการตีกัน รัฐบาลไม่มีอำนาจเต็ม และเลือกกันเองอีกครั้งไม่ได้ นั่นจึงจะหาคนนอก อยากให้ไปถึงตรงนั้นหรือ แต่ถ้าถึงตรงนั้นจริงก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักหยุดก่อนจะถึงตรงนั้น

“แต่ทำไมต้องมาเอาฉัน ทำไมเธอหยุดกันเองไม่ได้หรือ ลูกหลานของเธอทั้งนั้น ทำไมไม่หยุดจะให้ตีกันแบบเดิม หรือจะต้องมาตั้งนายกฯ คนนอก มันก็ไปตีใหม่ ย้อนกลับไปแบบเดิม ทำไมคิดแบบนี้ ทำไมไม่คิดหยุดทุกอย่างตั้งแต่ต้น ไม่เอาคนเข้ามากรุงเทพฯ ไม่เดินประท้วง ไม่ขัดแย้งกฎหมาย ไม่เอาประเทศไปประจานในต่างประเทศ แค่นี้ยังทำไม่ได้เลยอย่าไปหวังเลย ผมไม่หวังหรอก จะประชามติจะเลือกตั้ง ผมก็ทำตามระบบ ตราบใดถ้ายังมีคนพูดกันอยู่แบบนี้ไม่มีทางสำเร็จเดี๋ยวฟังที่ผมทำให้และคอยไปถามเขาว่ารัฐบาลหน้าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งผมไม่รู้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 13 เมษายน 2559    
Last Update : 13 เมษายน 2559 17:23:57 น.
Counter : 364 Pageviews.  

กรณีศึกษาการประมูลคลื่นความถี่ ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดย พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมกา



สหรัฐอเมริกาในปี 1996 FCC จัดการประมูลคลื่นความถี่ สำหรับบริการ Personal Communications Services (PCS) โดยได้กำหนดคลื่นความถี่บางส่วนไว้สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก ในการประมูลครั้งนั้นทำให้ผู้ประกอบการบางรายเกิดปัญหาสภาพคล่องทางด้านการเงิน เช่น บริษัท Nextwave และ Urban Comm. เป็นต้น

Nextwave เป็นบริษัทซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ชนะการประมูลคลื่นความถี่ PCS จำนวนมากที่สุด โดยการประมูลในครั้งนั้น Nextwave ได้รับใบอนุญาต 63 ใบ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดย FCC มอบใบอนุญาตในช่วง C-Block ให้แก่ Nextwave เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1997 ซึ่ง Nextwave ต้องชำระเงินขั้นต่ำร้อยละ 10 ของราคาประมูล คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่วนที่เหลือสามารถแบ่งจ่ายเป็นเวลา 10 ปี แต่ Nextwave ประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่สามารถชำระเงินที่เหลือได้ จนกระทั่งเกิดภาวะล้มละลาย ซึ่ง FCC พยายามเรียกใบอนุญาตคืน แต่ Nextwave ขอความคุ้มครองจากศาลล้มละลาย และหวังว่าศาลจะช่วยลดภาระหนี้ที่มีต่อ FCC ให้มีมูลค่าเทียบเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับ โดยอ้างว่า FCC ประพฤติมิชอบ เนื่องจากราคาใบอนุญาตในช่วง C-Block กับราคาใบอนุญาต D-Block และ F-Block (ที่เกิดจากการประมูลในภายหลัง) นั้นมีมูลค่าที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยราคาคลื่นความถี่ในช่วง C-Block นั้นสูงกว่าราคาในช่วง D-Block และ F-Block กว่า 4 เท่า แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของ FCC นั้นไม่ได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด แต่ภาระหนี้ของ Nextwave เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการประมูลใบอนุญาตในช่วง C-Block นี้เอง ดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงตัดสินให้ FCC ยกเลิกใบอนุญาตของ Nextwave ทั้งหมด 63 ใบ และให้ FCC นำใบอนุญาตมาประมูลใหม่

