ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย : เรื่องสั้น โดย วิทยากร เชียงกูร



วิทยากร เชียงกูร เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ไว้เมื่อปี 2511 แล้วนำมารวมเล่มในพ้อคเก็ตบุ้คชื่อ“ฉันจึงมาหาความหมาย” วิทยากร เชียงกูล เป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ นักคิด นักเขียนและเป็นปัญญาชนแห่งยุคสมัย เคยทำงานที่ธนาคารกรุงเทพฯ สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,ทำงานนักวิจัยที่ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ,ผู้ชำนาญการการคลัง ประจำรัฐสภา ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อเกิดคดี ดร.ยิง 2 ดร.เสียชีวิต และดร.ที่มีชีวิตอยู่ก็จบชีวิตตัวเองด้วยปืนพก เราเห็นว่า “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” เหมาะกับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง ขอเชิญรับอรรถรสของสังคมไทยได้ แม้เรื่องจะผ่านไปแล้วถึง 50 ปี ดังนี้......

 

ฉันมองไม่เห็นเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่ฉันควรจะใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป ฉันถูกอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มีราคา และการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาป เป็นการกระทำของคนขี้ขลาด แต่จะให้ฉันคิดอยู่เช่นนั้นได้อย่างไรในวันเช่นนี้ วันอาทิตย์ที่เงียบเหงา ไม่มีเพื่อนที่พอจะรับความรู้สึกเบื่อหน่วยร่วมกันได้สักคน แม้สตางค์หรือความหวังว่าจะได้มันมาก็ไม่มีด้วย ถึงก่อนหน้านั้น ฉันก็ไม่ค่อยจะติดใจคำสอนนี้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงแต่จะระแวงว่ามันเป็นคำสอนของผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ในการคิดฆ่าตัวตายมาก่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะฉันไม่อาจมองเห็นค่าในชีวิตได้จริงๆด้วย ฉันเห็นชีวิตมาแล้วไม่น้อย ชีวิตที่เกิดมาง่ายๆ เป็นอยู่ง่ายๆ และตายง่ายๆ เป็นชีวิตที่ได้มาเปล่าๆทั้งสิ้น และทุกวันนี้ปริมาณของมันก็ล้นโลกจนเขาต้องการหาทางจำกัดผลผลิตกันให้วุ่นวายอยู่หลายประเทศแล้ว ใครกันมีหน้ามาบอกว่า ชีวิตเป็นสิ่งมีราคา การฆ่าตัวตายเล่าเป็นบาปละหรือ เป็นบาปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเราไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถ้างั้นเมื่อเราขโมยหรือหลอกตัวเองก็เป็นบาปด้วยซิ พวกนักเทศน์นี่ก็ตีขลุมไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ตั้งท่าจะสอนท่าเดียว ไม่คิดคำนึงถึงเหตุผลอะไรทั้งนั้น แล้วก็ข้อสุดท้ายล่ะ การกระทำของคนขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นคนทั้งโลกที่ไม่ได้ฆ่าตัวตายก็เป็นคนกล้าหาญทุกคนซิ  แล้วเรายังจะต้องมาทำเหรียญกล้าหาญแจกบุคคลอีกประเภทหนึ่งให้วุ่นวายทำไมกัน  เมื่อคนทั้งโลกที่ทนมีชีวิตอยู่ก็มีสิทธิ์จะได้รับอยู่แล้ว…

ฉันมองไม่เห็นเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่ฉันควรจะอยู่อีกต่อไป และฉันก็ไม่รู้เลยว่าคนเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ฉันพยายามถามคนรู้จักกันหลายคนถึงเรื่องนี้ พวกเขาก้ไม่รู้เหมือนกัน นอกจากไม่รู้แล้วพวกเขายังไม่เอาใจใส่อีกด้วย เป็นพวกที่ไร้ความคิดด้วยกันทั้งนั้น เกิดมาเพื่อจะใช้ชีวิตให้หมดไปวันวันหนึ่ง หัวสมองที่เขามีไว้เพื่อประดิษฐ์ถ้อยคำสนทนาตื้นๆ หรือไม่ก็ตลกโปกฮาถ่อยๆเท่านั้นเอง บางคนถึงกับแนะนำให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ด้วยซ้ำ ตีนแน่ะครับ ผมอ่านหนังสือมามากกว่าคุณตั้งร้อยเท่ากระมัง หนังสือทุกเล่มก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ เวลาที่กำลังอ่านอยู่หรืออ่านจบใหม่ๆ คุณมักจะคิดว่าคุณกำลังจะได้พบอะไรในนั้นไม่น้อยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆแล้วคุณก็จะไม่ได้อะไรจากมันเลย เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเป็นคนโง่ดักดานคอยเชื่อตามหนังสือทุกเล่มที่คุณอ่านเท่านั้น พวกนักปราชญ์ทั้งหลายน่ะก็โง่ๆไม่ต่างกันเท่าไรนักหรอก แต่ละคนก็มักจะคิดว่าตัวได้ “ให้” อะไรแก่โลกด้วยกันทั้งนั้น แต่ละคนก็พยายามจะตั้งหน้าอธิบาย ตั้งหน้าสอนกันเสียจริง ดูเหมือนจะมีโสกราตีสคนเดียวเท่านั้นกระมัง ที่ฉลาดพอจะรู้ว่าตัวเองนั้นก็ไม่ได้รู้อะไรเลยเหมือนกัน และก็คงด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้เลือกเอายาพิษแทนที่จะหลบหนีไป  เขาก็คงไม่เห็นเหตุผลในการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือนกัน

