กกต.เตือนลงคะแนนประชามติอย่าเซลฟี่ในหน่วยทั้งกับตัวเองและบัตรเลือกตั้งเผยผิดกฎหมายมีสิทธิ์ถูกจับ



กกต.เตือนเซลฟี่หรือถ่ายรูปตัวเองในหน่วยลงคะแนนเสียงประชามติ 7 สิงหาคม เข้าข่ายผิดกฎหมายถูกจับกุมได้ ไม่ว่าจะถ่ายตัวเองในคูหาหรือถ่ายภาพบัตรออกเสียงผิดหมด ดร.ประวิชมั่นใจการออกเสียงประชามติปีนี้ต้องมากกว่าปี 2550 ที่ออกเสียง 57 % อดีตส.ส.รังสิมา รอดรัศมี กระอักกระอ่วนใจเพราะเป็นทั้งปชป.และกปปส.ไม่รู้จะไปทางไหนดี

 

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม  บรรยายเรื่องเส้นทางสู่การออกเสียงประชามติ (On the road to referendum) ให้กับนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง ที่สำนักงานกกต. ตอนหนึ่งระบุว่า ที่กกต.ไม่ได้จัดส่งร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปทุกครัวเรือนผู้มีสิทธิออกเสียงทุกคน นอกจากกฎหมายกำหนดแล้ว ยังเป็นเพราะปัจจุบันมีช่องทางของโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้  

นอกจากนี้กกต.ได้จัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอักษรเบรลล์ เพื่อให้ความรู้กับผู้มีสิทธิออกเสียงเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้พิการทางสายตา  มีการจัดพิมพ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในหนังสือพิมพ์ การใช้พลเมืองจิตอาสาลงไปเชิญชวน การร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการที่ให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงพ่อเแม่ให้ไปใช้สิทธิออกเสียงในวันที่ 7 สิงหาคม

จึงถือว่าช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันออกเสียงการณรงค์เชิญชวนดังกล่าวค่อนข้างได้รับการตอบสนองดีมาก จนทำให้มั่นใจว่าการออกเสียงประชามติครั้งนี้จะมีผู้ใช้สิทธิมากกว่าการออกเสียงประชามติเมื่อปี 2550 ที่มีผู้มาใช้สิทธิร้อยละ 57 อย่างไรก็ตามกกต.ได้ตั้งเป้าหมายให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิครั้งนี้ไว้ที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80  ซึ่งก็จะพยายามรณรงค์เชิญชวนประชาชนไปให้สิทธิให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  

“อยากฝากเตือนไปยังผู้มีสิทธิออกเสียงระมัดระวังการเซลฟี่ที่เป็นที่นิยมของประชาชนในขณะนี้ภายในหน่วยออกเสียง เพราะถือว่าผิดกฎหมาย แต่สามารถบันทึกภาพนอกหน่วยออกเสียงได้”นายประวิชกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการอบรมนายประวิช ยังเปิดให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็นซึ่งนักศึกษาสอบถามว่า กกต.มีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่มีการโกงประชามติเกิดขึ้น นายประวิชยืนยันว่า ทุกขั้นตอนทั้งการพิมพ์บัตร การตั้งกรรมการประจำหน่วย กกต.ยังยึดมาตรฐานเหมือนที่ได้ดำเนินการมาแล้ว รวมทั้งครั้งนี้เป็นการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะมีการแข่งขันกันของพรรคการเมืองผู้สมัคร จึงเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น

ทางด้านน.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกกปปส. แสดงความคิดเห็นโดยระบุว่า ขณะนี้หนักใจมาก ไม่ได้หลับไม่นอน เพราะมีประชาชนโทรศัพท์มาถามอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหัวหน้าพรรคก็บอกว่าไม่รับ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส. กลับบอกให้รับร่าง จึงต้องปิดเครื่องหนี  

น.ส.รังสิมากล่าวว่าตนสวมหมวกสองใบ เป็นทั้งสมาชิกพรรค และกปปส. จึงอยากให้คสช. ใช้มาตรา 44 ยกเลิกประชามติไปเลย เพราะไม่รู้จะเสียเงิน 3 พันล้านไปทำไม ประชามติแล้วได้ผลมาก็มีปัญหาอีกไม่จบ คสช.น่าจะใช้มาตรา 44 ยกเลิก แล้วใช้มาตรา 44 หาแนวคิดใหม่ที่ทำอย่างไรจะให้ประชาชนยอมรับได้ เช่นเชิญนักการเมืองเมื่อปี54 มา แล้วตั้งคนจากหลายกลุ่ม ให้มาถกเถียงหาวิธีการกันให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน

ต่อมานายประวิช ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการจัดเวทีถกเถียงความคิดเห็นร่างรัฐธรรมนูญในต่างจังหวัด ว่า ขณะนี้ไม่มีรายงานว่ามีการติดขัดปัญหาอะไร การจัดเวทีฯต้องดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 3 ิงหาคมและเห็นว่า ขณะนี้สื่อหลายช่องทางเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้น จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของประชาชน

ส่วนที่ฝ่ายการเมืองออกมาแสดงจุดยืนรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็สามารถทำได้  เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล เพียงแต่ต้องระมัดระวังว่าต้องอยู่บนข้อเท็จจริง เพราะปัจจุบันมีสื่อออนไลน์ที่สามารถย้อนกลับมาดูได้ตลอด

นายประวิชเห็นว่าการแสดงความเห็นของฝ่ายการเมืองก็ไม่ได้มีผลต่อการออกมาใช้สิทธิของประชาชนให้มากขึ้นหรือน้อยลง เพราะประชาชนก็มีความตระหนักที่จะตัดสินใจได้เอง

นายประวิช ยังกล่าวถึงกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่ามีการส่งข้อความชี้นำให้รับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีเนื้อหาบิดเบือนทางโซเชียลมีเดีย ว่า ส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ แต่พ.ร.บ.ประชามติมีโทษทางอาญา ใครที่พบเห็นการกระทำผิดสามารถไปแจ้งความร้องทุกข์ได้  การแสดงความคิดเห็นสามารถทำได้แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง  

ทั้งนี้อยากเตือนประชาชนที่จะไปใช้สิทธิออกเสียงว่า ในวันออกเสียง เมื่อรับบัตรออกเสียงและทำเครื่องหมายกากบาทในบัตรออกเสียงแล้ว อย่านำโทรศัพท์มือถือที่พกติดตัวเข้าไปถ่ายภาพการลงคะแนนของตนเอง หรือที่เรียก"เซลฟี่"(selfie) รวมทั้งภาพภายในหน่วยเสียงเพราะเข้าข่ายผิดกฎหมาย  รวมทั้งการออกเสียงครั้งนี้ใช้งบประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ใช้บุคคลากรในการดำเนินการกว่า 1 ล้านคน จึงอยากให้ผู้มีสิทธิทุกคนออกมาใช้สิทธิ จะรับหรือไม่รับไม่เป็นปัญหา แต่การมาใช้สิทธิจะเป็นการยืนยันว่าเราต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยยั่งยืนในบ้านเราต่อไปในอนาคต

สำหรับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญกำหนดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2559 ระหว่างเวลา 08.00-16.00 น. โดยกกต.จะส่งสมุดเชิญชวนรวมทั้งบุคคลที่มีสิทธิ์ออกเสียงและให้ไปลงคะแนนประชามติ ได้ที่ใด

เซลฟี่ หรือ A selfie

หมายถึงการภ่ายภาพตัวเองโดยใช้กล้องดิจิตอลหรือกล้องจากโทรศัพท์มือถือด้วยการใช้มือยื่นกล้องออกไปแล้วถ่ายภาพตัวเอง บางครั้งก็มีเหล็กยาวจับกล้อง(selfie stick)ยื่นห่างตัวเพื่อจะทำให้เห็นภาพกว้างรอบๆเช่นการถ่ายภาพหมู่ 5-6 คน เป็นต้น  ภายหลังจากเซลฟี่แล้วก็จะนำภาพของตัวเองที่ถ่ายส่งออกไปแชร์ในสังคมอนไลน์ อาทิ เฟซบุ๊ก,อินสตาแกรมและทวิตเตอร์ เป็นต้น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2559 16:18:25 น.
Counter : 256 Pageviews.  

