นายกฯไม่สบายใจกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ-ให้ทักษิณกลับมาสู้คดีและวลีที่ว่ายิ่งถ่อม ยิ่งถูกถีบ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ไม่สบายใจที่สำนักข่าวเอพีรายงานกรณีโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเรียกร้องให้คส.จำกัดอำนาจของทหารหลังมีคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2559 เหตุเพราะกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐไม่ได้แสดงความเห็นครั้งแรก รัฐบาลเองรวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็อธิบายความมาแล้วหลายครั้ง เหมือนกับพยายามไม่เข้าใจว่าข้อเท็จจริงคืออะไร เป็นการเรียกร้องที่สวนทางกับความเป็นจริง เพราะสถานการณ์ของประเทศไทยปัจจุบันไม่ได้อยู่ในช่วงปกติ รัฐบาลและคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการ ทำความสะอาดบ้านของตัวเอง ซึ่งไม่สามารถทำได้ในช่วงที่นักการเมืองบริหารราชการอยู่ ประเด็นสำคัญก็คืออำนาจการปกครองประเทศอยู่ในกลุ่มคสช.จะเรียกว่าเป็นอำนาจเผด็จการก็ใช่ แต่รัฐบาลยุคปัจจุบันต้องการเข้ามากวาดล้างสิ่งสกปรกที่มีมาตั้งแต่อดีตให้ใสสะอาด สิ่งสกปรกในอดีตอาทิเช่นปล่อยปละละเลยเรื่องการคอร์รัปชั่นไม่เฉพาะในยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องคดีหลายคดีในการฉ้อโกงประเทศชาติ แต่ล่าสุดรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็มีปัญหาเรื่องนโยบายรับซื้อข้าวเปลือกทุกเมล็ดจนนำไปสู่การทุจริตที่ต้องขึ้นศาลต่อสู้คดี,การกวาดล้างกลุ่มอิทธิพลหรือมาเฟียที่สั่งสมกันเรื่อยมาจำเป็นต้องใช้อำนาจทหารเข้าไปจัดการ เพราะหลายครั้งที่ผ่านมา ทั้งตำรวจ,ฝ่ายปกครองและทหารจะเข้าจับกุมกลับมี ข่าวรั่วทำให้การทำงานไม่ประสบผลสำเร็จ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงเพิ่มเติมในทำนองว่าอยากให้กระทรวงการต่างประเทศและสื่อมวลชนเข้าใจว่าต้นเหตุนั้นเกิดจากนักโทษหนีคดีที่ต้องคำพิพากษาศาลแล้วหลบหนีคดีออกไป (นายทักษิณ ชินวัตร) จากนั้นก็สั่งการเข้ามายังกลุ่มนปช.,กลุ่มนักศึกษา,กลุ่มต่อต้านสถาบันซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ามีความเกี่ยวพันกันอาทิเช่นการใช้อาวุธสงคราม,การเผาบ้านเผาเมือง รวมทั้งขอให้สื่อมวลชนช่วยกันสื่อสารออกไปบ้างว่า ให้นักโทษหนีคดีกลับมาต่อสู้คดีในประเทศ ไม่นำเสนอแต่เพียงเรื่องข้อเรียกร้องของกลุ่มการเมือง,นปช.หรือ ล็อบบี้ยิสต์ เพราะหากยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ แม้จะอ้างว่าตนเองทำถูกต้อง 1 คดี แต่คดีอื่นๆอีกเป็นสิบ จะว่าอย่างไร ? รวมทั้งไม่ใช้ประเทศอื่นเป็นเวทีให้ร้ายบ้านเกิดเมืองนอนของตนอย่างไม่ไยดี เราเห็นด้วยกับถ้อยแถลงของโฆษกรัฐบาลไทยว่ารัฐบาลได้ชี้แจงขั้นตอนต่างๆไปมากแล้ว แต่ไม่มีใครยินดีรับฟัง สาเหตุเพราะสหรัฐรังเกียจรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มักจะอ้างว่ามาจากการทำรัฐประหาร โดยไม่ได้มองลึกลงไปว่าก่อนจะเกิดรัฐประหารในประเทศไทยนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างกับประเทศ หรือมองเห็น แต่กลับเสแสร้งกดดันไทยตามที่สหรัฐต้องการ เรื่องนี้เมื่อนายเกลน ที.เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐเข้ามารับตำแหน่งก็ออกมาวิจารณ์กฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ จะบอกว่าคนระดับเอกอัครราชทูตไม่รู้เป็นไปไม่ได้ เราจึงเห็นว่าเป็นการจงใจหรือพูดภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่ากวนโอ๊ยเสียละมากกว่า ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษชนในประเทศไทยนั้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2559 นายโทนี คาร์ตาลุซซี นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่อยู่กรุงเทพฯเขียนบทวิเคราะห์เรื่อง สหรัฐมี 2 มาตรฐานเรื่องสิทธิมนุษยชน: ศึกษากรณีไทยกับซาอุดิ อาระเบีย (U.S. Double Standards Human Rights: Thailand vs. Saudi Arabia) โดยระบุว่าเป็นความตั้งใจของประเทศตะวันตกและสหรัฐที่ออกมาเสแสร้งเรื่องการใช้แรงงานของไทยในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมกุ้ง สหรัฐและตะวันตกไม่สนใจการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซาอุดิ อาระเบียแต่กลับมากดดันไทย ทั้งๆที่รัฐบาลไทยก็กำลังแก้ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่ ทั้งนี้ปัญหาสิทธิมนุษยชนมีมานานนับตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตามเหตุที่ตะวันตกและสหรัฐไม่กดดันในช่วงนั้นเป็นเพราะพวกเขายอมรับรัฐบาลทักษิณ นายคาร์ตาลุซซีชี้ว่า เมื่อเทียบระหว่างไทยกับประเทศซาอุดิ อาระเบียแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว ประเทศตะวันตกและสหรัฐกลับสั่งนำเข้าน้ำมันจากซาอุดิ อาระเบีย ประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายกาจในโลกใบนี้ กล่าวคือศัตรูของประเทศจะถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะประจานกลางที่สาธารณะรวมทั้งรัฐบาลซาอุฯก็ไม่เคยมีประชาธิไตย,ประเทศตะวันตกไม่ได้ใส่ใจเรื่องการตัดศีรษะคนในซาอุฯมาหลายทศวรรษกลับช่วยปกปิดไว้อีกต่างหาก ไม่เหมือนประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา กลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชน ทั้งๆที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมีมานาน สหรัฐฯเองไม่เห็นพูดถึง จึงถือได้ว่าสหรัฐสนับสนุนการกระทำเหล่านี้มาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหารปี 2014 เราเห็นว่ารัฐบาลคสช.ควรจะทำหน้าที่ของตนไปตามโรดแม็ปที่ได้วางไว้ ใครทำผิดกฎหมายก็ใช้กระบวนการยุติธรรมเข้าดำเนินการ กระทรวงการต่างประเทศก็ควรทำหน้าที่ตอบโต้กลับไปบ้าง เพื่อว่าจะช่วยให้พวกเขาชะงัก ยกตัวอย่างว่าหากรัฐบาลไม่ดีแล้วทำไมนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯจึงเชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไปร่วมประชุมถึง 2 ครั้งทั้งที่รัฐแคลิฟอร์เนียเรื่องอาเซียนและเมื่อเร็วๆนี้ที่วอชิงตันดีซี.ก็เรื่องพลังงานนิวเคลียร์ บอกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐไปด้วยว่าจะแถลงอะไรก็ควรศึกษาความสัมพันธ์ไว้บ้าง อย่าให้เจ็บช้ำน้ำใจกันนัก การทำหนังสือติติงไปเราเชื่อว่าสหรัฐคงกำหนดท่าทีของตัวเองใหม่เช่นกัน ถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่จะใช้ความคิดช่วยเหลือประเทศชาติ อย่าไปหงอควรยึดหลักประการหนึ่งว่า ยิ่งถ่อม ยิ่งถูกถีบ แล้วกระทรวงการต่างประเทศจะไปถ่อมตัวทำไม ที่มา thaitribune
Create Date : 07 เมษายน 2559 |
Last Update : 7 เมษายน 2559 12:08:05 น. |
|
0 comments
|
Counter : 307 Pageviews. |
|
|