แต่ฉันก็เคยมองเห็นเหตุผลบ้างเหมือนกันนา  ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดว่าฉันอาจมีชีวิตอยู่เพื่อเขียนหนังสือก็ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดเช่นนั้น ฉันรู้ดีว่ามันคงไม่ได้มีความหมายสูงสุดอะไรนักหรอก ฉันไม่ได้ฝันถึงวันที่จะเป็นนักเขียนใหญ่อะไรเสียด้วยซ้ำ เพราะฉันไม่ได้ยึดถือในเรื่องเหล่านี้ ฉันเคยเห็นนักเขียนใหญ่มาบ้างแล้ว ไม่เห็นเขาจะผิดกับคนธรรมดาตรงไหน เขาออกจะบ้ากว่าหน่อยๆด้วยซ้ำที่พยายามจะนึกว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา ฉันคิดถึงอาชีพนี้เพราะฉันคิดว่า ฉันคงอยากทำงานอะไรเงียบๆคนเดียวและมีอิสระตามสมควรเท่านั้น อาชีพที่เปล่าเปลี่ยว เฮมิงเวย์เคยจำกัดความไว้ดังนี้ แต่แทนที่จะนึกว่าเป็นคำเตือนที่น่าเอาใจใส่ ฉันกลับเคยคิดว่ามันเป็นคำท้าทายมากกว่า แต่วันนี้ฉันไม่ต้องการเขียนหนังสือ ฉันคิดไม่ออกว่าเรื่องอะไรกันที่ต้องไปเที่ยวสาละวนเก็บเกี่ยวเรื่องราวของชีวิตใครต่อใครมานั่งหลังขดหลังแข็งเขียนเพียงเพื่อให้ใครคนหนึ่งอ่านลวกๆ เพียงห้านาทีแล้วบอกว่ายังใช้ไม่ได้ เมื่อคิดอะไรไม่ออกฉันก็เลยหาเหตุผลที่จะอยู่ต่อไปไม่ได้ ดูมันก็เป็นเรื่องตื้นๆง่ายๆดี คล้ายกับว่าในโลกนี้มีของให้เลือกอยู่สองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่อย่างหนึ่งก็ต้องอีกอย่างหนึ่ง บางทีฉันก็อยากถามตัวเองว่า คนอย่างเจ้านั้นต้องการเหตุต้องการผลกะเขาเหมือนกันหรือ และฉันก็ตอบตัวเองไม่ได้อีก ก็ฉันหาเหตุผลที่จะเป็นคนไม่หลงในเหตุผลอยู่ตลอดไปได้นี่หว่า

ชักสายมากแล้ว และท้องฉันก็เริ่มร้องทุกข์ ไอ้เจ้าท้องสำรวย ถ้าไม่มีแกเสียอย่าง คนเราก็คงไม่ต้องมาห่วงเรื่องการกินมากนัก แต่อย่างว่านั่นแหละ ถ้าปากคนไม่เอาไปใช้ในการกินเสียบ้าง คนเราก็คงพูดกันมากกว่านี้ โลกก็คงหนวกหูมากกว่านี้ ดูไม่มีอะไรดีกว่ากันสักอย่าง ฉันเห็นท่าจะต้องลุกเดินเสียที ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินไปไหน แต่มีถนนสำหรับจะให้เดินอยู่เยอะ และทุกสายก็พากันไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนกันทุกสายนั่นแหละ  แต่ถ้าอยู่เฉยๆ โอกาสที่จะมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นมันก็ยิ่งเหลือน้อยลงใหญ่  ยังไงได้เดินเสียบ้างก็คงจะทำให้สมองปลอดโปร่งดีขึ้น

ฉันมองไม่เห็นเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่ฉันจะอยู่อีกต่อไป ทำไมฉันช่างมัวไปคิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรอยู่เรื่อยนะ ในเมื่อฉันก็มีเหตุผลที่จะฆ่าตัวตายอยู่แล้วอย่างพร้อมบริบูรณ์ ยมบาลเองก็คงจะไม่ซักอะไรมากมายนัก เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นคนโง่ดักดานเหมือนกับพวกนายทะเบียนทั้งหลายบนโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ความจริงตายแล้วไปไหนก็ยังไม่มีใครรู้ ทำไมต้องมาห่วงเรื่องถูกซักถามด้วยเล่า