25.การเลือกตั้งประธานาธิบดี : ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตและเป็นการต่อสู



การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐยกแรกจบลงทั้ง 2 พรรค กล่าวคือพรรครีพับลิกันได้นายดอนัลด์ ทรัมพ์ มหาเศรษฐีจากนิวยอร์กเป็นตัวแทนพรรค ขณะที่พรรคเดโมแครตได้ ฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ,อดีตวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก,อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้แทนพรรคลงชิงชัยกันตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง ( Election Day) ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นวันอังคารที่ 2 ของปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2016

ฉบับนี้ขอนำวันที่ถูกกำหนดไว้มากล่าวนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ  ที่น่าสนใจก็คือประวัติศาสตร์เกิดขึ้นและจะจารึกไว้อีก 2 ประการ  หลังจากเมื่อปี 2008 ประวัติศาสตร์จารึกไว้เมื่อนายบารัค โอบามา คนผิวสีหรือสมัยใหม่เรียกว่า African – American เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

ทั้งนี้ความเป็นคนผิวดำก้าวเข้ามามีส่วนรวมทางสังคมและการเมืองในสหรัฐ นับตั้งแต่ดร.มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนสหรัฐประกาศวลีอมตะไว้ว่า “ข้าพเจ้ามีความฝัน” (I Have a Dream) เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 1963 ในระหว่างเดินขบวนไปที่วอชิงตันว่าด้วยงานและเสรีภาพ พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกเรื่องรังเกียจผิว,ให้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางเศรษฐกิจ (แก่คนผิวดำ)

ประวัติศาสตร์จารึก ประการแรกคือนับเป็นครั้งแรกที่การเมืองสหรัฐได้เลือกสตรี นางฮิลลารี คลินตัน เป็นผู้แทนพรรคใหญ่ (พรรคเดโมแครต)ลงชิงชัยประธานาธิบดีสหรัฐ  ประการที่ 2 ทั้งนางฮิลลารีและนายดอนัลด์ ทรัมพ์ ถือว่าเป็นคนมาจากรัฐเดียวกันคือฐานเสียงอยู่นิวยอร์กทั้งคู่   แม้ว่าฮิลลารีจะเกิดที่ชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ ก็ตาม แต่หลังจากพ้นตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลข 1 จากทำเนียบขาวที่วอชิงตันดีซี.เธอและครอบครัวไปปักหลักที่เมืองชัพพาคัว (Chappaqua) ตั้งอยู่ทางเหนือของนิวยอร์ก ซิตี้ จากนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกจนได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2000 และก็ถือเป็นประวัติศาสตร์อีกที่เธอเป็นวุฒิสมาชิกสตรีคนแรกของรัฐนิวยอร์ก 

ส่วนนายดอนัลด์ ทรัมพ์ เป็นชาวนิวยอร์ก ซิตี้โดยกำเนิด ไม่มีประวัติการทำงานให้กับรัฐหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใดๆ เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามรอยบิดา จากนั้นก็ชอบจัดการประกวดนางงามและมาทำรายการทีวี เป็นต้น จนกระทั่งประกาศตัวลงสมัครเป็นผู้แทนพรรคเข้าชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคสมใจอยาก มาดูกันต่อไปว่าเขาจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ เพราะยุคสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เช่นสหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป(Brexit)ก็เห็นๆกันอยู่

คำว่านิวยอร์กขอให้ทำความเข้าใจว่าเป็นทั้งชื่อรัฐที่ประกอบด้วยหลายเมืองเช่นเมืองบัฟฟาโล,โรเชสเตอร์,ยองเกอร์ส,ซีราคิวส์ โดยรัฐนี้เมืองหลวงอยู่ที่อัลบานี (Albany) ที่กล่าวมาเป็นเมืองใหญ่มีประชากรมากอยู่ในรัฐนิวยอร์ก  ส่วนนครนิวยอร์กที่โด่งดังไปทั่วโลกหมายถึง New York City  เป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลกเช่น Wall Street,ศูนย์กลางการค้า,ศูนย์กลางข่าวสาร-สื่อ-วัฒนธรรม-บันเทิง,แฟชั่นและอื่นๆ

การลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2016 นี้ยังมีอีก 2 คนเรียกว่ามาจากพรรคที่ 3 ประกอบด้วยนายแกรี จอห์นสัน อดีตผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก ลงในนามพรรคเสรีนิยม ( Libertarian Party)และดร.จิลล์ สไตน์ ในนามพรรคกรีน ทั้ง 2 คนเคยมีประสบการณ์ลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมาแล้วเมื่อปี 2012    

ฮิลลารีบอกว่าทรัมพ์ไม่ใช่ตัวแทนอเมริกา

การประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตที่เมืองฟิลาเดลเฟียระหว่างวันที่ 25-28 กรกฎาคม 2016 นั้น ในวันที่ 28 กรกฎาคมเป็นวันสุดท้าย นางฮิลลารีแสดงความยินดีที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคพร้อมกับ “ย้อน”คำพูดของนายดอนัลด์ ทรัมพ์ ไว้อย่างน่าฟัง เริ่มด้วยคำว่า “อเมริกายิ่งใหญ่เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่ดี”พร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับความเป็นคนอเมริกันหมายความว่าอย่างไร ย้อนนายทรัมพ์ที่กล่าวในการประชุมพรรครีพับลิกันว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถแก้ไข(ปัญหา)อเมริกาได้ (I alone can fix it)

