บาดเจ็บจากการวิ่ง....ตอนที่ 2 เจ็บเข่า.... โดย ศ.นพ. ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
มีคนถาม เรื่อง เจ็บสันหน้าแข้ง ผมก็ไปถามอากู๋ มาให้ ... ไปพบ บทความที่ อ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ เขียน แล้วมีผลนำมาลงไว้ที่เวบ ... เห็นว่าน่าสนใจ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ... ก็เลยนำมาฝากกัน ... ตอนที่ ๒ บาดเจ็บบริเวณหัวเข่า//www.patrunning.info/show.php?Category=board&No=10252 บาดเจ็บบริเวณหัวเข่า บาดเจ็บหัวเข่านั้น ข้าพเจ้าพบบ่อยมาก พบแทบจะทุกวัน บางวันก็หลายๆ ราย ทั้งในนักวิ่ง และนักกีฬาทุกชนิด ทุกเพศทุกวัย ยิ่งในช่วงฤดูการแข่งขันด้วยแล้ว ยิ่งมากขึ้นหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บในเข่า นอกเขา ขณะวิ่ง หรือเข่าบวมเมื่อวิ่ง ฯลฯ บางคนก็วนเวียนมาหลายครั้ง หลายหน เพราะไม่หาย เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเพียงพอ ยิ่งบางโรคซึ่ละเอียดอ่อนมาก เช่น โรคข้อเข่านักกระโดด หรือกระโจน (Jumper's knee) อาการที่เป็นดูเหมือนไม่มาก ก็คิดว่าไม่เป็นไรมาก แต่ก็ไม่หายสักที ทำให้วิ่งไม่ได้เต็มที่ แข่งขันไม่ได้ ด้วยความใจร้อน อยากจะหายเร็วๆ จึงเอาทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นหมอพระ ซึ่งเรื่องข้อเข่านักกระโดด หรือกระโจนนี้ ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องจริงๆ ให้พักก็ต้องพัก หรืองดเว้นการงอเข่า ก็ต้องทำจริงๆ แล้วการให้ยา และการทำกายภาพบำบัด จึงจะทำให้หายได้ บาดเจ็บบริเวณเข่านี้ เป็นบาดเจ็บที่พบได้มากที่สุด จากการวิ่งที่พบได้บ่อยๆ คือ1. โรคข้อเข่านักวิ่ง ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นักวิ่ง เพราะพบมากที่สุด เป็นบาดเจ็บที่บริเวณผิวกระดูกอ่อนของกระดูกสะบ้า สำหรับผู้ที่มีรูปร่างของกระดูกสะบ้าไม่ปกติ หรือวิ่งมากไปไม่ถูกเทคนิค ทำให้การลื่นไหลของกระดูกสะบ้า ระหว่างที่มีการเหยียด และงอเข่าไม่สะดวก เมื่อวิ่งมากๆ จะทำให้เกิดแรงเค้นมารวมกัน อยู่ที่ผิวกระดูกอ่อน เมื่อมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีการทำลายกระดูกอ่อนของกระดูกสะบ้า ยิ่งถ้างอเข่ามากๆ จะเกิดแรงอักที่กระดูกสะบ้ามาก ทำให้ผิวกระดูกอ่อนถูกทำลายมากขึ้นไปเอง ดังนั้น การวิ่งที่งอเข่ามากๆ เช่น การวิ่งขึ้น หรือลงที่สูง หรือที่ลาดเอียงชัน จึงทำให้เกิดโรคข้อเข่านักวิ่งได้ง่าย สำหรับอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้มีการทำลาย ของผิวกระดูกอ่อนที่พบได้บ่อยๆ ก็คือ กล้ามเนื้อต้นขาไม่แข็งแรง ทำให้ไม่มีตัวที่จะดึงรั้งกระดูกสะบ้าไว้ เมื่อมีการเคลื่อนไหว ผิวกระดูกของกระดูกสะบ้า จะไปถูไถกับกระดูก ของข้อเข่าทำให้มีการทำลายกระดูกอ่อนได้อาการของโรค คือ ปวด เจ็บ ใต้ลูกสะบ้า จะมีอาการเกิดขึ้น หรือเพิ่มมากขึ้น เมื่อวิ่ง ระยะทางมากขึ้น หรือเห็นได้ชัด เมื่อวิ่งขึ้นที่ลาดเอียง หรือวิ่งขึ้นที่สูง อาการที่เกิดขึ้นอาจเกิดหลังจากหยุดวิ่งทันที หรือภายหลังจากนั้น ในรายที่เป็นมากๆ เมื่อนั่งงิเข่าจะเหยียดเข่าไม่ค่อยออกการปฐมพยาบาล และการรักษา เมื่อมีอาการ ให้พัก ประคบน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ให้ยาแก้ปวด หลังจาก 24 ชั่วโมงให้ประคบร้อน เพื่อให้การอักเสบหายโดยเร็ว นอกจากนี้ การให้ยาต้านการอักเสบ จะทำให้การหายจากโรคเร็วขึ้น เมื่อหายแล้วสิ่งต้องปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ การฟื้นฟูสภาพให้เหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิม คือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงมากๆ โดยเริ่มต้นยกน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ประมาณ 10 ครั้ง เช้าและเย็น จากนั้นให้เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถยกได้เท่ากับข้างที่ดี หรือขนาดของกล้ามเนื้อต้นขา เท่ากับข้างที่ดี ถ้าต้องการให้ประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อการแข่งขันในระดับสูง ก็สามารถยกน้ำหนัก มากขึ้นได้ จนถึง หรือใกล้เคียง 1/3 ของน้ำหนักตัวการป้องกัน ตรวจร่างกายดูรูปทรงว่า ผิดปกติหรือไม่ เพื่อจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง หรือเลี่ยงความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยเสริม หรือปรับปรุงวิธีการวิ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับรูปทรงเฉพาะตัวของเราเอง เรียนรู้เทคนิควิธีการวิ่งที่ถูกต้องที่สุด บริหารกล้ามเนื้อต้นขา ให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดแรงเค้นที่กระดูกสะบ้าน้อยที่สุด2. การเจ็บปวดบริเวณด้านนอก เหนือข้อเข่าเล็กน้อย (Iliotibial "band" friction syndrome) เกิดจากการเสัยดสีของแผ่นพังผืดหนา ที่อยู่ด้านนอกของข้อเข่า กับกระดูกหัวเข้าทางด้านนอก ขณะเหยียดเข่า และงอเข่า ทำให้มีการอักเสบตามมาได้ จะมีอาการเจ็บปวดในขณะที่วิ่งมากขึ้น โรคนี้จะพบในนักวิ่งที่โครงสร้างผิดปกติ คือ ขาโก่ง หรือเท้าคว่ำบิดออกด้านนอก ในนักสิ่งที่โครงสร้าง ร่างกายปกติก็พบได้เช่นกัน คือ พวกที่วิ่งโดยไม่ยอมเปลี่ยน หรือซ่อมแซมรองเท้าที่สึกหรอได้ โดยเฉพาะรองเท้าที่สึกหรอทางด้านนอก เมื่อวิ่งจะทำให้เท้าเอียง และมีการเสียดสีของพังผืดดังกล่าว บริเวณข้อเข่า ทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้การปฐมพยาบาล และการรักษา เมื่อมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น ให้ประคบด้วยน้ำแข็งนาน 10-20 นาที หลังจากนั้น บริหารเพื่อยืดพังผืดนี้ ให้หย่อนเพื่อลดการเสียดสี และต้องบริหารพังผืดนี้ให้แข็งแรงด้วย จะได้ไม่เป็นซ้ำอีก แม้แต่ในคนที่มีความผิดปกติของโครงสร้าง ร่างกายดังกล่าว ถ้าไม่มากนัก ก็สามารถบริหารเพื่อไม่ให้เกิด อาการ จากการวิ่งได้เช่นกัน ถ้าในรายที่มีอาการมาก การรักษาจำเป็น คือ การให้ยาแก้ปวด และการให้ยาต้านการอักเสบ ทั้งชนิดกิน หรือฉีดยาเฉพาะที่ด้วยการป้องกัน ดูรูปทรวงของร่างกายว่า มีขาโก่ง หรือเท้าคว่ำ บิดออกด้านนอกหรือไม่ เพื่อจะได้เสริมด้วยรองเท้า หรือปรับปรุงวิธีการวิ่ง ให้รูปทรงในการวิ่ง เป็นปกติดีที่สุด ถ้าเป็นมากๆ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไข บริหารให้ส่วนพังผืดไม่ให้ตึง และให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ ดูแลเรื่องรองเท้าไม่ให้สึกหรอ โดยเฉพาะด้านนอกของพื้น ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนใหม่ ก็ต้องเสริมให้ถูกต้อง 3. โรคข้อเข่านักกระโดด หรือกระโจน (Jumper's knee) ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติอีกเช่นกัน แก่ผู้ที่ชอบกระโดด หรือกระโจน แต่สำหรับพวกที่ชอบกระโดด หรือกระโจน แล้วเป็นสิ่งที่แทบจะคู่กันเลยทีเดียว โรคชนิดนี้เป็นบาดเจ็บที่เกิดจากการฉีกขาดของเอ็น หรือพังผืดที่บริเวณกระดูกสะบ้า อาจจะค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดขึ้นทันทีก็ได้ สาเหตุนั้นเกิดจาก การกระตุก กระชากของเอ็นที่เกาะที่กระดูกสะบ้าในทันที ทำให้ฉีกขาด โดยเฉพาะนักสิ่งที่มีกล้ามเนื้อต้นขา