เออฉันจะเลือกวิธีไหนดีนะ จำเป็นไหมว่าจะต้องเลือก เขาว่ากันว่าคนเราก็ตายกันคนละครั้งเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรฉันก็คงไม่มีเสรีมากพอที่จะเลือกอยู่ดี ฉันไม่มีเงินเลยสักแดง ถ้าฉันจะเลือกมาผูกคอเชือกเหนียวๆเส้นเดียวก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ ช่างน่าทุเรศเสียจริง แม้แต่จะไปตายก็ยังถูกจำกัดวิธีที่จะไปอีก

แล้วฉันก็นึกได้ถึงการกระโดดลงมาจากที่สูง จากที่ไหนก็ได้สักแห่งลงมาสู่เบื้องล่าง ฉันนึกถึงความเพ้อฝันที่จะเหาะเหินได้ในสมัยเด็กๆ  ฉันเคยนึกถึงกับจะเอาปีกกระดาษใหญ่ๆ ผูกติดกับลำตัวเพื่อที่จะร่อนลงมาด้วยซ้ำ พอดีวันนั้นฉันชวนลูกของอา ซึ่งเป็นเด็กเล็กกว่าไปด้วย เลยไม่ทันที่เราจะได้ทำการทดลองอันน่าตื่นเต้น ก็ถูกอาสะใภ้มาขัดขวางเสียก่อน ฉันโดนเฆี่ยนและโดนด่าอย่างสาดเสียเทเสีย และจำข้อกล่าวหาที่สะเทือนใจฉันมากที่สุดเท่าที่เคยได้รับในวัยเช่นนั้น  มันทำให้ฉันเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนโดนเฆี่ยนมากมายหลายเท่านัก

คราวนี้ฉันก็คงจะได้เหาะจริงๆเสียทีซีนะ ฉันหวังว่าฉันคงทำท่าได้สวยพอสมควร จะจบฉากกันทั้งทีก็ควรจะให้เป็นการจบที่น่าดูสักหน่อย นี่ถ้าฉันเกิดได้ลองเหาะดูตั้งแต่คราวนั้น มันจะเป็นอย่างไรนะ ฉันคงไม่ได้เสียใจมากนักหรอก เพราะจากบัดนั้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เห็นอะไรที่มีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่รอดมาสักอย่าง จริงอยู่ ฉันก้ได้สนุกสนานพอสมควรแหละในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่มันก็เท่านั้น ไม่ถึงกับจะเป็นความทรงจำที่วิเศษวิโสอะไร  พูดง่ายๆก็คือ มันเกือบจะไม่มีอะไรต่างกันเทียวละ

ฉันเริ่มส่ายตาหาที่เหมาะๆขณะที่ย่ำไป มีอาคารคอนกรีตสูงๆอยู่ถมเถ แต่รูปร่างที่เป็นแท่งสี่เหลี่ยมแข็งและหยาบของมันทำให้ดูไม่น่าจะใช้เป็นที่สำหรับกล่าวคำอำลาเลย นอกจากนั้น การจะหาทางขึ้นไปก็คงยากด้วย ดีไม่ดีเขาก็จะจับฉันไปโรงพักเสียด้วยซ้ำ  ให้ฉันตายอย่างโง่ๆเสียดีกว่าที่จะให้ตำรวจโง่ๆ จับไปโดยที่ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร

แล้วฉันก็นึกถึงสะพานขึ้นมาได้ สำหรับฉันสะพานดูเหมือนจะเป็นเครื่องหมายของการนำเราไปสู่ที่ใดที่หนึ่งซึ่งอาจเป็นจุดหมายหรือเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากไปสู่ และก็เป็นทั้งเครื่องเชื่อมโยงของสองสิ่งให้รวมเป็นสิ่งเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้มันคงจะได้ทำหน้าที่นำฉันไปสู่ความตายและเชื่อมโยงชีวิตฉันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอะไรสักอย่าง ซึ่งขณะนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ฉันเปลี่ยนเส้นทางเดินมุ่งตรงไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งฉันคุ้นเคยกับมันดี เป็นสะพานเก่าแก่ที่มีความยิ่งใหญ่และความสวยงามอยู่ไม่น้อย ฉันคิดว่ามันคงเป็นที่ที่ดีที่สุดที่จะหาได้ในเมืองอันน่าเกลียดเมืองนี้ ฉันเดินไป เดินไป  และก็ช่างประหลาดอะไรอย่างนั้น ใจฉันสงบมากกว่าที่เคยนึกไว้เสียอีก ฉันลืมความหิวไปแล้ว จะรู้สึกก็แต่ความอ่อนเพลียบ้างเท่านั้น ถนนที่ทอดไปสู่ความตายสายนี้ ดูช่างยาวและร้อนระอุเสียจริง จะหาร่มไม้บ้างไม่ได้เลย ฉันก็ได้แต่หวังว่าฉันคงได้ไปถึงจุดหมายเสียก่อนที่จะหมดแรงล้มลงเท่านั้น  มันคงจะน่าอับอายไม่น้อย ถ้าจะต้องมาเป็นลมล้มระหว่างที่เดินไปสู่ความตายอันยิ่งใหญ่กว่ากันมากนัก…

