ศักดิชัย กาย ชวดมรดก 300 ล้าน ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้เป็นโมฆะชี้มีพิรุธหลายข้อ



ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้พินัยกรรมมรดกตระกูล ณ ป้อมเพชร โอนให้ “ศักดิ์ชัย กาย”บก.นิตยสารลิปส์ 300 ล้านบาทเป็นโมฆะ ชี้มีพิรุธหลายข้อ ทำให้ศักดิ์ชัย กาย หมดสิทธิ์รับมรดกทันที

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 2942/2550 ที่ นายธีรวัต ณ ป้อมเพชร อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศักดิ์ชัย กาย บรรณาธิการบริหาร นิตยสารลิปส์ เป็นจำเลย เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนทำลายพินัยกรรม ที่ นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ยกทรัพย์ได้แก่ที่ดินจำนวน 3 ไร่ แขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวา กทม. พร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเลขที่ 3G คอนโดมิเนียมการ์เด้นคลิฟ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ให้แก่จำเลย

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2548 นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร บิดาโจทก์ อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ,จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทําหนังสือฉบับหนึ่ง ระบุว่า เป็นพินัยกรรม มีข้อความว่า นายวิวรรธน์ มีคำสั่งให้ยกเลิกพินัยกรรมเดิมของนายวิวรรธน์ ที่ทํามาก่อนหน้านี้ และต้องการยกทรัพย์สินคือที่ดิน 3 ไร่ ย่านยานนาวา กทม. พร้อมอาคารและสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งห้องชุดเลขที่ 3G คอนโดมิเนียมการ์เด้น คลิฟ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทให้แก่จำเลย

ต่อมาวันที่ 16 ก.ย. 2549 นายวิสูตร กาญจนปัญญาพงศ์ พยานผู้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรม ได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ดำเนินการขอรับพินัยกรรมจากสำนักงานเขตราชเทวี เพื่อดำเนินการตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ทั้งที่โจทก์และทายาท รวมทั้งญาติพี่น้องของนายวิวรรธน์ ไม่มีใครทราบมาก่อนว่า นายวิวรรธน์ ได้ทําพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น รวมทั้งไม่มีใครรู้จัก นายสุทิน โชติสิงห์ และ น.ส.ศจีมาศ อภิชโยดม นายวิสูตร กาญจนปัญญาพงศ์ ซึ่งลงชื่อเป็นพยาน และผู้พิมพ์ ตลอดจนสำนักกฎหมายธรรมนิติ

ทั้งที่พินัยกรรมฉบับนี้ไม่ใช่พินัยกรรมลับ เพราะนายวิวรรธน์ มิได้ผนึกซองพินัยกรรมและลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง แล้วนำซองพินัยกรรมไปแสดงต่อผู้อำนวยการเขตราชเทวีหรือผู้กระทําการแทน

นอกจากนี้ ในพินัยกรรมดังกล่าวยังไม่มีแพทย์รับรองว่า นายวิวรรธน์ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในขณะทําพินัยกรรม ทั้งลักษณะลายมือชื่อของนายวิวรรธน์ในพินัยกรรม ก็ไม่ใช่ลายมือที่แท้จริง เชื่อว่า นายวิวรรธน์ ไม่มีเจตนาอันแท้จริงจะยกทรัพย์สินให้จำเลย พินัยกรรมดังกล่าวจึงเป็นพินัยกรรมปลอม ไม่มีผลตามกฎหมาย

การกระทําของจำเลยซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นญาติ หรือครอบครัวกับนายวิวรรธน์ หรือตระกูล ณ ป้อมเพชร ทําให้โจทก์กับทายาทได้รับความเสียหาย ไม่สามารถดำเนินการรับทรัพย์มรดกของนายวิวรรธน์ ที่แบ่งให้กับทายาทคนอื่นได้ จึงขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งทําลายพินัยกรรมปลอมฉบับดังกล่าวด้วย

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย จากพยานหลักฐานโจทก์ 5 ปาก และพยานจำเลย 6 ปาก นำเข้าสืบหักล้างและพยานผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบลายมือชื่อแล้ว ฟังได้ว่า พินัยกรรมฉบับดังกล่าวที่นายวิวรรธน์ทำขึ้น ซึ่งเป็นเอกสารลับนั้น เป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริง พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์-ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา 

