พบก่อน รักษาหาย ไม่แพร่กระจาย
วันที่ 24 มีนาคมของทุกปีเป็น วันวัณโรคโลก ปีนี้ มีคำขวัญในการรณรงค์ว่า เมืองไทยปลอดวัณโรค องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรง และได้คาดว่าสถานการณ์วัณโรคของประเทศไทย น่าจะมีผู้ป่วยวัณโรคทุกชนิดทั้งรายเก่าและใหม่ ประมาณ 110,000 ราย หรือ 161/100,000 ประชากร ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น ประมาณ 86,000 รายต่อปี หรือ 124/100,000 ประชากร และอัตราตาย (Mortality) 14/100,000 ประชากร หรือประมาณ 9,800 ราย สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยสถิติคนไทยป่วยเป็นวัณโรคเพิ่มขึ้นสูง หวั่นคนไทยกินยาไม่ต่อเนื่องทำให้เชื้อดื้อยา เผย 4 แนวทางมาตรการการป้องกันรักษาและควบคุมโรค ค้นให้พบ จบด้วยหาย ตายน้อยกว่า 5 ขาดยาเป็น 0 วัณโรค ไม่ไกลตัวอย่างที่คิด 1 ใน 3 ของคนไทยมีเชื้อวัณโรคอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ที่มีเชื้อวัณโรคจะมีโอกาสป่วยเป็นวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่กระจายผ่านอากาศที่เราสูดหายใจเข้าออกได้ทุกวินาที ดังนั้น อย่านิ่งนอนใจ ...พบก่อน รักษาหาย ไม่แพร่กระจาย "พบก่อน" วัณโรค (Tuberculosis หรือ TB) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium Tuberculosis ทำให้มีการอักเสบในปอด หรือในอวัยวะอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง กระดูก ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางการไอ จาม พูด ทุกคนจึงมีโอกาสได้รับเชื้อวัณโรคได้ตลอดเวลา ดังนั้น เราควรหมั่นสังเกตตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ต้องไปพบแพทย์โดยทันที อาการของวัณโรค
ผู้ติดเชื้อวัณโรคปอดมักจะค่อย ๆ ป่วยด้วยอาการของวัณโรคปอดดังต่อไปนี้ * มีอาการอ่อนเพลีย * บางครั้งอาจะมีมีอาการเบื่ออาหาร และมีน้ำหนักลด * อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว หรือเป็นไข้ต่ำ ๆ ตอนบ่าย * มีเหงื่อออกตอนกลางคืน * มีอาการไอ โดยระยะแรก ๆ ไอแห้ง ๆ ต่อมาจึงมีเสมหะ และไอมากเวลาเข้านอน หรือตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังอาหาร อาการไอจะเรื้อรังเป็นเดือน แต่บางคนอาจไม่มีอาการใดเลยก็ได้ * ผู้ป่วยอาจรู้สึกแน่นหรือเจ็บหน้าอก โดยที่ไม่มีอาการไอ * ในรายที่เป็นมาก อาจจะมีอาการหอบ หรือไอเป็นเลือดก้อนแดง ๆ หรือดำ ๆ แต่น้อยรายที่จะมีเลือดออกมากถึงกับช็อค * ในรายที่เป็นน้อย ๆ อาจไม่มีอาการอะไรเลย และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการเห็นจุดในปอดบนภาพถ่ายเอกซเรย์ * ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเป็นไข้นานเป็นเดือน โดยไม่รู้สาเหตุ * ในกรณีที่เกิดในเด็ก อาการมักจะรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กไม่มีภูมิคุ้มกัน
"รักษาหาย" วัณโรค สามารถรักษาให้หายขาดได้ ปัจจุบันมียารักษาวัณโรคหลายชนิดที่ให้ผลดี ทั้งนี้ การรักษาจะได้ผลดีต่อเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีวิตามิน เพื่อช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค "ไม่แพร่กระจาย" ถึงแม้วัณโรคจะยังเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง แต่ถ้าเราหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง ตลอดจนดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องถูกต้อง ก็จะช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจาย และทำให้โรคนี้หมดไปจากประเทศไทยได้ในเร็ววัน การปฏิบัติตนเมื่อเป็นวัณโรค หลีกเลี่ยงการไอ จาม รดกัน ควรปิดปากและจมูกด้วยทิชชูทุกครั้งเมื่อไอหรือจาม บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิด แล้วทำลายโดยการต้มหรือเผา