ช่างมีรถมากมายในถนนเสียนี่กระไร ก่อนนี้มนุษย์เราเคยภูมิอกภูมิใจกันนักที่สามารถสร้างรถมาไว้รับใช้ได้ เดี๋ยวนี้มันกลับกลายมาเป็นความจำเป็นจนดูไม่ออกแล้วว่ารถเป็นทาสของคนหรือคนเป็นทาสของรถกันแน่ ในเมืองซึ่งคนออกจะรีบร้อนกันมากอย่างกรุงเทพฯนี้ ฉันเชื่อว่าคงมีน้อยคนเต็มทีที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยรถยนต์ ฉันเองยังอยากนั่งรถยนต์ขึ้นมาตะหงิดๆเลย เพราะขาฉันก็เมื่อยเป็นเหมือนกัน แต่ที่ฉันนึกอยากขึ้นมาก็เพราะเห็นว่ามันออกจะมีที่ว่างอยู่ในรถยนต์ที่แล่นอยู่มากเกินไปหน่อยเท่านั้น ถ้าใครจะจับฉันไปยัดไว้ตรงส่วนไหนสักแห่งก็ไม่คิดว่าเขาจะต้องเสียผลประโยชน์อะไร  แต่ไม่มีทางหรอก  แม้ฉันจะไปพูดกับเขาตรงๆ ว่าขออาศัยขึ้นรถไปตายหน่อยเถิด คราวเดียวเท่านั้น เขาก็คงจะไม่ฟังกัน ไม่ใช่เพราะเขาจะไม่เชื่อว่าฉันจะตายคราวเดียวหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความนึกคิดหรือความเข้าใจอะไรเหลืออยู่ต่างหาก เขาก็เป็นเหมือนรถยนต์ที่เขาขับมานั่นแหละ เป็นอยู่และเคลื่อนไหวได้โดยอัตโนมัติเท่านั้น

ในที่สุดฉันก็ตะเกียกตะกายมาถึงจนได้ ภาพสะพานสีคล้ำที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ฉันนึกภาพของเพื่อนเก่าแก่ซึ่งไม่ได้พบกันมาเสียนมนานและทันใดความรู้สึกว้าเหว่ที่เกาะติดอยู่ในใจของฉันมาแต่ต้นก็พลันสูญหายไป ความอบอุ่นได้เข้ามาแทนที่ อย่างน้อยในขณะนี้ก็ยังมีสิ่งหนึ่งอยู่ในโลกที่รู้จักและให้ความไยดีต่อฉัน มันกำลังทักทายฉันอย่างปีติและร้องเรียกให้ฉันขึ้นไปหามัน  ใจฉันเต้นแรงและรู้สึกปีติไม่ผิดอะไรกับสะพานนั้น ฉันเร่งเท้าไปสู่ทางเดินที่ทอดไปสู่ตัวสะพาน ตะวันกำลังปรากฏอยู่ตรงหัวราวกับยินดีที่จะมาร่วมเป็นพยานด้วย ฉันยิ้มให้มันเพราะเกิดความรู้สึกขึ้นมาในขณะนั้นว่า นี่ก็น่าจะนับเป็นเพื่อนได้ด้วยเหมือนกัน อย่างน้อยมันก็อบอุ่น  แม้จะเป็นคนละชนิดกับความอบอุ่นที่เพื่อนให้ก็ตาม

ฉันเหลียวซ้ายแลขวา ช่างปลอดคนดีแท้ มีหญิงแก่ๆหาบตะกร้าเดินดุ่ยๆไปข้างหน้าคนเดียวเท่านั้น หาบอยู่นั่นแล้ว ทั้งตาปีตาชาติ บนถนนสายเก่า มีศัตรูอย่างเดียวคือตำรวจจราจร ไม่ต้องมีวันได้รู้รสอย่างอื่นกับเขาหรอก ขอให้มีความสุขในการหาบเถอะนะ ฉันขอลาก่อนละ

ฉันเริ่มเหนี่ยวโครงเหล็กของสะพานและโหนตัวขึ้นไป ฉันค่อยไต่อย่างระวังเพราะไม่อยากจะพลัดหล่นลงมาเสียก่อนที่จะได้ทำสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ คงจะต้องทุเรศสิ้นดี ถ้าจะต้องกลายเป็นคนพิการให้พวกเขาทำท่าเสแสร้งสมเพชกัน ยิ่งถ้าพวกแร้งข่าวรู้เข้าก็คงฉวยโอกาสเอาไปเขียนลงในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เป็นที่ครึกโครม เพื่อคนที่ซื้อไปจะมีอาหารปากเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง หนอยไม่มีอะไรทำหรืออย่างไรถึงต้องไปเที่ยวปีนสะพานให้ตกลงมาขาหักเล่น ให้ฉันไปตกนรกเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ฟังคำถากถางของพวกไม่มีหัวใจเหล่านี้

