โบทูลิซึม โรคจากพิษปนเปื้อนในอาหาร นมปนเปื้อน และนมผงปนเปื้อน
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2556 บริษัทฟอนเทียรา (Fonterra) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารนมอันดับ 4 ของโลก และอันดับ 1 ของนิวซีแลนด์ออกมาขอโทษประชาชนทั่วโลกเป็นครั้งแรก หลังเกิดกรณีพบการปนเปื้อนของแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดโรคโบทูลิซึมในนมผง ซึ่งทำให้บริษัทดูเม็กซ์ ต้องเรียกคืนผลิตภัณฑ์เฉพาะรุ่นในประเทศไทย ที่อาจได้รับผลกระทบจากวัตถุดิบดังกล่าว
เนื่องจากฟอนเทียรา ที่นิวซีแลนด์ เป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบผลิตภัณฑ์นมให้บริษัทดูเม็กซ์ ประเทศไทย ดังนั้นจึงมีนมผงดูเม็กซ์ บางรุ่น มีส่วนผสมที่กำลังเป็นปัญหานี้อยู่ด้วย ทางดูเม็กซ์ฯ จึงออกประกาศเรียกคืนผลิตภัณฑ์เฉพาะรุ่น ดังนี้
ดูโปร สูตร 2 ผลิตขึ้นในระหว่างวันที่ 29.04.2013 ถึง 28.06.2013 / วันที่หมดอายุในระหว่างวันที่ 29.10.2014 ถึง 28.12.2014
ไฮคิว สูตร 1 ผลิตขึ้นในระหว่างวันที่ 09.05.2013 ถึง 15.07.2013 / วันที่หมดอายุในระหว่างวันที่ 09.11.2014 ถึง 15.01.2015
ไฮคิว สูตร 2 ผลิตขึ้นในระหว่างวันที่ 29.04.2013 ถึง 25.06.2013 / วันที่หมดอายุในระหว่างวันที่ 29.10.2014 ถึง 25.12.2014
ไฮคิว ซูเปอร์โกลด์ สูตร 1 ผลิตขึ้นในระหว่างวันที่ 11.05.2013 ถึง 14.06.2013 / วันที่หมดอายุในระหว่างวันที่11.11.2014 ถึง 14.12.2014
ไฮคิว ซูเปอร์โกลด์ สูตร 2 ผลิตขึ้นในระหว่างวันที่ 11.05.2013 ถึง 28.06.2013 / วันที่หมดอายุในระหว่างวันที่ 11.11.2014 ถึง 28.12.2014
หากผู้บริโภคมีนมผงดูเม็กซ์ 5 รุ่น และมีรายละเอียดตามข้อมูลข้างต้น ควรหยุดบริโภคผลิตภัณฑ์ทันที กรณีเพิ่งซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ บริษัทดูเม็กซ์ ประกาศว่าจะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่อาจได้รับผลกระทบโดยปราศจากเงื่อนไข ถ้าเด็กและทารกมีอาการผิดปกติจากการดื่มนมดังกล่าว พ่อแม่ควรรีบพาพบแพทย์ และบริษัทดูเม็กซ์จะความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
โรคโบทูลิซึมคืออะไร
โรคโบทูลิซึม Botulism เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อ Clostridium Botulinum หรือที่ครั้งหนึ่งเชื้อโรคนี้เคยระบาดในชื่อ โรคหน่อไม้พิษ โรคหน่อไม้ปี๊บ โรคพิษหน่อไม้ปี๊บ เชื้อโรคโบทูลิซึมพบได้ตามแหล่งดินทราย และแหล่งน้ำตามธรรมชาติทั่วไป ซึ่งเชื้อโรคโบทูลิซึมมีลักษณะเป็นสปอร์ที่ปลิวไปในอากาศ จึงสามารถปนเปื้อนได้ในธรรมชาติทั่วไป แหล่งอาหารที่เป็นพืช สัตว์ รวมถึงแหล่งน้ำ และหากไม่ผ่านกรรมวิธีที่สะอาดและปลอดภัยในการนำมาผลิตเป็นอาหาร ก็จะเกิดการบ่มเพาะเชื้อที่ทำให้เกิดพิษเมื่อนำมาบริโภค เชื้อโบทูลินั่มเจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้นและไม่มีอากาศ เชื่อว่าพิษโบทูลิซึมเพียง 1 กรัมสามารถฆ่าคนได้เป็นล้านคน
โรคโบทูลิซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร
1. เชื้อโรคโบทาลิซึมปนเปื้อนในอาหาร เชื้อโรคโบทูลิซึมอาจจะปนเปือนในผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่บรรจุในภาชนะมิดชิด ซึ่งในระหว่างกระบวนการผลิตไม่มีมาตรฐาน ไม่มีการตรวจสอบที่รัดกุม หรือไม่มีความปลอดภัยมากพอจึงทำให้ยังมีเชื้อโรคโบทูลิซึมยังปนเปื้อนในอาหาร และปล่อยพิษออกมาเมื่อนำมาบริโภค รวมถึงอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคโบทูลิซึมในวัตถุดิบที่นำมาผลิตอาหาร ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบก่อน จึงอาจทำให้มีเชื้อตกค้างและทำให้เกิดพิษได้เช่นกัน
2. เชื้อโรคโบทูลิซึมเข้าทางบาดแผล การได้รับเชื้อแบบนี้จะต้องเป็นบาดแผลที่ค่อยข้างลึกและแคบ ซึ่งทำให้ออกซิเจนเข้าไปในบาดแผลได้ยาก ซึ่งส่วนใหญ่การได้รับเชื้อโรคโบทูลิซึมด้วยวิธีนี้จะได้รับมาพร้อมกับการเกิดบาดแผล เช่น การบาดเจ็บจากการโดนไม้แหลมทิ่มเข้าเนื้อ หรือบาดแผลสัมผัสกับดินหรือน้ำที่มีเชื้อโรคโบทูลิซึมอยู่ก่อนแล้วจึงสามารถซึมเข้าสู่ร่างกายได้
โรคโบทูลิซึมมีอาการอย่างไร
ผู้ที่ได้รับเชื้อโรคโบทูลิซึมจะแสดงอาการของโรคเมื่อได้รับเชื้อไปแล้วประมาณ 8 36 ชั่วโมง หรือบางรายอาจจะแสดงอาการเร็วกว่านี้ จะมีอาการดังต่อไปนี้