เช่น การนำภาชนะไปตั้งไฟให้เดือดอย่างน้อย 5 นาที หรือแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ แยกข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน อาหาร ช้อนส้อม ไม่ใช้รวมกับผู้อื่นโดยเฉพาะเด็ก รวมทั้งแยกห้องนอนด้วย จนกว่าจะแน่ใจว่ารักษาหายดีแล้ว ควรใช้ช้อนกลางในการตักกับข้าวรับประทานอาหาร ช้อน จาน ชาม ของผู้ป่วยควรต้มในน้ำเดือด พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีแสงแดดส่องถึง หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดดบ่อยๆ รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ และจำเป็นต้องรับประทานจนครบ เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว อย่าตัดสินใจหยุดยาเอง เพราะเชื้อวัณโรคยังไม่ตายหมด อาจทำให้เชื้อเกิดดื้อยา กลับกำเริบขึ้นอีกได้ ต้องสังเกตอาการข้างเคียงของยาไว้ด้วย และแจ้งกับแพทย์หากพบว่ามีเกิดขึ้น เช่น ผื่นตามตัว จุกเสียด แน่นท้อง ตัวเหลืองตาเหลือง ตามองเห็นไม่ชัด เป็นต้น ถ้ามีอาการดังกล่าวควรหยุดยาทันที และพบแพทย์ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ เพราะมีผลเร่งให้อาการเป็นมากขึ้น ตับทำงานแย่ลง และอาจเกิดการแพ้ยาได้ง่าย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้ตามปกติ ผู้เป็นวัณโรคควรลาหยุดงานและอยู่ห่างๆ จากผู้อื่น จนกว่าจะครบ 2 สัปดาห์นับตั้งแต่เริ่มต้นรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งหากสภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้วก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตกับผู้อื่นได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหยุดงาน เนื่องจากมีโอกาสแพร่เชื้อได้น้อยมาก ไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอทุกครั้ง สำหรับคนที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้ที่เป็นวัณโรค
ประการแรกคือต้องแนะนำให้ผู้ที่เป็นวัณโรคเข้ารับการรักษาตัวอย่างถูกต้องจากแพทย์ และดูแลให้เขารับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็นช่วงระหว่างรับการรักษา ไม่มีความจำเป็นต้องหลีกหนี ถอยห่าง หรือรังเกียจผู้ที่เป็นวัณโรคที่กำลังรับการรักษา เพราะหากเขารับประทานยาตามกำหนดแล้ว เชื้อจะถูกทำลายและมีโอกาสแพร่เชื้อน้อยมาก ผู้อยู่ใกล้ชิดในบ้านเดียวกับผู้ป่วยทุกคนควรไปให้แพทย์ตรวจ และอาจจำเป็นต้องรับประทานยาป้องกันวัณโรค เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน BCG ป้องกันวัณโรค และแยกออกห่างจากผู้ที่เป็น
-
การป้องกันตัวเองสำคัญที่สุด 1. ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) ในเด็ก และบุคคลที่แสดงผลลบต่อการทดสอบทูเบอร์คูลิน (Tuberculin test) เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันวัณโรค ในปัจจุบันตามโรงพยาบาลต่าง ๆ จะทำการฉีดวัคซีนนี้ให้แก่เด็กตั้งแต่แรกเกิด 2. ในคนที่สัมผัสโรค โดยเฉพาะในเด็กเล็กหรือทารก แพทย์อาจให้ ไอเอ็นเอชกินป้องกันเป็นเวลา 1 ปี 3. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการหมั่นออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบหมู่ 4.ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและเอกซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ 5.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อวัณโรค เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ติดยาเสพติด หมั่นดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยง
บล็อคนี้อยู่ในหมวดสุขภาพค่ะ
Create Date : 22 มีนาคม 2556 |
Last Update : 24 มีนาคม 2556 23:19:38 น. |
|
70 comments
|
Counter : 5733 Pageviews. |
|
|