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าพินัยกรรมของ นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2548 เป็นโมฆะ

จำเลยฎีกา-ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์

จำเลยยื่นฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พินัยกรรมที่ทำขึ้นมีพิรุธ โดยได้ความจาก นายวิสูตร กาญจนปัญญาพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด พยานจำเลยว่า ปกติในการทำพินัยกรรมจะมีการบันทึกวิดีทัศน์และถ่ายรูป ขณะทำพินัยกรรมไว้ แต่ในขณะที่นายวิวรรธน์ทำพินัยกรรมไม่ได้มีการบันทึกวิดีทัศน์หรือถ่ายรูปไว้ ทั้งที่พยานสามารถเตรียมการให้มีการบันทึกวิดีทัศน์และถ่ายรูปไว้ในขณะทำพินัยกรรม แต่กลับไม่ดำเนินการ จึงเป็นพิรุธว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. 2548 ได้มีการทำพินัยกรรมจริงหรือไม่ และลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมยังไม่อาจชี้ชัดว่าเป็นลายมือชื่อของผู้ตายหรือไม่

เมื่อพิจารณาเอกสารอื่นๆ ที่ผู้ตายเคยลงชื่อไว้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่มีการทำพินัยกรรมลายมือชื่อมีลักษณะปรากฏเพียงส่วนของชื่อและชื่อสกุล เขียนสั้นไม่ยาวนัก แต่ปรากฏว่า การลงลายมือชื่อในพินัยกรรมและลายมือชื่อหลังซองบรรจุพินัยกรรม กลับเป็นลายมือชื่อที่เขียนทั้งชื่อและชื่อสกุลที่มีความยาวมากกว่า ตามชื่อและชื่อสกุลว่า “วิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร”ซึ่งแตกต่างออกไปเป็นพิรุธ

ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรม เป็นของผู้ตาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

สำหรับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2550  นายธีรวัต ณ ป้อมเพชร อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศักดิ์ชัย กาย บรรณาธิการบริหาร นิตยสารลิปส์ เป็นจำเลย เพื่อให้ศาลมีคำสั่งทำลายพินัยกรรมของ นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ผู้เป็นบิดา เนื่องจากเชื่อว่ามีการแอบอ้างใช้พินัยกรรมปลอม

พลิกปูม“ศักดิ์ชัย กาย”จากแนวร่วม กปปส.สู่จำเลยคดีพินัยกรรมตระกูลดัง

//www.isranews.org/isranews-scoop/item/37410-sakchaiguy_888.html

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2559    
Last Update : 16 มิถุนายน 2559 15:22:43 น.
Counter : 289 Pageviews.  

ธปท.เผยธนาคารรับลงทะเบียน“พร้อมเพย์”15 ก.ค.โอน-รับเงินด้วยบัตรประชาชนยกเลิกค่าบริการข้ามเขตและข้ามธน



ธปท.ยันทุกแบงก์เตรียมเปิดตัวลงทะเบียน“พร้อมเพย์”บริการโอนเงิน- รับโอนใช้เลขบัตรประชาชนและเบอร์มือถือยกเลิกคิดค่าบริการข้ามเขตและข้ามธนาคารเริ่มลงทะเบียน 15 ก.ค.-ใช้งาน 31 ต.ค.ค่าธรรมเนียมการโอนไม่เกิน 5,000 บาทฟรีทุกรายการ

มื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และสถาบันการเงิน 21 แห่ง  เตรียมเปิดให้บริการโอนเงินและรับโอนเงินแบบใหม่ “พร้อมเพย์-PromptPay” หรือชื่อเดิม คือเอนี ไอดี (Any ID)เปิดให้ประชาชนใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์มือถือผูกกับบัญชีธนาคาร 1 เลขหมายต่อ 1 บัญชี

ทั้งนี้สามารถผูกบัญชีได้สูงสุด 4 เบอร์ได้แก่ เลขบัตรประจำตัวประชาชน 1 และหมายเลขโทรศัพท์มือถืออีกไม่เกิน 3 เบอร์  โดยทุกคนสามารถโอนเงินระหว่างกันได้ไม่ต้องจำเลขบัญชีเงินฝากธนาคาร