เกือบจะมาถึงส่วนที่สูงที่สุดแล้ว รออีกนิดเถอะ ขอให้ได้พักสักครู่หนึ่ง ไหนๆก็จะไปตายอยู่แล้ว  จะรีบร้อนไปถึงไหนกัน ทุกวันนี้มนุษย์เราก็แทบจะสอนให้เด็กเกิดใหม่หัดวิ่งกันแทนที่จะหัดเดินอยู่แล้ว เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปรีบร้อนให้เป็นบ้าเป็นหลังเหมือนพวกเขา ที่นี่เราไม่ต้องไปแย่งกับใคร ไม่ต้องแข่งขันกับสิ่งใด เรามีเวลาถมเถ นี่คงเป็นครั้งเดียวกระมังที่เราได้กลายเป็นนายของเวลาอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่ทาส

ฉันนั่งลงและมองลงไปเบื้องล่าง ผืนน้ำกระทบกับแดดระยิบระยับ งามราวกับเทพเจ้ามาช่วยประดิษฐ์ประดอยให้  สายน้ำไหลเอื่อยๆเหมือนกับจะเชิญชวน ลงมาเถิด  ชั่วครู่เดียวเท่านั้นแหละ แล้วเราก็จะนำท่านไปสู่นิรันดร์ เราจะโอบอุ้มท่านไว้ในเรา และกลบเกลื่อนสิ่งที่ท่านได้ทำในวันนี้ไว้จากมนุษย์ผู้โฉดเขลาทั้งมวล เราจะแตกกระจายเพื่อรับท่านไว้ชั่ววินาทีเดียว  จากนั้นเราก็จะไปตามทางของเราเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กวาดสายตาไปอีกที ฉันเห็นคนมุงกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขากำลังแหนหน้าขึ้นมามองดูอะไรกันนะ อ้อ มองฉันเองนั่นแหละ ทำไมเขาจะต้องมองฉันด้วย เขาเป็นเพื่อนฉันหรือ? ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาไม่ยิ้มกับฉัน พวกเขามองฉันเขม็งด้วยสายตากระหายใคร่ที่จะรู้ ใคร่ที่จะได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เขาคิดว่าน่าตื่นเต้นครั้งนี้ บางคนก็มองอย่างกึ่งหวาดๆ กึ่งฉงนฉงาย และเขาพากันยืนแข็งอยู่ตรงนั้น มีคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้าง เขาพูดกันเบาๆและน้อยคำ เพราะต่างก็ไม่อยากจะละสายตาไปจากภาพที่เขาอยากเห็น ไม่มีใครยิ้มหรือมีวี่แววเป็นมิตรเลย  ไม่มีใครแสดงความเห็นใจออกมา ไม่ว่าจะเป็นในแววตาหรือท่าทาง พวกเขาเป็นเพียงคนดูเท่านั้น คนดูที่บังเอิญได้บัตรฟรีเข้ามาดูการแสดงอันหนึ่ง ซึ่งเขาไม่เคยได้มีโอกาสดูกันมาก่อน ฉันรู้สึกเหมือนว่าพวกเขามีท่าทางตื่นเต้น และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะได้ดูเสียยิ่งนัก

ใครคนหนึ่งกำลังวิ่งขึ้นมา เขาถืออะไรอยู่ในมือด้วย อ๋อ กล้องถ่ายรูปนั่นเอง คงเป็นพวกตากล้องหนังสือพิมพ์ หรือไม่ก็ช่างถ่ายรูปธรรมดา เขาวิ่งกระหืดกระหอบ เพราะกลัวว่าจะมาไม่ทันตอนที่ฉันกระโดดลงไป ดูเขามีท่าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าฉันยังไม่ได้ทำลายโอกาสทองของเขา เขาจัดแจงเตรียมกล้องลุกลี้ลุกลน และฉันเห็นแววหิวกระหายในดวงตาแวบหนึ่ง ฉันคงเป็นเหยื่อชิ้นสำคัญที่เขาไม่ได้เคยพบมาเสียนมนานทีเดียว รูปถ่ายของฉันตอนที่กระโดดลงไปคงจะทำให้เขาเด่นขึ้นมาในวงงานที่เขาทำอยู่ไม่น้อย มันคงจะหมายถึงเงินสักก้อนหนึ่งซึ่งคงจะพอให้เขาเอาไปซื้อเหล้าและผู้หญิงดื่มกินได้เท่าที่เขาปรารถนา ทั้งมันอาจจะหมายถึงรางวัลที่เขาจะได้ในการประกวดภาพถ่ายที่ไหนสักแห่งด้วยซ้ำ แถมด้วยคำสรรเสริญเยินยอชนิดชวนอ้วก เช่นนี้คือภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงการดิ้นรนของมนุษยชาติ หนังสือพิมพ์ที่ซื้อรูปถ่ายนี้ไปจะขายดีขึ้น ผู้คนจะพากันชี้ให้ดูรูปขยายใหญ่เกือบครึ่งหน้า พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน บางคนก็คงถุยน้ำลายหัวเราะเยาะและด่าว่าฉันเป็นไอ้งั่ง