ส่วนการตัดสินคดีในชั้นศาลฎีกา พิจารณาว่าการที่ FCC เพิกถอนใบอนุญาตของ Nextwave นั้น ฝ่าฝืนมาตรา 525 ที่เพิกถอนใบอนุญาตของลูกหนี้ที่ล้มละลาย เพียงเพราะว่าผิดนัดชำระหนี้ ในที่สุด Nextwave สามารถชนะคดีในศาลฎีกา และมีสิทธิดำเนินกิจการตามใบอนุญาต PCS ได้ต่อไป หลังจากใช้เวลาต่อสู้ในศาลประมาณ 8 ปี โดยสามารถชำระหนี้เดิมได้ทั้งหมดและสามารถขายคลื่นความถี่บางส่วน ให้แก่ Verizon Wireless, Cingular (ปัจจุบันคือ AT&T) และ MetroPCS ในปี 2004 ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าที่ประมูลมาได้ ต่อมา Nextwave ได้มาจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ คือ NextWave Wireless ด้วยทุนจดทะเบียน 550 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เนื่องจากปัญหาทางการเงิน Nextwave จึงต้องทะยอยปิดบริษัทย่อยต่างๆลง ต่อมาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2012 AT&T ตัดสินใจซื้อ Nextwave พร้อมภาระหนี้สินทั้งหมด ในมูลค่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะต้องการนำคลื่นความถี่ของ Nextwave มาใช้

ส่วน Urban Comm. ชนะการประมูลใบอนุญาต C-Block จำนวน 10 ใบ ซึ่ง Urban Comm. ได้ชำระเงินค่าใบอนุญาตเป็นจำนวนร้อยละ 10 และส่วนจำนวนเงินที่เหลืออีก 67.2 ล้านเหรียญสหรัฐ จะแบ่งชำระภายในเวลา 10 ปี แต่ก่อนที่จะถึงกำหนดชำระเงินงวดที่สอง บริษัท Urban Comm. เกิดการล้มละลาย FCC จึงเรียกใบอนุญาตคืน ต่อมาเมื่อศาลฎีกา ตัดสินคดีของ Nextwave สิ้นสุดลง ศาลจึงมีคำสั่งให้ FCC คืนใบอนุญาตให้แก่ Urban Comm. ด้วย ต่อมา Urban Comm. ได้ขายใบอนุญาตให้แก่ Verison Wireless และ Leap Wireless

หมายเหตุ

กฎหมายไทย ห้ามมิให้มีการขายต่อคลื่นความถี่ (Spectrum trading)

Reference

-    Owen D. Kurtin, “Nextwave Supreme Court victory ends five-year struggle over u.s. wireless spectrum auction rules,” March 2003.

-    Analysis group, “Spectrum Auctions Around the World: An Assessment of International Experiences with Auction Restrictions,” July 2013.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 12 เมษายน 2559    
Last Update : 12 เมษายน 2559 13:04:03 น.
Counter : 262 Pageviews.  

สื่อเกาหลีเผยมีลุ้น iPhone 7 เครื่องบาง 6mm แบตใหญ่ขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตใหม่



อาจจะบอกได้ว่าน่ารักน่าลุ้นเลยทีเดียวสำหรับรายงานข่าวความคืบหน้าต่อไปนี้ ซึ่งจากการอ้างอิงของแหล่งข่าวในประเทศเกาหลีใต้ ได้ระบุข้อมูลความน่าสนใจว่าด้วยเทคโนโลยีการผลิตชิปเซ็ตรุ่นใหม่ของโรงงาน Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. หรือ TSMC นั้นจะช่วยอำนวยความสะดวกในการออกแบบโทรศัพท์ iPhone 7 ให้สุดยอดมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา โดยเป็นไปได้ว่าตัวเครื่องอาจจะมีความบางที่ลดลงมาในระดับ 6 มิลลิเมตร แต่ด้วยเทคโนโลยี Integrated Fan-out ที่เป็นกระบวนขั้นตอนสำคัญของการผลิตชิปเซ็ต Apple A10 ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ประสิทธิภาพของชิปเซ็ตดีขึ้นแล้ว ก็จะทำให้มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับการบรรจุก้อนแบตเตอรี่ภายในเคสของตัวเครื่องด้วยเช่นกัน

โดยการลดขนาดความบางตัวเครื่องดังกล่าวนี้เกิดขึ้นด้วยความพร้อมของกระบวนการออกแบบและผลิตเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากโรงงาน ไม่ใช่การลดลงในแบบตัดใจหักดิบจนเป็นกระแสแฟชั่นเครื่องบางเกิดขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งทำให้เครื่องโทรศัพท์บางลงจริง แต่ก็ต้องแลกไปกับขนาดแบตเตอรี่ที่เล็กลงตามไปด้วยครับ

ที่มา macstroke




 

Create Date : 10 เมษายน 2559    
Last Update : 10 เมษายน 2559 18:43:52 น.
Counter : 340 Pageviews.  

สวนดุสิตโพลเผยลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 83.43 % บอกว่าไปเพื่อรักษาสิทธิ-แนะใช้โซเชียลมีเดียช่วยกระตุ้



สวนดุสิตโพลสำรวจการลงประชามติ มองเป็นการแสดงออกทางการเมือง 75.58% ไปลงคะแนนเพื่อรักษาสิทธิ 80.43 % ส่วนที่ไม่ไปเหตุติดธุระเบื่อการเมือง 72.12 % มองเป็นเรื่องสำคัญชาติ แนะประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนทุกกลุ่มหลากหลายช่องทางโดยเฉพาะโซเชียล มีเดีย

 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2559  “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเรื่องการลงประชามติ “รัฐธรรมนูญ” เพื่อถามว่า“รับ-ไม่รับ”ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศชาติและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ

หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ รัดกุมและเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิครั้งนี้ เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน และจากผลสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,216 คน สำรวจระหว่างวันที่ 4-8 เมษายน 2559 สรุปผลได้ ดังนี้

เมื่อถามว่าประชาชนคิดว่าการลงประชามติรัฐธรรมนูญมีความสำคัญอย่างไร

อันดับ 1 เป็นการแสดงออกทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน 75.58%

อันดับ 2 มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการจัดการเลือกตั้งในปีหน้า 74.42%

อันดับ 3 ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน 71.71%

อันดับ 4 เพื่อความเป็นประชาธิปไตย ได้รัฐธรรมนูญฉบับที่เสียงส่วนใหญ่ยอมรับ 65.63%

อันดับ 5 ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายและแนวทางการบริหารประเทศ 61.27%

เมื่อถามว่าสาเหตุที่คนจะไปลงประชามติเพราะอะไร

อันดับ 1 เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของตนเอง 80.43%

อันดับ 2 อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าและนำไปสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น 76.97%

อันดับ 3 เพื่อแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตย การเคารพกฎหมายของบ้านเมือง 69.49%

อันดับ 4 การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ของสื่อและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 68.91%

อันดับ 5 แสดงถึงความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจของคนไทย 63.24%

เมื่อถามว่าสาเหตุที่คนจะไม่ไปลงประชามติเพราะอะไร

อันดับ 1 มาจากเหตุผลส่วนตัว ติดธุระ ไม่สะดวก ไม่ว่าง ไม่สนใจ ไม่ได้ติดตามข่าว เบื่อการเมือง72.12%

อันดับ 2 ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญ ไม่เข้าใจถึงเนื้อหาและความสำคัญ 68.83%อันดับ 3 ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน 60.18% อันดับ 4 ตั้งใจว่าจะไม่ไปใช้สิทธิลงประชามติ 59.65% อันดับ 5 ไม่มั่นใจว่าการลงประชามติจะได้ผล กลัวเสียเวลาเปล่า 54.44%

เมื่อถามว่าประชาชนจะไปลงประชามติว่ารับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญหรือไม่

อันดับ 1 ไป 50.58% เพราะเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมืองและคนไทยทุกคน อยากมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตย ไม่อยากเสียสิทธิ อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพฯลฯ

อันดับ 2 ไม่แน่ใจ 36.92% เพราะยังไม่ได้ตัดสินใจ รอตัดสินใจช่วงใกล้ๆจะลงประชามติอีกครั้ง ยังไม่ทราบข้อมูลรายละเอียดที่ชัดเจน แน่นอน มีกระแสข่าวทั้งในด้านดีและด้านลบ ฯลฯ

อันดับ 3 ไม่ไป 12.50% เพราะมีเหตุผลส่วนตัว ไม่สะดวก ไม่สนใจ ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ มีมุมมองความคิดเห็นที่แตกต่าง ฯลฯ

เมื่อถามว่าประชาชนคิดว่าควรจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนไปลงประชามติรัฐธรรมนูญอย่างไร

อันดับ 1 ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ ให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย 71.79%

อันดับ 2 ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ ประโยชน์ของการลงประชามติครั้งนี้67.43%

อันดับ 3 ทำเอกสาร แผ่นพับที่สวยงาม ดึงดูด น่าสนใจ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ส่งไปตามบ้านเรือน หน่วยงาน สถานที่ทำงาน เป็นต้น 65.95%

อันดับ 4 ให้บุคคลสำคัญออกมากระตุ้น เชิญชวน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และ กรธ. 64.14%

อันดับ 5 เดินสายรณรงค์ Roadshow ไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชน 57.40%

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 เมษายน 2559    
Last Update : 10 เมษายน 2559 13:49:31 น.
Counter : 298 Pageviews.  