ธนาคารพาณิชย์จะเปิดให้ลูกค้าสามารถลงทะเบียนผ่าน 4 ช่องทาง ประกอบด้วย 1.สาขาธนาคารพาณิชย์ 2.ตู้เอทีเอ็ม 3.อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง และ 4.โมบายแบงกิ้ง บางธนาคารที่มีความพร้อมเริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 นี้ และจะพร้อมกันทุกธนาคารวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป โดยไม่มีการกำหนดสิ้นสุดการรับลงทะเบียน

นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ประชาชนจะได้รับประโยชน์จาก “พร้อมเพย์” อย่างเต็มที่ ด้วยการได้รับเงินโอนระหว่างกันสะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ยังสามารถรับเงินจากรัฐได้โดยตรง ด้วยการผูกบัญชีธนาคารกับเลขบัตรประจำตัวประชาชน เช่น เงินสวัสดิการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินคืนภาษีของกรมสรรพากร รวมทั้งยังมีความปลอดภัยกว่าการใช้เงินสด และค่าธรรมเนียมถูกกว่า ซึ่งในระหว่างนี้จะเริ่มโอนเงินระหว่างประชาชนกับประชาชนไปก่อน

อย่างไรก็ตาม กรณีผู้ลงทะเบียนจะเปลี่ยนธนาคารที่ลงทะเบียนไว้สามารถยกเลิกกับธนาคารเดิมและไปลงทะเบียนกับธนาคารใหม่ หรือในกรณีที่ผู้ใช้บริการ“พร้อมเพย์”ต้องการเปลี่ยนแปลงหมายเลขบัญชีหรือหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้แล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน

สมาคมธนาคมฯยันพร้อมเพย์สะดวกปลอดภัย

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทุกธนาคารยืนยันในระบบความปลอดภัยของบริการโอนเงิน“พร้อมเพย์”ทั้งข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าและระบบการชำระเงิน ขณะที่ค่าธรรมเนียมบริการ“พร้อมเพย์”จะถูกลง ดังนี้

1.โอนเงินไม่เกิน 5,000 บาทต่อรายการจะฟรีค่าธรรมเนียมทุกรายการ

2.วงเงินโอน 5,001-30,000 บาทต่อรายการคิดค่าธรรมเนียมไม่เกิน 2 บาทต่อรายการ

3.วงเงิน 30,001-100,000 บาท คิดค่าธรรมเนียมไม่เกิน 5 บาทต่อรายการ

4.วงเงิน 100,001 บาทขึ้นไปคิดค่าธรรมเนียมไม่เกิน 10 บาทต่อรายการ

จากเดิมค่าธรรมเนียมการโอนเงินประมาณ 25-50 บาทต่อรายการ

การให้บริการเริ่มตุลาคมศกนี้เป็นต้นไป

นายปรีดีเปิดเผยว่าการให้บริการ“พร้อมเพย์”จะเริ่มให้บริการรับโอนระหว่างประชาชนในเดือนตุลาคม 2559 นี้เป็นต้นไป จากนั้นจะทยอยสู่บริการอื่นๆ เช่น การจ่ายบิล

ส่วนค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอื่นๆ จะยังคงอัตราเดิมต่อไป เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมาใช้บริการ“พร้อมเพย์” ที่มีค่าธรรมเนียมถูกกว่า

ทั้งนี้ประชาชนสามารถใช้บริการ“พร้อมเพย์”ผ่านโมบายแบงกิ้ง และอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ผ่านแอปพลิเคชัน ธนาคารบนมือถือได้ โดยผ่าน feature “พร้อมเพย์”

ธ.กรุงไทย-ทหารไทยเริ่มรับจดทะเบียน 1 ก.ค.

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขอแนะนำให้ประชาชนใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนผูกกับบัญชีธนาคารในการใช้บริการ“พร้อมเพย์”เพื่อรับเงินสวัสดิการรัฐบาล เงินผู้มีรายได้น้อยและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น เพราะหากใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย และมีหลายเลขหมายอาจจะมีการตกหล่นในการรับเงินจากรัฐบาล

ส่วนความพร้อมของระบบไอที เพื่อรองรับการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง และโมบายแบงกิ้ง เพิ่มขึ้นนั้น ธนาคารมีความพร้อมเต็มที่ และจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559

