|
รูปแบบใหม่ของชีวิต

ตั้งแต่เรียนวิปัสสนามา สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบบ่อยๆ คือ มันมีมุมมองใหม่ๆ เกิดขึ้น ในชีวิตเดิมๆของผมเสมอๆ
เมื่อวานนี้ หลังจัดรายการเสร็จ ผมไปเป็นอาสาสมัคร ทำหน้าที่ช่วยแนะนำคนที่สนใจเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติ
คนที่มาคุยกับผม ถามผมว่า ผมเคยมีทุกข์ไหม ผมตอบว่า เคยสิ ทุกข์บ่อยจะตาย ทุกข์ทุกวัน
เขาถามอีกว่า แล้วผมเคยอกหักไหม เกือบจะตอบไปแล้ว ว่าอาชีพรองผม คือชาวไร่แห้ว แต่เดี๋ยวจะดูเป็นคณะชวนชื่นไปหน่อย เลยบอกไปว่า..เคยสิ หลายหนแล้ว
เขาถามว่า.. เวลาอกหัก ผมทำใจนานไหม ผมบอกว่า.. ถ้าเข้าใจวิปัสสนา แล้วทำถูกทางมาระยะนึง ผมให้อกหักไม่เกิน 3 วัน ก็จะดีขึ้น
เขาร้องโอ้โห.. ทำท่าทางไม่เชื่อ ผมบอกว่า.. อันนั้นแบบชิวเด้น ชิวเด้นนะ ถ้าคนเก่งๆแล้ว วันเดียวก็นานเกินไปแล้ว
ที่มันสั้น ไม่ใช่เพราะคนทำวิปัสสนาเป็น มีอะไรวิเศษกว่าชาวบ้านเขามากมายหรอก
เพียงแต่เรามองเห็นความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมชาติ อ้าว.. เลิกกับแฟน อกหักรักคุด จะให้ดีใจหรือไง ..ใช่มะ
แต่เสียใจ รู้ว่าเสียใจ ...ไม่ได้พยายามปรุงแต่งจิต มากไปกว่าการรู้ รู้ด้วยอาการเข้าใจว่า.. สิ่งนี้เรียกว่าทุกข์ รู้ด้วยอาการยอมรับว่า.. ทุกข์เป็นแค่สิ่งหนึ่งที่ผ่านมาและจิตไปรู้เข้า
ไม่ใส่ใจมัน มากไปกว่าคนที่เห็นหมาขี้เรื้อนเดินผ่านหน้าบ้าน ไม่ไยดีมัน มากไปกว่าคนที่นั่งริมน้ำแล้วเห็นหมาเน่าลอยผ่านไป ไม่ดิ้นรนจะโดดลงไปผลักไสไล่มัน เพราะมันลอยมา ก็ลอยไปเอง
เพราะเราเห็นมาบ่อยแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มันผ่านมา แล้วมันก็จะผ่านไป ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ไม่ว่าเราจะยินดีหรือไม่ มันก็เหม็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว
อย่าไปหวังให้หมาเน่ามันหอม อย่าไปแกล้งคิดว่า อกหักแล้วดี มีความสุข อันนั้นมันแทรกแซงธรรมชาติ ถึงจะเป็นเรื่องคิดดี แต่ถ้าไม่ใช่ของจริง ความจริง ก็ไม่ใช่วิปัสสนา
เวลาดูทุกข์ตัวเอง บ่อยๆ มันจะเห็นอย่างนึงว่า คนเรามีทุกข์จากความรัก เพราะเราไม่ได้รักเขาเฉยๆ
แต่ในแพ็กเกจของความรัก มันมีความยึด ความอยาก อยู่ด้วย แล้วเราก็ทุกข์ เพราะความอยาก อยากให้เขารัก อยากให้เขาดีกับเรา
ลำพังความรักหรือไม่รัก มันทำอะไรใครไม่ได้หรอก ความอยาก ความยึด ของเราต่างหาก ที่ทำร้ายเราเอง
คนทำวิปัสสนา ก็คนธรรมดา ใช้หัวใจสูบฉีดเลือดนี่แหละ เราก็ยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง อาจจะรู้สึกว่าเยอะกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำ
เพราะเราดูตัวเอง แล้วเราเห็นบ่อยๆ เห็นเนืองๆ เห็นตามความเป็นจริง ไม่ต้องเสแสร้ง แกล้งดี ไม่ต้องเก็บกด ไม่ต้องปฏิเสธว่า ไม่จริ๊งงงง ฉันไม่เคยคิดร้าย ฉันไม่เคยโลภ ฉันไม่เคยหลง
ทั้งๆที่ จริงๆ เราก็หลงกันทั้งวันนี่แหละ หลงคิดดีบ้าง ร้ายบ้าง ที่หลงกันแบบใหญ่โตที่สุด และดูยากที่สุด เข้าใจยากที่สุด คือหลงเข้าใจว่า จิตนี้คือตัวตนของเรา
พระพุทธเจ้าบอกว่า.. ตัวเรา ไม่เคยมีในอดีต ไม่มีในปัจจุบัน ไม่มีในอนาคต
ที่มีอยู่ เป็นเพียงความเข้าใจผิด สำคัญผิด ว่าสิ่งนี้คือตัวเรา
งง รู้ว่า งง นะครับ สงสัย รู้ว่าสงสัย รู้ไวๆ อยากถามรู้ว่า อยากถาม แล้วก็ไม่ต้องเชื่อด้วย ที่พูดให้ฟังทั้งหมดเนี่ย ไม่ต้องเชื่อเลยสักข้อ
ให้ไปลองหัดทำ หัดดู หัดรู้สึกตัว แล้ววันนึงค่อยตอบตัวเองว่า ผมพูดจริง หรือผมแค่โม้
ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก.. แค่รู้สึกตัวไว้ในปัจจุบันก็พอ ความรู้บางอย่าง มันเหมือนผลไม้ มันจะสุกเมื่อมันถึงเวลาอันสมควร
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย ดับไปก็ด้วยเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เพราะเกิดเพราะเราอยาก หรือไม่อยาก
ฝนจะตก ก็เพราะเหตุและปัจจัยมันสมควรจะตก ฝนจะหยุด ก็เพราะมีเหตุและปัจจัยสมควรจะหยุด ไม่ใช่เพราะเราอยากให้ตก หรืออยากให้หยุด
แต่ถ้ารู้ทันความอยากบ่อยๆ จะเห็นว่า ในความเป็นคนธรรมดา ถ้ามีสติรู้ทันความอยาก ความอยากก็จะเกิดสั้นลงๆ เราจะทุกข์น้อยลงๆ
ฝนตก ก็เรื่องของฝนมัน ฝนจะหยุด ก็เรื่องของฝนมัน จิตจะสุข ก็เรื่องของจิต จิตจะทุกข์ ก็เรื่องของจิต
จิตไม่ใช่เรา .. แต่ที่เราทุกข์ เพราะเราไม่เคยรู้ทัน เพราะเราหลงอยู่ในความคิดว่า จิต คือตัวเรา เมื่อจิตทุกข์ เราจึงรู้สึกทุกข์ไปกับจิตด้วย
ผมขมวดท้ายการอธิบายว่า.. ที่ให้หัดรู้สึกตัวบ่อยๆ ก็เพราะต้องการให้สติเกิด เมื่อสติเกิดเอง ก็จะเห็นความจริง เห็นความจริงบ่อยๆ ก็จะเริ่มเข้าใจได้ปัญญา ปัญญายิ่งเพิ่ม ก็จะอยากสั้นลง ยึดน้อยลง
เพราะจะค่อยๆยอมรับว่า.. มันไม่มีอะไรที่บังคับได้สักอย่าง ไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์ มันมาแล้วมันก็ไปเสมอกัน มันเกิดขึ้น มันดับไปเสมอกัน ตามเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เพราะเราอยากหรือไม่อยาก
กระบวนการเห็นจริง ตามที่กาย ที่จิตเป็น นี่แหละ เขาเรียกวิปัสสนา ไม่ได้เกี่ยวกับนั่งสมาธิ ยืนหรือเดินสมาธิ
ทำวิปัสสนาเก่งๆ ไม่จำเป็นต้องนุ่งขาว เลิกแต่งหน้า เลิกกับสามีภรรยา เลิกทำงาน คลานไปเฝ้าวัด
วิปัสสนาแท้ๆที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ได้ทำให้คนวิ่งหนีโลกเก่ง แต่ทำให้คนอยู่กับโลกเก่ง เข้าใจ และไม่โดนโลกมันลากไป
