อาการ "จุกลิ้นปี่" เป็นอาการที่บอกว่า ร่างกายของเรามีปัญหา อาจไม่ใช่เพียงแค่อาหารไม่ย่อยอย่างที่เข้าใจ อาการ "จุกลิ้นปี่" เป็นสัญญาณบอกว่า อาจจะกำลังมีปัญหาสุขภาพอะไรบ้าง
โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น
มักจะพบอาการปวด หรือจุกแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือบริเวณหน้าท้องช่วงบน โดยมากจะปวดเป็น ๆ หาย ๆ มีช่วงระยะเวลาที่ไม่มีอาการอยู่พักหนึ่ง แล้วกลับมาเป็นอีกได้ แต่อาการจะทุเลาลงหากทานยาลดกรด
แต่หากจุกแน่นลิ้นปี่เวลาทานอาหาร หรือหลังอาหาร พร้อม ๆ กับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน คุณอาจเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเฉียบพลันได้ ซึ่งหากแพทย์สงสัยว่า คุณอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร แพทย์อาจส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กเพื่อวินิจฉัย
โรคกรดไหลย้อน
หากมีอาการจุกแน่นบริเวณหน้าอก ลิ้นปี่ แสบหน้าอกตลอดทั้งวัน เหมือนอาหารไม่ย่อย เหมือนมีก้อนจุกอยู่ในลำคอ เสียงแหบ และที่สำคัญคือ มีน้ำรสเปรี้ยว ๆ ขม ๆ ไหลย้อนขึ้นมาในปาก นี่คืออาการชัด ๆ ของ "โรคกรดไหลย้อน" ที่คนเมืองเป็นกันบ่อย อาการเหล่านี้มักแสดงหลังทานอาหารอิ่มมาก ๆ หรือนอนราบหลังทานข้าวเสร็จใหม่ ๆ
หากเป็นโรคกรดไหลย้อน ต้องรีบรักษา เพราะหากปล่อยให้เป็น "โรคกรดไหลย้อน" นาน ๆ อาจส่งผลให้หลอดอาหารอักเสบ หรือถ้ารุนแรงกว่านั้น ก็เป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร
โรคนี้จะแสดงอาการจุกแน่นลิ้นปี่ กลืนอาหารลำบาก อาเจียนบ่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ซึ่งถ้าหากเกิดอาการแสดงอย่างนี้ ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ใจ นิ่วในถุงน้ำดี
หากมีก้อนนิ่วมาอุดตันตรงบริเวณท่อน้ำดี จะทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงมาก ปวดแบบบิดเกร็งตรงบริเวณใต้ชายโครงขวา และลิ้นปี่ ซึ่งอาการนี้มักจะเกิดหลังทานอาหารมัน ๆ หรือทานอาหารกลางดึก โดยจะปวดนาน 15-30 นาที หรือในบางรายถึงขั้น 2-6 ชั่วโมง และจะทุเลาไปเอง และนาน ๆ จะปวดสักครั้ง ไม่ได้ปวดทุกวัน
การวินิจฉัยว่า คุณเป็นนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษโดยการอัลตราซาวนด์ หรือส่องกล้องเข้าไปตรวจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ โรคหัวใจขาดเลือด
"โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ" อาการสำคัญคือจะปวดลิ้นปี่ และร้าวขึ้นไปถึงไหล่ซ้าย ต้นแขน คอ ขากรรไกรนาน 2-5 นาที มักแสดงอาการหลังออกกำลังกาย ใช้แรง เครียด หรือหลังสูบบุหรี่ แต่อาการจะดีขึ้นหากได้หยุดพัก หรืออมยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ บางคนอาจมีอาการจุกแน่นลิ้นปี่เหมือนอาหารไม่ย่อย มีอาการใจสั่น หอบเหนื่อยร่วมด้วย
กลุ่มเสี่ยงคือ คนอ้วน คนที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่อายุมากกว่า 40-50 ปี ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง มีไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่จัด เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยด้วยการตรวจหาคลื่นหัวใจ
โรคตับ
ตับอักเสบ หรือตับแข็ง อาจเกิดอาการจุกแน่นตรงลิ้นปี่ และใต้ชายโครงขวาได้ โดยมากจะมีอาการดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย
อาหารไม่ย่อย เกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีแก๊สในระบบย่อย และเกิดกรดเกินในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น บริเวณลิ้นปี่ สาเหตุของปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้
การย่อยทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการรีบเร่งกินอาหาร รีบเคี้ยวรีบกลืน หรือกินอาหารปริมาณมากเกินไป ทำให้เสียเวลาในกระบวนการย่อยนาน เพราะเอนไซม์ในน้ำลายย่อยอาหารไม่ทัน นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งได้น้อยลงอีกด้วย
ความไวต่ออาหารบางประเภท เช่น อาหารจำพวกแป้งสาลี นม โดยเฉพาะอาหารที่มีเส้นใยมาก เพราะเป็นตัวดูดซับน้ำไว้ เมื่อพองตัวจะทำให้ท้องอืด เกิดอาการจุกแน่น
การออกกำลังกายเร็วเกินไปหลังกินอาหาร เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะทำให้เลือดที่ควรจะไปเลี้ยงระบบย่อยอาหาร ถูกดึงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแทน ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบย่อยไม่เพียงพอ
แก๊สในระบบทางเดินอาหารมาก เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและอัดแก๊สบางชนิด หรือการกินผลไม้หลังกินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันย่อยช้า ผลไม้จึงบูดก่อนที่จะได้ย่อย ทำให้เกิดแก๊สขึ้น
กรดเกินในกระเพาะ เกิดจากความเครียดมีผลกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารบีบรัดตัว ซึ่งเป็นการสร้างกรดในกระเพาะ นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากขึ้น
ปรับนิสัยการกินแก้อาการอาหารไม่ย่อย ปรับนิสัยการกินและเปลี่ยนอาหารบางอย่าง อาจช่วยให้อาการอึดอัดแน่นท้องที่เป็นบ่อยๆ หายได้
ไม่ควรกินอาหารให้อิ่มเกินไป เว้นช่วงมื้ออาหารให้ห่างกันนานกว่า 4 ชั่วโมง ควรกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
อย่าดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้ว ระหว่างกินอาหาร
ควรเลิกกินอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรกินในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่กินได้น้อยหรือแพ้อาหารบางชนิด ให้กินวิตามินและเกลือแร่รวมเสริมได้
ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรืออัดแก๊ส อาการจุกแน่นลิ้นปี่ เป็นสัญญาณของหลายโรคอย่างที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งนี่เป็นข้อมูลเพียงเบื้องต้น ถ้าใครมีอาการผิดปกติข้างต้น เป็นบ่อย ๆ แล้วไม่หายสักที ก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจรักษา
ขอบคุณเพื่อนทุกท่านที่แวะมา หวังให้ทุกท่านมีสุขภาพดี
บล็อคนี้อยู่ในหมวดสุขภาพค่ะ
|