ทางด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย หรือ TMB กล่าวว่า ธนาคารพร้อมแล้วสำหรับการให้บริการ "พร้อมเพย์" (PromptPay) บริการโอนเงินและรับเงินรูปแบบใหม่ โอนเงินโดยไม่ต้องถามเลขบัญชีธนาคารสำหรับลูกค้า โดยขอเชิญชวนให้ลูกค้ามาลงทะเบียนการใช้งานล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ศกนี้ เป็นต้นไป ก่อนที่จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนการใช้งาน“พร้อมเพย์”พร้อมกันทุกธนาคารตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม นี้

ลูกค้าทีเอ็มบี สามารถลงทะเบียนการใช้งานล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม ได้ถึง 4 ช่องทาง คือ ทีเอ็มบี ทัช โมบายแบงก์กิ้ง, ทีเอ็มบี อินเตอร์เนตแบงก์กิ้ง, ตู้เอทีเอ็ม/เครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติของทีเอ็มบี และ เอสเอ็มเอส หมายเลข 08 1558 1558

นายบุญทักษ์เปิดเผยว่า ลูกค้าที่ลงทะเบียนล่วงหน้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ในการทดลองใช้บริการโอนเงินแบบไม่ต้องถามเลขบัญชี ระหว่างบัญชีภายในทีเอ็มบี ผ่านทางทีเอ็มบี ทัช โมบายแบงก์กิ้ง และทีเอ็มบี อินเตอร์เนตแบงก์กิ้งได้ทันที ฟรีเหมือนเดิม ก่อนที่บริการพร้อมเพย์จะเปิดให้บริการโอนเงินรายย่อยอย่างเป็นทางการ เต็มรูปแบบ พร้อมกันทั่วประเทศทุกธนาคาร ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป

รายละเอียดพร้อมเพย์คำชี้แจงจากธนาคารแห่งประเทศไทย

https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2559/n3159t.pdf

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2559    
Last Update : 16 มิถุนายน 2559 11:18:01 น.
Counter : 514 Pageviews.  

‘คิงเพาเวอร์’แถลงซื้อหุ้นไทยแอร์เอเชียทุ่มงบกว่า 7 พันล้านบาท หวังลงทุนระยะยาว-ต่อยอดทางธุรกิจ



ประธานบอร์ดคิงส์เพาเวอร์เจ้าสัววิชัยเปิดโต๊ะแถลงข่าวการเข้าซื้อหุ้นของบมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น AAV ในสัดส่วน 39% คิดเป็นมูลค่ากว่า 7,495 ล้านบาท-หวังต่อยอดธุรกิจลงทุนระยะยาว

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2559 นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ เปิดเผยถึงเหตุผลในการเข้าซื้อหุ้น บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV ว่า เป็นการลงทุนในระยะยาวให้แก่ตนเองและครอบครัว ซึ่งคิดว่าจะสามารถใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเครือข่ายการค้าของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ จากการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมาต่อยอดและส่งเสริมซึ่งกันเเละกันกับธุรกิจของไทยแอร์เอเชีย เพื่อให้เติบโตอย่างมั่นคง

สำหรับการเข้าซื้อหุ้น AAV ในครั้งนี้ นายวิชัย ได้มอบหมายให้ นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา และนายสมบัตร เดชาพานิชกุล เข้ามารับตำแหน่งคณะกรรมการบริษัทเพื่อร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ และนโยบายแก่ไทยแอร์เอเชีย ร่วมกันกับการบริหารของนายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ เเละผู้บริหารชุดเดิม

ทั้งนี้ ภายหลังจากการซื้อขายหุ้น AAV เสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 12/2554 เรื่องหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ นายวิชัย จะทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของกิจการ (Mandatory Tender Offer) ส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นอื่นๆ ประมาณร้อยละ 60 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ AAV โดยมีราคาเสนอซื้อที่ 4.20 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษา และสนับสนุนทางการเงินในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และได้ทำการยื่นแบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (แบบ 247-3 ) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายนนี้ พร้อมทั้งคาดว่าจะยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 247-4) อย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ตัดสินใจขายหุ้น AAV ในส่วนของตนเองและครอบครัว