“อย่าไปเชื่อใครก็ตามที่พูดว่า I alone can fix it เพราะคนอเมริกันไม่เคยพูดคำนี้ แต่จะพูดคำว่าเราจะร่วมกันแก้ไขปัญหา (We’ll fix it together) คุณลืมไปแล้วหรือว่าเรามีกองทัพที่ออกรบ,มีตำรวจและนักดับเพลิงเข้าระงับเหตุอันตราย,เรามีแพทย์และพยาบาลที่รักษาเรา,มีครูสอนที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา,มีผู้ประกอบการที่รู้แทบจะทุกปัญหาและเรามีแม่ผู้สูญเสียลูกเพราะความรุนแรง จากนั้นก็รวมตัวกันเพื่อทำให้เด็กๆได้รับความปลอดภัย”

นักวิเคราะห์มองว่าพรรครีพับลิกันเองยังเชื่อในเรื่องของศาสนา,ครอบครัว,ความรักชาติ,เศรษฐกิจการค้าเสรีและระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่ทรัมพ์กลับพูดว่าเขาต้องการถอนตัวจากองค์กรเนโต้,สร้างกำแพง(เป็นรั้วของประเทศห้ามกลุ่มฮิสแปนิกเข้า),ห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศหรือคำพูดที่ว่าวลาดิมีร์ ปูติน เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง,เขาเองสามารถแก้ปัญหาของประเทศได้เพียงคนเดียว เรื่องนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นจุดอ่อนของนายทรัมพ์ที่เปิดช่องให้พรรคเดโมแครตและฮิลลารีเปิดฉากโจมตีได้ง่าย

ผู้เขียนเองมองว่าแนวคิดของนายทรัมพ์เหมือนหนังคาวบอย เรียกว่าเป็นพวก“วีรชนเอกชน”กล่าวคือมีการตัดสินใจคนเดียวหรือนำเดี่ยว ไม่ได้มองการมีส่วนร่วมของมวลชนหรือการรวมศูนย์  ลักษณะการเคลื่อนไหวเช่นนี้จะถูกตีแตกและพ่ายแพ้ได้ง่าย

ขั้นตอนต่อไปของการเลือกตั้งประธานาธิบดี

เดือนสิงหาคม  ระหว่างวันที่ 4-7 เป็นการประชุมใหญ่พรรคกรีน (Green National Convention) กำหนดจัดขึ้นที่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัสเพื่อเลือกตัวแทนพรรคและเป็นที่ทราบกันว่า ดร.จิลล์ สไตน์ จะได้รับเลือก ในระหว่างนี้ 2 พรรคใหญ่ก็จะมีการระดมทุน,การหาเสียงที่ทางพรรคได้กำหนดไว้ไปยังที่ต่างๆ

เดือนกันยายน-วันที่ 26 กันยายนจะมีการอภิปรายโต้แย้งกัน(debate)ในประเด็นต่างๆในหมู่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 4 คน กำหนดจัดขึ้นที่ Hofstra University  เมืองเฮมป์สเตด  รัฐนิวยอร์ก 

เดือนตุลาคม

วันที่ 4 ตุลาคม เป็นการดีเบตของผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ จัดขึ้นที่  Longwood University เมืองฟาร์มวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ดีเบตของผู้สมัครรองประธานาธิบดีทำครั้งเดียว

วันที่ 9 ตุลาคม เป็นการดีเบทของผู้สมัครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ 2 จัดขึ้น  Washington University เมืองเซนต์ หลุยส์ รัฐมิสซูรี  

วันที่ 19 ตุลาคม เป็นการดีเบตครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายของผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐจัดขึ้นที่  University of Nevada เมืองลาส เวกัส รัฐเนวาด้า   