ไม่แข็งแรง จึงไม่มีตัวที่จะประคองเข่า และลดการกระตุกนี้ การฉีกขาดจึงเกิดได้ง่าย ทั้งที่แรงกระทำไม่มากนัก อาการของโรค คือ เจ็บปวดบริเวณรอบๆ กระดูกสะบ้า ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง หรือหลายๆ ตำแหน่ง ในรายที่เป็นมาก จะเจ็บอยู่ตลอดเวลา หรือบางรายจะมีอาการก็ต่อเมื่อ วิ่งกระโดด หรือกระโจนการปฐมพยาบาล และการรักษา เมื่อมีอาการครั้งแรก ให้พักประคบน้ำแข็งประมาณ 10 นาที แล้วให้พักอยู่ในท่าเข่า เหยียดให้ยาแก้ปวด หลังจาก 24 ชั่วโมงจึงประคบร้อน ถ้ายังไม่หายใน 3 วัน ต้องยึดตรึงให้อยู่ในท่าเหยียดนาน 3 สัปดาห์ และให้ยาต้านการอักเสบชนิดกิน หลังจากหายแล้ว ให้บริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงมากๆ เพื่อที่จะได้ทนแรงกระตุก หรือกระชากนั้นได้ ในรายที่อาการค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นแบบเรื้อรัง การรักษานอกจากหลีกเลี่ยงการกระโดด กระโจนแล้ว ต้องไม่พยายามงอเข่า ให้ยาต้านการอักเสบ รวมทั้งการรักษาทางกายภาพบำบัด เช่น การใช้ความร้อน หรือคลื่นเหนือเสียง (อัลตราซาวน์) ในการรักษาด้วย จึงจะทำให้การหายเร็วขึ้น สิ่งที่ไม่ควรลืมเลย คือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงกว่าเดิมให้มากๆ เพราะเมื่อเราวิ่งอีก จะได้ไม่มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นการป้องกัน หลีกเลี่ยงการวิ่งที่ต้องกระโดด หรือกระโจน หลีกเลี่ยงพื้นวิ่งที่แข็ง เพื่อลดแรงกระแทก กระตุกที่ข้อเข่า บริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงอยู่เสมอ แหล่งที่มา บทความ :ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 18:58:23 น.
5 comments
Counter : 45810 Pageviews.
โดย: หมอหมู วันที่: 15 สิงหาคม 2555 เวลา:3:06:53 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 10 ตุลาคม 2557 เวลา:15:01:18 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 10 ตุลาคม 2557 เวลา:15:02:07 น.
โดย: แปดเทพอสูร วันที่: 20 เมษายน 2558 เวลา:16:19:42 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 30 กันยายน 2558 เวลา:15:26:13 น.
หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 763 คน [? ]
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ ) หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู ) ปล. ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
บาดเจ็บจากการวิ่ง....ตอนที่ 1 .... โดย ศ.นพ. ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=6&gblog=22
บาดเจ็บจากการวิ่ง....ตอนที่ 2 เจ็บเข่า.... โดย ศ.นพ. ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=6&gblog=23
บาดเจ็บจากการวิ่ง....ตอนที่ 3 เจ็บขา.... โดย ศ.นพ. ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=6&gblog=24
บาดเจ็บจากการวิ่ง....ตอนที่ 4 เจ็บเท้า.... โดย ศ.นพ. ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=6&gblog=25
วิ่งอย่างไร ไม่ให้ ปวดเข่า ..... โดย อ.นพ.จักรกริช กล้าผจญ์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=6&gblog=26
ตะคริว ( muscle cramps )
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=22-08-2008&group=6&gblog=20
บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-06-2008&group=6&gblog=16
การยืดเส้นแบบประหยัด .... โดย ม.ร.ว. ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=6&gblog=27