ด้าน นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ได้ตัดสินใจขายหุ้น AAV ในส่วนของตนเองและครอบครัว จากเดิมในสัดส่วนร้อยละ 44 ให้แก่ นายวิชัย และครอบครัวศรีวัฒนประภา ในสัดส่วนร้อยละ 39 ในราคา 4.20 บาทต่อหุ้น รวมกว่า 1,892 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,945 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่สะท้อนถึงข้อจำกัดการถือครองหุ้นของสายการบินในประเทศไทย ตามกฎหมายอันเกี่ยวต่อการเดินอากาศที่ได้กำหนดสัดส่วนการถือครองหุ้นว่า ผู้ถือหุ้นต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ซึ่งข้อจำกัดนี้ทำให้ยากที่จะหาผู้ที่มีความประสงค์ และมีกำลังซื้อสูงพอที่จะซื้อหุ้น AAV เป็นจำนวนมากดังกล่าวได้

อย่างไรก็ตาม นายธรรศพลฐ์ ยังคงถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 5 และมองว่าเป็นโอกาสดีของไทยแอร์เอเชียที่ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งมากในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโต และมั่นคงขึ้น

“ขอให้ความมั่นใจว่า ผม และทีมงานผู้บริหารสายการบินยังคงทำหน้าที่บริหารของไทยแอร์เอเชียต่อไป และยังทุ่มเทในการทำงานเต็มที่เหมือนวันแรกที่เข้ามาบุกเบิกตลาดสายการบินราคาประหยัดในประเทศไทยเมื่อ 13 ปีก่อน และผ่านบทพิสูจน์มากมาย โดยไทยแอร์เอเชีย ยังยืนยันการลงทุนเพื่อการเติบโตตามแผนปี 2559 นี้ โดยจะรับเครื่องบินจนครบ 51 ลำ คาดการณ์ผู้โดยสารอยู่ที่ 17 ล้านคน พร้อมเจาะตลาดอาเซียน จีน และอินเดีย ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะได้ความแข็งแกร่งของนายวิชัย และกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ เข้ามาช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจให้เติบโตในอัตราเร่งที่อาจจะมากกว่าเดิม”

ทั้งนี้ นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ทาง นายโทนี่ เฟอร์นานเดส ผู้ก่อตั้งกลุ่มสายการบินแอร์เอเชียรับทราบ และมีความเห็นสอดคล้องในการทำงานร่วมกันมองหาโอกาสใหม่เพื่อการเติบโตที่มั่นคงแก่ นายวิชัย และครอบครัว รวมทั้งกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่มีศักยภาพการบริหาร มีเครือข่ายการค้าการลงทุนที่เข้มแข็ง มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง และเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

พิสูจน์ไทยแอร์เอเชียเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเหมาะสมต่อการลงทุน

ในส่วนของ นายโทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย กล่าวว่า การลงทุนที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นการพิสูจน์ไทยแอร์เอเชียเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเหมาะสมต่อการลงทุน จากการที่มีครอบครัวนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จให้ความสนใจเข้ามาลงทุน การผสานพลังระหว่างแอร์เอเชีย เเละกลุ่มคิง เพาเวอร์ บริษัทผู้ให้บริการสินค้าปลอดภาษีของประเทศไทย จะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้เติบโตขึ้นและเราก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกันไม่ใช่เเค่เพียงในประเทศไทย แต่จะขยายครอบคลุมไปทั่วภูมิภาคอาเซียน

ด้าน นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการบริษัทของ AAV และไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ทั้ง 2 บริษัทยังดำเนินนโยบายในธุรกิจหลักที่เข้มแข็ง แต่จะร่วมกันสร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจ โดยเฉพาะการมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ในตลาดประเทศจีน และกลุ่มอาเซียนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งไทยแอร์เอเชียก็เป็นสายการบินที่มีเส้นทางบินเชื่อมไทย-จีน และขนส่งผู้โดยสารจีนมากที่สุดเช่นกัน การเพิ่มช่องทางจำหน่าย และกระจายสินค้าในธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ รวมทั้งการพัฒนาแบรนด์ร่วมกันในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะยังตอกย้ำการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดทั้งด้านการชอปปิ้ง และการเดินทางด้วยมาตรฐานยอมรับที่เป็นสากล

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2559    
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 10:39:20 น.
Counter : 273 Pageviews.  