วันที่ 8 พฤศจิกายน เป็นวันเลือกตั้ง (Election Day) แต่ละคนก็จะไปลงคะแนนเสียงตามหน่วยเลือกตั้งที่ถูกกำหนดไว้ซึ่งไม่ไกลจากที่อยู่อาศัยอาทิเช่นตามสนามโรงเรียน,โบสถ์,ลานจอดรถซูเปอร์ มาร์เก็ต,พลเมืองอเมริกันบางรายถึงกับอุทิศบริเวณที่จอดรถของบ้านตน (garage)ให้เป็นคูหาเลือกตั้งเพื่อเลือกบุคคลที่ตนเห็นว่าเหมาะสมที่สุด  การลงคะแนนนั้นมีระบบการลงล่วงหน้าตามที่กำหนดไว้ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ของเคาน์ตี้ด้วยการโหวตผ่านเครื่อง (Voting Machine) ที่ตั้งไว้,การกาบัตรแล้วส่งผ่านไปรษณีย์ (Vote by Mail) ,นักอวกาศอาจลงคะแนนผ่านอีเมลส่งลงมายังหน่วยเลือกตั้งของตน ฯลฯ

การจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า (Register to Vote) ทุกคนที่ลงทะเบียนไว้จะมีหมายเลขลงคะแนนเสียงของตนเอง  ไม่ใช่อยู่ดีๆเดินทะเร่อทะร่าไปลงคะแนน แม้จะเป็นพลเมืองอเมริกันก็หมดสิทธิ์ (และก็ไม่ต้องมีลิงหรือมีเด็กไปฉีกบัญชีรายชื่อให้เสียหาย)

เดือนธันวาคม- วันที่ 19 ผู้เลือกตั้ง (The Electors)ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College)จะประชุมกันที่เมืองหลวงของแต่ละรัฐเพื่อลงคะแนนเสียงเลือกรองประธานาธิบดีและประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ (เรื่องนี้คงจะต้องขยายความต่อไป)   

วันที่ 6 มกราคม 2017 ผลของการลงคะแนน Electoral votes จะประกาศอย่างเป็นทางการต่อที่ประชุมสภาคองเกรสคือทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภาประชุมร่วม  ผู้ทำหน้าที่ประกาศเป็นหน้าที่ของประธานวุฒิสภา ( the President of the Senate) หรือรองประธานาธิบดีโดยตำแหน่ง ดังนั้นในปี 2017 คนที่จะประกาศก็คือ นายโจ ไบเดน นั่นเอง   

วันที่ 20 มกราคม ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนใหม่จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ในระหว่างนั้นที่วอชิงตันดีซีก็จะมีงานรื่นเริงกันทั้งเมืองมีผู้คนเดินทางไปจากรัฐต่างๆเพื่อร่วมแสดงความยินดี ฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็จะต้องทำงานหนักหน่อย

โดย.....ไพสันติ์ พรหมน้อย

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2559 23:45:33 น.
Counter : 244 Pageviews.  

สองแม่ลูกชาวฝรั่งเศสเดินเท้าจากภูเก็ตถึงเบตงโดยมี ‘ลูฟี่ ตัวละครในการ์ตูนวันพีซ’ เป็นแรงบันดาลใจในกา



แม่ลูกชาวฝรั่งเศสเดินเท้าจากจังหวัดภูเก็ตถึงอำเภอเบตงจังหวัดยะลารวมเวลากว่า 4 เดือน รวมระยะทาง 1,460 กิโลเมตร โดยมีลูฟี่ ตัวละครในการ์ตูนวันพีซเป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางรอบโลก เผยมั่นใจเจ้าหน้าที่ไทยให้ความปลอดภัยและปลาบปลื้มน้ำใจคนชายแดนภาคใต้มอบน้ำดื่มอาหารให้ตลอดทาง

 

เมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม 2559 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่า พบเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คน พร้อมรถเข็นพกพาสัมภาระเดินเท้าไปตามถนนสาย 410 ยะลา – เบตง ทราบชื่อคือ นางดอมินิก อายุ 65 ปี Mrs.Dominique Drasseur และนายนิโคลัส อายุ 26 ปี Mr.Nicolas Queune สองแม่ลูกชาวฝรั่งเศสซึ่งได้ทิ้งบ้านออกเดินเท้ารอบโลก หลังจากลาออกงานประจำโดยได้ออกเดินเท้าจากจังหวัดภูเก็ตเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์จนมาถึงวันนี้รวมระยะทาง1,460 กิโลเมตรและได้มาถึงอำเภอเบตงจังหวัดยะลาใช้เวลากว่า 4 เดือน มีเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยเบตงและอส.ร่วมเดินเท้าพร้อมอำนวยความสะดวกระหว่างเดินทางตลอดเส้นทาง โดยได้บอกกับผู้คนที่มาให้การต้อนรับว่าเป้าหมายใหม่ของเขาคือการเดินทางรอบโลก