อีกคนที่กำลังเดินขึ้นมาเป็นพ่อค้าหาบเร่ ในยามปกติแล้วชีวิตของเขาจะเต็มไปด้วยความรีบร้อนอยู่เสมอ  เขาไม่เคยได้หยุดดูโน่นดูนี่ เนื่องจากเขาตีราคาของเวลาไว้เป็นเงินเป็นทองหมดแล้ว แต่วันนี้เขาหยุด มีเหตุการณ์พิเศษที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก และเขาคิดบวกลบคูณหารในใจแล้วว่า มันคงคุ้มที่จะได้หยุดสักประเดี๋ยวประด๋าวดูคนโดดน้ำตายเล่น ไม่มีใครที่จะมาโดดน้ำตายให้เห็นกันบ่อยๆ ดังนั้นเขาคงเก็บเรื่องนี้ไปคุยได้อีกนาน ไม่มีอะไรจะทำให้คนเราเขื่องได้เท่ากับการได้รู้ได้เห็นสิ่งที่คนอื่นๆเขาไม่รู้กัน อาจจะเก็บไว้คุยได้ชั่วชีวิตเลยก็ได้

เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินมาหยุดอยู่เหมือนกัน วัยของเขาเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น ไม่มีอะไรที่ต้องไปโทษเขา สังคมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นคนรักสนุกมากเกินกว่าจะรู้จักความเมตตา และทำให้เขาขาดความเป็นมนุษย์ในหัวใจตั้งแต่เล็ก เขาพากันเบิ่งมองมาที่ฉัน ท่าทางไม่ยินดียินร้าย เขาคงอยากให้ฉันโดดลงมาเร็วๆ เพราะเลือดในกายของพวกเขามันร้อน เด็กหนอเด็ก ฉันอาจให้อภัยเธอ แต่ฉันคงไม่อาจอภัยให้สังคมของเธอได้เป็นอันขาด

พระหนุ่มสองรูปที่ยืนอยู่ตรงนั้น พอมีท่าทางสำรวมกว่าคนอื่น แต่ฉันรู้สึกว่าดวงตาของท่านไม่ได้สำรวมด้วย มันฉายแววกระหายใคร่รู้เหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ในขณะนั้นท่านอาจจะลืมตัวไปแล้วก็ได้ว่าท่านเป็นอะไรอยู่ ท่านคงเป็นคนอยากรู้อยากเห็นธรรมดา เหมือนกับคนอื่นเท่านั้น

มีผู้หญิงสาวๆอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเหมือนกัน ใครว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอและสงบเสงี่ยม หล่อนก็มีความอยากรู้อยากเห็นไม่แพ้ใครเหมือนกันนั่นแหละ  บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ค่าที่ในหัวใจของพวกเจ้าหล่อนนั้นล้วนเต็มไปด้วยนิยายโรแมนติกราคาถูก ที่หล่อนได้มาจากหนังสือรายสัปดาห์หรือไม่ก็จากละครวิทยุ หล่อนคงวาดภาพฉันเป็นชายหนุ่มผุ้ถูกหญิงคนรักทอดทิ้งไป หรืออะไรทำนองนั้น บางทีพวกหล่อนคงจะได้ฝันไปไกลเสียกว่าที่ฉันจะนึกด้วยซ้ำกระมัง

ตำรวจยศนายสิบนายหนึ่งก็มาถึง เขายืนเก้ๆกังๆแล้วก็ยักไหล่แบะมือกับกลุ่มคนเหล่านั้น คล้ายกับบอกว่าไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้แล้วนี่ แต่แล้วก็มีเสียงเชียร์ให้เข้าปีนตามขึ้นมา พวกเขาคงไม่ถึงกับอยากช่วยชีวิตฉันมากไปกว่าอยากดูละครอีกฉากหนึ่งเท่านั้น ตำรวจผู้นั้นทำท่าลังเล เขาออกจะอ้วนเกินกว่าจะเป็นตำรวจในอุดมคติไปสักหน่อยและในชีวิตเขา เขาอาจจะไม่เคยปีนสะพานมาก่อนเลยก็ได้ เขาอาจจะมีเมียและลูกอีกห้าคนที่บ้าน เขาไม่อาจเสี่ยงกับการตกลงไปคอหักได้ เฉพาะภาระที่เขาต้องดูแลตัวเองและลูกเมียนั้นมันก็มากเกินกว่าที่จะไปดูแลชาวบ้านอื่นได้อีกแล้ว  เขามาเป็นตำรวจก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านั้น เขาลังเลอยู่ได้เพียงพักหนึ่ง แต่เขาก็ไม่อาจที่จะลังเลอยู่ตลอดกาลได้ เครื่องแบบบังคับให้เขาต้องทำหน้าที่ของเขา ฉันเชื่อว่าขณะนั้นเขาคงแทบอยากจะถอดมันทิ้งลงไปเลยทีเดียว หากเขาสามารถทำได้ เขาคงกำลังแช่งชักตัวเองที่ต้องบังเอิญเดินผ่านมาบริเวณนี้ ทำไมฉันจึงไม่กระโดดให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียทีนะ เรื่องมันก็คงง่ายขึ้นเยอะ เขาคงเพียงแต่ไปแจ้งความ แล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่ต่อไปเท่านั้น

ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบอยากอาเจียนขึ้นมาในทันทีทันใด คนพวกนี้เป็นใครกัน ไม่ใช่เพื่อนร่วมโลกดอกหรือ แม้กระนั้นเขาก็กระหายที่จะได้เห็นความตายของฉัน เขาไม่มีน้ำใจแม้แต่จะปล่อยให้ฉันตายอย่างสงบ เขาตามมาเอารัดเอาเปรียบ แม้จากการได้สนุกกับความตายของฉัน หลายคนคงจะกลับไปด้วยความอิ่มใจว่าวันนี้เขาโชคดีไม่น้อยที่บังเอิญเดินผ่านมาทางนี้ และได้เห็นเหตุการณ์พิเศษ หลายคนคงจะเรียกสิ่งที่เขาเห็นนี้ว่า “ประสบการณ์” เพื่อที่เขาไปคุยกับใครต่อใครได้ว่า เคยมีประสบการณ์มาเยอะแล้ว คนที่ตั้งใจจะเป็นนักเขียนก็คงนับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นวัตถุดิบชิ้นใหญ่ของเขา เขาคงเอามันไปผลิตเป็นเรื่องสั้นได้ไม่ต่ำกว่า 7-8 หน้า  บางทีอาจจะเป็นเรื่องยาวหลายสิบตอนจบด้วยซ้ำ ช่างภาพผู้นั้นก็คงเปรมไปในวันรุ่งขึ้น เขาคงเมาเหมือนหมาและฟุ้งน้ำลายแตกฟอง พ่อค้านั่นก็คงพอใจที่เขาไม่ต้องขาดทุนหยุดยืนรอดูเก้อ เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นก็คงสาแก่ใจที่อุตส่าห์คอยมา และคงมีเรื่องเล่าให้เพื่อนฝูงฟังไม่รู้จบสิ้น หญิงสาวเหล่านั้นก็คงจะเก็บไปแต่งเติมเสริมความเล่าให้คู่รักฟังไม่จบอีกเหมือนกัน และตำรวจนายนั้นก็คงจะโล่งอกยิ่งกว่าใคร เขาได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ช่วยไม่ได้นี่ เขาได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะคอยพิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ราษฎรผู้นี้ไม่ต้องการให้พิทักษ์เอง ช่วยไม่ได้ ภายใต้ดวงตะวันนี้ก็คงไม่มีใครที่ไหนจะช่วยได้เหมือนกัน

แล้วความคิดอันใหม่ก็แวบเข้ามาสู่สมองของฉันราวกับได้ค้นพบสัจธรรมข้อใหม่ ฉันควรจะได้แก้แค้นคนเหล่านี้บ้าง ฉันไม่ควรจะยอมเป็นเครื่องมือของเขา ฉันจะไม่ยอมให้มนุษย์เครื่องจักรเหล่านี้ได้รับการตอบสนองอารมณ์อยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเป็นอันขาด  ฉันต้องทำให้เขาผิดหวัง เพราะพวกเขาไม่มีความสมควรอันใดที่จะได้รับความพอใจอันนั้น ทั้งไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะตามมาเอาเปรียบฉันแม้แต่ในเวลานี้ ฉันยอมให้เขามามากแล้ว แต่กับสิ่งนี้ฉันยอมไม่ได้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของฉัน  เป็นตอนจบซึ่งฉันน่าจะมีส่วนชื่นชมคนเดียว  เพราะมันเป็นชีวิตของฉัน ฉันคงจะไม่มีทางได้ตายอย่างสงบ และคงจะเก็บความรู้สึกขยะแขยงนี้ติดตัวไปจนถึงปรโลก หากต้องกลายมาเป็นผู้แสดงให้พวกเขาดูเปล่าๆ ฉันไม่ชอบงานกุศล เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่างานลวงโลกที่ไหนก็เป็นงานกุศลด้วยกันทั้งนั้น ฉันมองเห็นขึ้นมาในทันทีทันใดว่าฉันมีเหตุผลสมควรจะอยู่ต่อไปแล้ว ฉันต้องอยู่เพื่อทำให้พวกเขาได้รู้จักความผิดหวังและเสียใจกันบ้าง ฉันควรจะได้ให้บทเรียนแก่เขา เผื่อบางทีเขาจะได้สำนึกถึงส่วนแห่งความเป็นมนุษย์ในหัวใจซึ่งเขาละเลยไปได้บ้าง