อันนี้ประโยชน์แค่เบื้องต้น แต่เบื้องปลายไม่ต้องพูดละกัน พูดเรื่องนิพพานมันจะดูไกลตัวไป
แต่อาจารย์ผมท่านบอกว่า.. ของดี มันอยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี่เอง
แต่แค่รู้สึกตัวเป็น ก็ดีถมเถแล้ว รูปแบบใหม่ของชีวิต มันก็เกิดขึ้นพร้อมๆกับปัญญานี่แหละ
แล้วจะร้องเหมือนเพลงนี้ว่า.. This Never Happened Before
ผมไม่อยู่ 5 วันนะครับ ต้องไปประชุมต่างประเทศ (อีกแล้ว)
รักษาสุขภาพกายใจ ด้วยกันทุกท่านครับ 
Create Date : 05 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 11 สิงหาคม 2550 9:50:04 น. |
|
19 comments
|
Counter : 1487 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 5 สิงหาคม 2550 เวลา:23:39:54 น. |
|
|
|
โดย: random-4 วันที่: 5 สิงหาคม 2550 เวลา:23:54:39 น. |
|
|
|
โดย: snpk วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:0:05:58 น. |
|
|
|
โดย: getterTu วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:3:31:25 น. |
|
|
|
โดย: azamiya วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:15:47:56 น. |
|
|
|
โดย: azamiya วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:15:52:48 น. |
|
|
|
โดย: Hobbit วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:20:21:39 น. |
|
|
|
โดย: MuHN วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:1:17:37 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:12:36:48 น. |
|
|
|
โดย: พี่แหม๋ว...ฟ้าสั่ง:) (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:14:44:08 น. |
|
|
|
โดย: ซออู้ วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:14:49:03 น. |
|
|
|
โดย: Nankipooh (My_Sanctuary ) วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:19:19:52 น. |
|
|
|
โดย: Nankipooh (My_Sanctuary ) วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:19:29:32 น. |
|
|
|
โดย: Oakyman วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:12:15:44 น. |
|
|
|
| |
|
|
ผมว่าเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นเรื่องทำใจยากที่สุดก็คือเรื่องการสูญเสียคนที่รักนั่นแหละครับ (ไม่ว่าจะเป็นอกหัก หรือสูญเสียด้วยเหตุการณ์อื่น)
ตัวผมเองยังกลัวอยู่เหมือนกันว่า ถึงแม้จะฝึกปฏิบัติวิปัสสนาบ้างแล้ว พอถึงเวลาจริงๆ ยังเกรงว่าจะทำใจไม่ได้เพราะ ณ เวลานั้น จิตมันก็คิดปรุงแต่งไปสารพัดสารเพ
ปล.เมื่ออาทิตย์ก่อนขอบคุณมากนะครับพี่เอ๊ด ที่พูดชื่อ Blog ของผมออกอากาศไป วันนั้นไม่ได้ฟังสดแต่ตั้งเวลาอัดเอาไว้ พึ่งมาฟังตะกี้นี้เอง