นางดอมินิก เปิดเผยผ่านล่ามว่า เธอกับลูกเดินเท้ามาแล้วหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์และประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยก็ได้เดินทางมาแล้วหลายจังหวัดทางภาคใต้ตอนบน เช่น ภูเก็ต กระบี่ ชุมพร ตรัง หาดใหญ่ ลงมาถึงภาคใต้ตอนล่าง 3 จังหวัด นราธิวาส ปัตตานี และจังหวัดยะลา โดยเดินทางด้วยการเดินเท้าพร้อมรถเข็นพกพาสัมภาระ เพื่อต้องการเดินทางรอบโลกและเลือกที่จะมาอำเภอเบตงจังหวัดยะลา ซึ่งประเทศไทยมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องที่ ชาวไทยที่มีน้ำใจงามมอบสิ่งของ น้ำดื่ม ของกินต่างๆ ตลอดทาง สร้างความประทับใจอย่างมาก นอกจากนี้บางช่วงก็มีชาวบ้านอาสาให้ขึ้นรถเดินทางไปด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันก็ตาม ทำให้เธอกับลูกเชื่อว่าคนไทยมีน้ำใจอย่างที่ชาวต่างชาติหลายประเทศได้กล่าวไว้จริงๆ

นายนิโคลัส เปิดเผยว่าเราทั้ง 2 คนแม่ลูก ซึ่งผมเป็นลูกบุญธรรมได้ตัดสินใจที่จะลองเดินเท้ารอบโลกโดยได้เริ่มการเดินเท้าจากจังหวัดภูเก็ตเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์และได้เดินทางด้วยเท้ามาเรื่อยๆ โดยไม่ได้จำกัดระยะทางในการเดิน เมื่อเหนื่อยตรงไหนก็จะพัก โดยได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชาวไทยในการให้อาหารและที่พักและนั่นเป็นสิ่งสวยงามของชีวิตบนโลก

ส่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงแม้จะได้ยินข่าวเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบแต่สองแม่ลูกก็มั่นใจในความปลอดภัยและได้รับการคุ้มกันจากกำลังเจ้าหน้าที่ไทยเป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อมาสัมผัสแล้วก็ไม่ใช่อย่างที่เป็นข่าวผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นคนน่ารักและมีอัธยาศัยดีดียิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งจะไปบอกต่อเพื่อนๆชาวต่างชาติต่อไปว่าในพื้นที่ทางใต้ไม่น่ากลัวอย่างที่เป็นข่าว รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายโดยเฉพาะอำเภอเบตงซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม

แรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวรอบโลกมาจาก ลูฟี่ ตัวละครในการ์ตูนวันพีซ

นายนิโคลัส เผยว่า ตนได้แรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวรอบโลกจากลูฟี่ ตัวละครในการ์ตูนวันพีซ เพราะในการ์ตูนวันพีซ เป็นเรื่องราวการเดินทางผจญภัยเหนือหล้าท้าโลกตนจึงเกิดแรงบันดาลใจต้องการที่จะเดินทางผจญภัยอย่างลูฟี่ ซึ่งตนเองก็น่าจะทำได้เช่นกันเลยชวนแม่ออกเดินทางกันมาเรื่อยๆ จะเป็นความท้าทายที่ได้รับประสบการณ์ผจญภัยใหม่ๆ และที่สำคัญจะเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดให้กับตน ซึ่งแต่เดิมตนเป็นคนอ้วนท้วมมากเมื่อได้ออกเดินทางด้วยเท้าและเริ่มเดินเท้ามาได้เรื่อยๆน้ำหนักก็ลดลงหลายสิบกิโล

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2559 23:19:42 น.
Counter : 255 Pageviews.  

กรมโรงงานฯ เร่งส่งกากอิเล็กทรอนิกส์อันตรายกว่า 190 ตัน กลับญี่ปุ่น หลังตรวจพบเอกชนลักลอบนำเข้าผิดกฎห



กรมโรงงานอุตสาหกรรม เร่งนำส่งซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันตรายน้ำหนักรวม 196.11 ตัน หลังตรวจพบเอกชนลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย คาดถึงประเทศต้นทางในวันที่ 7 ส.ค.59 ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น เตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ส่งออกต่อไป

กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบเรือขนส่งสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น ตรวจพบซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว จำนวน 7 ตู้คอนเทรนเนอร์ ปริมาณรวม 196.11 ตัน ซึ่งกากอันตรายดังกล่าวจัดเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซลและเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 แห่ง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ผู้ใดนำเข้าจะต้องได้รับการ อนุญาตนำเข้าวัตถุอันตราย

ด้านนายศักดา พันธ์กล้า รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมโรงงานฯได้รับแจ้งจากกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ให้เฝ้าระวังและตรวจสอบสินค้าที่จะมีการนำเข้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าที่เข้าข่ายการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดน ทางกรมโรงงานฯจึงได้ประสานความร่วมมือไปยังกรมศุลกากรเพื่อเฝ้าระวังการนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวเข้ามายังประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เข้าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 8 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยมีต้นทางจากประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งสินค้าสำแดงเป็นเศษโลหะ (metal scrap) เศษทองแดง (copper scrap) และเศษอลูมิเนียม (aluminum scrap) จากการตรวจสอบสินค้าจำนวน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ถูกต้องตรงตามสำแดง แต่ตู้คอนเทนเนอร์ อีกจำนวน 7 ตู้ที่เหลือ ตรวจพบเป็นซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว ซึ่งมีปริมาณรวม 196.11 ตัน

นายศักดา กล่าวต่อว่า ซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว ดังกล่าวจัดเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซลและเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยการนำเข้าต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม  โดยกรณีดังกล่าวทำให้ผู้นำเข้ามีความผิดตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 รวมถึงมีความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้าม ตาม  พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469  

อย่างไรก็ตาม  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการประสานไปยังกรมศุลกากร กรมควบคุมมลพิษ และเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้เพื่อยุติปัญหาและได้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้นำเข้า ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น เพื่อขอคำยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรในการส่งสินค้าดังกล่าวกลับต้นทาง โดยประเทศญี่ปุ่น ได้ตอบรับและยินยอมให้ส่งของเสียทั้งหมดกลับคืนต้นทาง

ด้าน นายสมคิด วงศ์ไชยสุวรรณ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมควบคุมมลพิษ และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย  ได้จัดพิธีเตรียมการจัดส่งของเสียอันตรายทั้งหมด โดยของเสียดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นมีกำหนดเดินทางในวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 คาดว่าจะถึงประเทศต้นทางในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 หลังจากนั้นกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ส่งออกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการส่งกลับสินค้าที่เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล นอกจากจะเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของอนุสัญญาบาเซลแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีเจตนารมณ์ในการยุติปัญหาการลักลอบเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายระหว่างประเทศ และแสดงถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลไทยในการป้องกันการลักลอบนำเข้าของเสียที่เป็นอันตรายเข้ามาทิ้งภายในประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญในการดำเนินตามพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ในการร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อยุติปัญหาการลักลอบเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายระหว่างประเทศและเป็นการอนุวัติให้เป็นไปตามข้อตกลงของอนุสัญญาบาเซล ตลอดจนเพื่อสร้างมาตรฐานของการบริหารกากของเสียของไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานการจัดการกากของเสียสากล

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2559 21:07:49 น.
Counter : 263 Pageviews.  

นิตยสาร Seventeen Thailand ปิดตัวตีพิมพ์เล่มสุดท้ายฉบับสิงหาคม 2016 เผยสู้กระแส Online ไม่ไหว



นิตยสาร Seventeen นิตยสารวัยทีนหัวนอกจากอเมริกา คนไทยซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาตีพิมพ์และวางแผงในไทยยาวนานถึง 14 ปี ทานกระแส online และ Social Media ไม่ไหว ประกาศปิดตัวแล้ว โดยจะพิมพ์ฉบับสุดท้ายในเดือนสิงหาคม 2016

 

ภายหลังจากนิตยสารหลายฉบับประกาศยุติการตีพิมพ์เป็นระลอกเมื่อปีที่แล้ว เหตุเพราะทนกระแสความแรงของสื่อออนไลน์ไม่ได้ ประกอบกับพิษของเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะพุ่งทะยานเท่าไหร่นักจนกระทั่งนิตยสาร “เซเว่นทีน”ประกาศปิดตัวลงทันทีในเดือนสิงหาคม 2016