ไทยติดอันดับ 2 อุบัติเหตุโลกอันดับ 1 ของเอเชีย โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์-เสนอเอาผิดคดีจราจรส่งทำงาน "ห้อง



สาธารณสุขเผย ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีการเกิดอุบัติเหตุเป็นอัน 2 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ บาดเจ็บ 160 คนต่อชั่วโมง สธ.พร้อมเตรียมรองรับสถานการณ์ทางด้านสุขภาพ เพิ่มมาตราการบำเพ็ญประโยชน์ผู้กระทำผิด พ.ร.บ.จราจร

 

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2559 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวง ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข พันตำรวจเอกเกรียงเดช จันทรวงศ์ รองผู้บังคับการกองแผนงานกิจการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายนนท์จิตร เนตรพุกกณะ ผอ.กองกิจการชุมชนและบริการสังคม กรมคุมความประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ร่วมกันแถลงข่าวการเตรียมการรองรับเทศกาลสงกรานต์ 2559

อุบัติเหตุไทยติดอับดับ1เอเซียอัน2ของโลก

โดย นายแพทย์ ปิยะสกล กล่าวว่า ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีการเกิดอุบัติเหตุเป็นอัน 2ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 2.3 คนต่อชั่วโมง บาดเจ็บ 160 คนต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิทหาร ตำรวจ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ออกมาตรการเพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่จะป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้มากที่สุด คือ ตัวประชาชนเองที่ต้องตระหนักถึงความปลอดภัย ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อก ก่อนเดินทางต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการเกิดความสูญเสีย หรือพิการของคนในครอบครัวในเทศกาลนี้

เตรียมทีมหมอ-พยาบาลพร้อมรองรับสถานการณ์ทางด้านสุขภาพ

นายแพทย์ โสภณ กล่าวว่าทั้งนี้กระทรวง สธ.ได้เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ทางด้านสุขภาพเอาไว้ อาทิ การเตรียมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และทีมแพทย์เคลื่อนที่เร็วที่สามารถเข้าพื้นที่ได้ภายใน 10 นาที มีการสำรองเลือด เตียง ออกซิเจน ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู เป็นต้น รวมทั้งประสานกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน(สพฉ.) เรื่องการเข้าพื้นที่อุบัติเหตุและการส่งต่อผู้ป่วย ทั้งทางน้ำและทางอากาศ พร้อมยังกำชับให้มีการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 อย่างเข้มข้นโดยเฉพาะการจำหน่ายในสถานที่ห้ามจำหน่ายและการจำหน่ายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20ปีรวมถึงกรมควบคุมโรคจะมีการลงพื้นที่เพื่อติดตามการปฏิบัติงานด้วย

ดัดหลังขี้เมา-ส่งห้องดับจิต

ด้าน นายนนท์จิตร กล่าวว่า เดิมการลงโทษผู้กระทำผิด พ.ร.บ.จราจรจะใช้การบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะอาทิทำความสะอาดถนน ตัดกิ่งไม้ เป็นหลัก เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้ผู้ประพฤติผิด พ.ร.บ.จราจร ต้องเข้าไปช่วยบุคลากรสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ แต่จากการประเมินผลช่วงเทศกาลปีใหม่ พบสถิติผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้น มีทั้งผู้ที่กระทำผิดซ้ำ และผู้กระทำผิดรายใหม่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น

จากสถิติพบว่า การลงโทษผู้กระทำผิด ใช้การบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ เช่น ทำความสะอาดถนน ตัดกิ่งไม้ เป็นหลักแต่พบว่ายังไม่หลาบจำ 

ดังนั้นเพื่อให้เกิดความหลาบจำกรมคุมความประพฤติจึงเสนอมาตรการบำเพ็ญประโยชน์อย่างเข้มข้น ด้วยการให้เข้าไปช่วยเหลืองานในห้องดับจิตของโรงพยาบาล โดยเสนอเข้าครม.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเริ่มพิจารณาในกลุ่มที่กระทำความผิดพ.ร.บ.จราจรหลังเทศกาลสงกรานต์จะสามารถบังคับใช้ได้ ต้องให้ศาลสั่งการจากนั้นผู้กระทำผิด ต้องมารับทราบบทลงโทษ และทำข้อตกลงร่วมกับกรมคุมประพฤติต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 เมษายน 2559    
Last Update : 8 เมษายน 2559 23:18:52 น.
Counter : 258 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.