ฉันจึงเริ่มปีนกลับลงมาข้างล่าง เมื่อลงมาได้หน่อยหนึ่ง ฉันหยุดพักสังเกตปฏิกิริยาของคนเหล่านั้น ฉันเห็นตำรวจผู้กำลังปีนขึ้นด้วยความทุลักทุเลและพยายามถ่วงเวลาอย่างเต็มที่คนนั้นถอนหายใจ  เขาไม่ได้ยินดีนักหรอกที่ฉันรอดชีวิตมาได้ เพราะถึงถ้าฉันกระโดดลงไปมันก็เกือบจะไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับเขา สิ่งที่มีความหมายสำหรับคนแต่ละคนมีอยู่เพียงอย่างเดียว และสำหรับเขาก็คือว่า เขาอาจจะต้องพลัดตกลงไปขณะใดขณะหนึ่งก็ได้   หากต้องปีนขึ้นไปสูงกว่านี้ ฉันเห็นพ่อค้าผู้นั้นสบถและถุยน้ำลาย ฉวยหาบก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะเขาคิดว่าเขาขาดทุน เขาคงนึกถึงฉันในฐานะผู้ที่หลอกลวงให้เขาต้องเสียเวลาอันมีค่านั้นไปทีเดียว พระสองรูปก็ผละเดินไป  ท่านคงเพิ่งนึกได้ถึงความไม่สมควรที่จะต้องพลอยมายืนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ และคงนึกละอายขึ้นมาในฉับพลัน  หญิงสาวกลุ่มนั้นเริ่มก้าวเท้าเดินทางต่ออย่างไม่แยแส  หล่อนมีเรื่องเหลวไหลที่จะต้องทำมากมายในวันหนึ่งๆ และหล่อนคงรู้สึกผิดหวังไม่ผิดอะไรกับเวลาที่นิยายโรแมนติคไม่ได้จบลงอย่างที่คาดไว้ เด็กนักเรียนบางคนทำท่าอยากดูต่อแต่เวลาไม่อนุญาตให้เขา  เวลาบอกเขาว่าเขาจะต้องไปเรียนเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง เฉพาะในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กับครูผู้มีประกาศนียบัตรรับรองเท่านั้น เขาไม่อาจเรียนรู้จากที่อื่นได้

ฉันคร้านที่จะมองดูพวกเขาอีกต่อไป และเกิดความรู้สึกอยากจะลงไปให้ถึงข้างล่างโดยเร็วที่สุด ฉันชักไม่แน่ใจอะไรต่ออะไรขึ้นมาอีกแล้ว ในขณะนี้คนคงทยอยกลับกันเรื่อยๆ พวกเขาเสียเวลากันมานานเกินไปแล้ว เดี๋ยวนี้ราคาของเวลาขึ้นสูงกว่าแต่ก่อนมาก การหยุดยืนดูอะไรที่ไม่ได้สตินานเกินไปนั้นอาจจะถือเป็นความฟุ่มเฟือยก็ได้ พวกเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรที่ฟุ่มเฟือยได้บ่อยๆ เพราะทุกวันนี้รัฐบาลและเอกชนก็พยายามจัดหาสิ่งฟุ่มเฟือยมาล่อใจพวกเขามากพออยู่แล้ว

ฉันลงมาถึงข้างล่างโดยเรียบร้อย  มันก็แปลกอยู่เหมือนกันที่ทุกอย่างกลับจบลงด้วยความเรียบร้อย และทัศนคติของฉันกลับเปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง บางทีฉันอาจจะได้ฆ่าตัวตนเก่าทิ้งไปแล้วก็ได้   ใครจะรู้ ที่สะพานมีคนเหลืออยู่อีกไม่มากนัก  ส่วนใหญ่ก็คงเป็นพวกไม่มีงานทำและพวกเด็กๆ ตำรวจผู้นั้นยืนจ้องอยู่ห่างๆ เพราะยังนึกไม่ออกว่าจะจัดการกับฉันอย่างไรดี เขาไม่แน่ใจว่าฉันทำผิดกฏหมายข้อไหนหรือไม่ ตอนที่เขาเดินเข้ามาหาฉันนั้น ฉันนึกถึงความหิวโหยได้อีกครั้งหนึ่ง ฉันจึงพูดกับเขาก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปากอะไร  “มีเงินพอจะเลี้ยงข้าวผมสักมื้อไหมล่ะจ่า”

คำพูดที่ไม่เข้าท่าแค่นี้เองที่ช่วยทำให้การตัดสินใจของเขาดีขึ้น  เขาหยุดกึก สั่นหน้าแหยๆ แล้วก็หันหลังเดินกลับไป เขาเชื่อในทันทีว่าฉันไม่ได้ทำผิดกฏหมายข้อใดเลย และไม่มีอะไรที่เขาจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกแล้ว

ที่มา thaitribune




Create Date : 22 พฤษภาคม 2559
Last Update : 22 พฤษภาคม 2559 13:57:15 น. 0 comments
Counter : 467 Pageviews.

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.