ครม.อนุมัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ'คนว่างงาน-รายได้ทั้งปีไม่ถึงแสน' พร้อมเปิดให้ ปชช.เ



ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการให้เงินช่วยเหลือของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2559 เวลา 14.30 น. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบหลักในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเร่งรัดจัดทำฐานข้อมูลประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร เป็นต้น

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับการจัดให้เป็นรัฐสวัสดิการ เช่น การขึ้นรถเมล์ รถไฟฟรี แต่การช่วยเหลือแบบนี้ยังไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงนำโครงการนี้มาเสนอต่อที่ประชุม ครม.

สำหรับคุณสมบัติของประชาชนที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการนี้จะต้องเป็นผู้ว่างงาน หรือรายได้ไม่เกินปีละ 1 แสนบาท อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของประชาชน ซึ่งไม่ได้บังคับว่าต้องมาลงทะเบียน เพียงแต่รัฐบาลต้องการให้ประชาชนมาสมัครไว้ เพราะรัฐบาลจะได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือดูแลผู้มีรายได้น้อยได้ในวันหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย โดยผู้ลงทะเบียนจะต้องเปิดเผยรายได้ การถือครองทรัพย์สิน จำนวนหนี้สิน และมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย" พล.ต.สรรเสริญกล่าว

โดยประชาชนสามารถไปลงทะเบียนได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย (KTB) โดยเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.-15 ส.ค.2559 ส่วนในปีต่อไปจะเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติม เริ่มตั้งแต่ 1-30 ก.ย.ของทุกปี ซึ่งสถาบันการเงินที่ประชาชนได้ไปลงทะเบียนไว้นั้น จะรวบรวมข้อมูลและนำส่งให้กับกรมสรรพากร เพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังทะเบียนราษฎร์ สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครองต่อไป

"จะทำให้รัฐสามารถดูแลเรื่องสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้อย่างเต็มที่ เต็มประสิทธิภาพ และจากที่ครม.อนุมัติหลักการแล้วในวันนี้ การออกระเบียบหรือประกาศนั้น กระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อให้ทันการเปิดลงทะเบียนในวันที่ 15 ก.ค.นี้" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียนรัฐสวัสดิการ

- ว่างงานหรือมีรายได้ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นในแต่ละปีปฏิทินไม่เกิน 100,000 บาท และเป็นรูปแบบสมัครใจ (Voluntary Basis) โดยผู้ลงทะเบียนจะต้องยินยอมเปิดเผยรายได้ การถือครองทรัพย์สินของตน เจ้าหนี้และจำนวนหนี้สินที่คงค้าง เป็นต้น

- มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และมีสัญชาติไทย

ช่องทางลงทะเบียนและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

- ลงทะเบียน ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2559 สำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายนของแต่ละปี

- สถาบันการเงินดังกล่าวจะจัดเก็บเอกสารแล้วส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังกรมสรรพากรเพื่อจัดเก็บข้อมูลและทำการตรวจสอบความถูกต้องในภายหลัง (Post Audit)
- กรมสรรพากรเชื่อมโยงข้อมูลไปยังฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อประมวลข้อมูลผู้มีรายได้น้อย นำไปบูรณาการข้อมูลสวัสดิการสังคม แล้วนำไปใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมภายใต้โครงการ e-Payment ภาครัฐในระยะต่อไป

สิ่งที่จะได้

- ช่วยทำให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลของผู้มีรายได้น้อย โดยทราบข้อมูลและสามารถนำไปกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

สาระสำคัญของโครงการการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการให้เงินช่วยเหลือของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจน ในสังคมไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2559    
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 4:40:23 น.
Counter : 544 Pageviews.  

ตำรวจกำสรวล (2) โดย วสิษฐ เดชกุญชร



ผมนึกอยู่แล้วว่าตำรวจคงจะต้องกำสรวลต่อไปอีก และก็เป็นไปดังที่ คาดจริงๆ เมื่อบ่ายวันที่ 6 เดือนนี้ (มิถุนายน 2559) ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษ ของกรมการปกครองและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดนรวม 100 นาย เข้าตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของสถานบริการอาบอบนวด “นาตารี เอ็นเตอร์เทนเมนท์” ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร หลัง จากที่ได้รับการร้องเรียนว่าสถานบริการดังกล่าวนำหญิงต่างด้าวอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าไปแอบแฝงค้าประเวณี