* แรกเริ่มจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง บางคนอาจมีอาการท้องเดินร่วมด้วย
* อิดโรย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ มึนงง หนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น ตาพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด เห็นภาพซ้อน การตรวจดูรูม่านตา จะพบรูม่านตาขยายหรือไม่หดเล็กเมื่อถูกไฟส่อง
* กระหายน้ำ ปากแห้ง คอแห้ง เจ็บคอ กลืนลำบาก พูดไม่ชัด หรือตะกุกตะกัก
* ในรายที่รุนแรง จะมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แขนขาเป็นอัมพาต กล้ามเนื้อหน้าอก หน้าท้อง และกะบังลมอ่อนแรงทำให้หายใจขัด และหยุดหายใจ
*สำหรับทารกที่กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคโบทูลิซึม จะมีอาการแรกเริ่ม คือ ท้องผูก ต่อมาจะมีอาการง่วงซึม เฉยเมย ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร หนังตาตก กลืนลำบาก ร้องไม่มีเสียง คอพับคออ่อน เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก แขนขาเป็นอัมพาต ถ้าเป็นรุนแรงจะมีอาการหายใจลำบาก และหยุดหายใจในที่สุด
อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กที่ได้่รับเชื้อโรคโบทูลิซึม
การรักษาโรคโบทูลิซึม
หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัวตลอดทั้งวัน เริ่มกลืนไม่ได้ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจได้รับเชื้อโบทูลิซึม และควรรีบพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะดูแลอาการและรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- เบื้องต้นจะต้องทำให้พิษออกจากร่างกายให้มากและเร็วที่สุด โดยการทำให้อาเจียน ล้างท้อง หรือสวนทวาร
- หากแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มจะได้รับพิษมากและลุกลามรุนแรง แพทย์จะฉีดเซรุ่มต้านพิษโบทูลิซึม ซึ่งควรฉีดภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีอาการ ซึ่งเซรุ่มจะทำลายพิษที่หลงเหลืออยู่ในเลือด
- แพทย์จะให้การดูแลรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้สารน้ำหรือสารอาหารทางหลอดเลือดดำคาสายสวนปัสสาวะ
- ผู้ป่วยที่หายใจลำบากหรือไม่สามารถหายใจเองได้ จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อป้องกันภาวะหยุดหายใจกะทันหัน
- สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง จะต้องทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง
อาหารกระป๋อง ควรตรวจสอบวันหมดอายุ สี กลิ่นที่ผิดปกติ และควรนำมาปรุงด้วยความร้อนก่อนทาน
ควรปรุงอาหารให้สุกด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสเพื่อทำลายพิษที่ปนเปื้อน
การป้องกันโรคโบทูลิซึม
- การรับประทานอาหารกระป๋อง ควรนำอาหารออกจากกระป๋อง ใส่ภาชนะอื่นๆ และนำมาปรุงเพื่อผ่านความร้อนฆ่าเชื้อก่อนรับประทาน ไม่ควรชิมอาการกระป๋องหลังจากเปิดกระป๋องทันที และควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารกระป๋องที่เมื่อเปิดกระป๋องแล้วพบว่ามีฟองก๊าซ หรือมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ รวมถึงอาหารกระป๋องที่กระป๋องบุบ หมดอายุ
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารบรรจุกระป๋อง ปี๊บ หรือขวดแก้วที่ผลิตแบบอุตสาหกรรมในครัวเรือนอย่างไม่ถูกกรรมวิธี หรือดูแลไม่สะอาดปลอดภัย
- ปรุงอาหารให้สุกด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หรือทำให้เดือดนานอย่างน้อย 10 นาที เพื่อทำลายพิษที่อาจปนเปื้อนอยู่ในอาหาร
- หากต้องการเก็บอาหารที่ทานเหลือ ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และก่อนทานควรอุ่นให้ร้อน
- เมื่อมีบาดแผลสกปรก ปนเปื้อนดินทราย ควรรีบทำควรสะอาดแผลด้วยยาฆ่าเชื้อ และต้องให้มั่นใจว่าไม่มีเศษดินหรือสิ่งสกปรกตกค้างในบาดแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- สำหรับทารก หากพ่อแม่ต้องการเปลี่ยนอาหาร หรือให้อาหารอื่นเพิ่มให้ทารก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะอาหารบางชนิดอาจมีเชื้อโบทูลิซึมปนเปื้อน เช่น น้ำผึ้ง หรือนมผง
ทางที่ดีก็ควรทานอาหารที่ทำสดใหม่ดีกว่า
ทารกควรทานนมแม่ดีที่สุด
ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง
บล็อคนี้อยู่ในหมวดสุขภาพค่ะ
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
pantawan Health Blog ดู Blog
โหวตค่ะ น้องปาน