นับเป็นข่าวสายฟ้าแลบสำหรับการปิดตัวอำลาแผงของนิตยสาร "เซเว่นทีน" นิตยสารวันรุ่นอันดับหนึ่งที่อยู่คู่เมืองไทยมาหลายปี ทั้งๆ ที่สัญญาลิขสิทธิ์ของหนังสือจะหมดลงในช่วงปลายปี 2016  แต่ผู้บริหารอั้นไม่ไหว ประกอบกับเรื่องของงบโฆษณาก็ไม่ครอบคลุมกับต้นทุนการผลิตจึงประกาศปิดตัวและหยุดการทำงานทันที โดยฉบับสุดท้ายที่นิตยสาร "เซเว่นทีน" จะตีพิมพ์ก็คือฉบับเดือนสิงหาคม ในส่วนการทำงานของกอง บก.จะยุติลงในวันศุกร์ที่ 29รกฎาคม 2016

นิตยสารเซเว่นทีน (Seventeen) เป็นหัวหนังสือจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่นำเสนอเรื่องราวแฟชั่นและบันเทิงสำหรับวัยรุ่นอเมริกัน ในประเทศไทยได้มีการซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทแม่โดยบริษัท มีเดีย ทรานเอเชีย ไทยแลนด์ เป็นผู้ดูแลการผลิตเนื้อหาเป็นภาษาไทย

นิตยสารเซเว่นทีนอยู่คู่แผงหนังสือเมืองไทยมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2002  เรียกได้ว่าเป็นการปิดตำนาน 14 ปี นิตยสารวัยทีน(หัวนอก) ของเมืองไทย

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความคลาสสิคของสื่อสิ่งพิมพ์กำลังจะหายไป แล้วมาแทนที่ด้วยโซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์ที่แม้ว่าจะได้ในเรื่องของความเร็วทันเหตุการณ์แต่ก็ขาดเสน่ห์หลายๆ อย่างของหน้าหนังสือที่สมาร์ทโฟนก็ให้ไม่ได้

“เทคโนโลยีเปลี่ยน พฤติกรรมคนเปลี่ยน สื่อจึงต้องเปลี่ยนตาม” เป็นกฎของการทำสื่อในยุคปัจจุบัน

ประวัตินิตยสารเซเว่นทีน

Seventeen เป็นนิตยสารอเมริกัน เป้าหมายคนอ่านเป็นหญิงอายุระหว่าง 10-21 ปี  ครั้งแรกในการตีพิมพ์เพื่อแนะนำและเป็นแบบอย่างให้กับวัยรุ่นสตรีที่จะเติบโตเข้ามาทำงานในวัยผู้ใหญ่  จากนั้นนิตยสารฉบับนี้ก็เพิ่มเติมแฟชั่น,เรื่องของความรักรวมไปถึงความมั่นใจ

ตีพิมพ์ฉบับแรกเมื่อเดือนกันยายน 1944 หรือพ.ศ.2487 อันเป็นยุคปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 (สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดเมื่อสิงหาคม 1945 หลังจากญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ )โดยบริษัท Triangle Publications ปัจจุบันยังตีพิมพ์ออกรายเดือนจัดพิมพ์โดยบริษัท Hearst Corporation ยอดตีพิมพ์ 2,010,619 ( ตัวเลขปี 2013)สำนักงานใหญ่อยู่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ

นิตยสารเซเว่นทีน มีการซื้อลิขสิทธิ์หัวหนังสือมาตีพิมพ์ในประเทศต่างๆประกอบด้วยประเทศแอฟริกาใต้,ฟิลิปปินส์,ฮิสแปนิก-อเมริกัน (กลุ่มผู้อ่านภาษาสเปนหรือสแนิช), อินเดีย, มาเลเซีย,สิงคโปร์,ไทย,สหราชอาณาจักรนำไปพิมพ์แต่ไม่เรียกว่าเซนเวนทีนจะเรียกว่า ทีน โวค และญี่ปุ่น

บรรณาธิการเซเว่นทีนตั้งแต่เริ่มต้นปี 1944 จนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 14 คน โดยคนปัจจุบันชื่อมิเชล แทน (Michelle Tan) เป็นบก.มาตั้งแต่ปี 2014 เธอเป็นเอเชียน-อเมริกันเคยเป็นบรรณาธิการโครงการพิเศษของนิตยสาร People

(จากเฟซบุ๊กของนิตยสารเซเว่นทีนไทยแลนด์ ยังมีให้ได้อ่านเรื่องของน้ำตาล)

10 เหตุผลที่ น้ำตาล ชลิตา ควรได้ครองมงฯ Miss Universe Thailand 2016

//seventeenthailand.com/2016/miss-universe-thailand-2016/

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2559 20:34:08 น.
Counter : 362 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.