         ปรากฏว่า นอกจากจะตรวจพบหญิงชาวเมียนมาร์ 7 คน ซึ่งมีอายุต่ำ กว่า 18 ปีในสถานบริการแห่งนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบและยึดเอกสาร ฉบับหนึ่งซึ่งแสดงหลักฐานการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหน้าที่และหน่วยราชการ ตำรวจบางหน่วย เช่น ตำรวจสันติบาล ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจ ท่องเที่ยว

         หลังจากนั้นในการให้สัมภาษณ์ในวันที่ 8 เดือนเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า การที่กรมการปกครองเข้าไปจับกุมสถานบริการเช่นนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบ ต่อภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจ แต่กลับเป็นประโยชน์ในการปราบปราม สถานบันเทิงในลักษณะนี้มากกว่า และตนเห็นว่าการที่สื่อนำเสนอข่าวนี้ก็ จะไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการปราบปรามการค้า มนุษย์ด้วย

         ในฐานะที่ผมเคยเป็นตำรวจและยังมีตำแหน่งเป็นนายตำรวจราช สำนักพิเศษอยู่ ผมขอบอกว่าผมรู้สึกขายหน้าอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผมเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำความเสียหายร้ายแรงให้แก่สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติและแก่ประเทศไทย   หากตำรวจนครบาลทำหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด สม่ำเสมอ และ สุจริต คงไม่มีสถานบริการใดๆกล้าละเมิดกฎหมายด้วยการเปิดซ่องโสเภณี และค้ามนุษย์ไม่ว่าในรูปใดๆขึ้นในกรุงเทพมหานคร แต่เพราะตำรวจละเลย ไม่ตรวจตรา หรือรับ “ส่วย” หรือประโยชน์จากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การค้า ประเวณีและค้ามนุษย์จึงเกิดขึ้นได้อย่างโจ่งครึ่ม จนร้อนถึงหน่วยราชการ อื่นต้องเข้าไปจับกุม การทำหน้าที่ของกรมการปกครองในกรณีนี้ไม่ต่าง อะไรกับการตบหน้าตำรวจอย่างเปิดเผย

         ขณะนี้ได้มีการย้ายข้าราชการตำรวจเจ้าของท้องที่ที่เกิดเหตุคือผู้กำกับการและรองผู้กำกับการสถานีตำรวจห้วยขวาง และผู้บังคับการตำรวจนคร บาล 1 ไป “ช่วยราชการ” ยังกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว และก็ย่อม ต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความผิด แต่ที่ควรสังเกตก็คือ การสอบสวนก็จะกระทำโดยตำรวจด้วยกันนั้นเอง

         สมมติว่ามีการรับผลประโยชน์หรือ “ส่วย” จากสถานบริการที่ผิดกฎ หมายจริงๆ และส่วยนั้นเป็นจำนวนเงินมหาศาล ย่อมเป็นไปได้ว่า ผู้กระทำ ความผิดและรับส่วยอาจแบ่งผลประโยชน์ที่ได้ให้แก่ผู้อื่น รวมทั้งผู้บังคับ บัญชาบางคนด้วย ใครจะรับรองหรือประกันได้ว่ากรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง ให้สอบสวนผู้กระทำผิดจะไม่มีผู้รับประโยชน์จากส่วยรวมอยู่ด้วย และการ สอบสวนจะเป็นไปอย่างเป็นธรรมเพียงใด

        การสอบสวนจะเป็นอย่างเที่ยงตรงและเป็นธรรมจริงๆก็ต่อเมื่อกรรมการสอบสวนไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นบุคคลภายนอกที่เป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้อง กับตำรวจ และไม่ขึ้นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น

         ในปี พ.ศ.2550 คณะรัฐมนตรีชุดที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น นายกรัฐมนตรี ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราว ร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่สภาหมดอายุลงเสียก่อน

         ถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันนำร่างกฎหมายนี้มาพิจารณาประกาศใช้ จะโดย ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรืออาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญก็ตาม เราก็จะมีเครื่องมือที่ใช้สอบสวนความผิดของตำรวจที่ประกัน ความบริสุทธิ์ยุติธรรม และประกันชื่อเสียงของตำรวจดีๆได้อย่างแน่นอน

จนกว่าจะถึงวันนั้น ตำรวจดีๆก็คงจะต้องก้มหน้ากำสรวลต่อไป.

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2559    
Last Update : 14 มิถุนายน 2559 15:58:26 น.
Counter : 274 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.