ราคาน้ำมันปีหน้า มีแนวโน้มทรงตัว แต่ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีแรกจะปรับขึ้น
. . .
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะรัฐบาลเร่งเยียวยาเศรษฐกิจภายในครึ่งปีแรก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการแก้ไขและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลควรมุ่งเน้นเป้าหมายหลัก 4 ประการ คือ การกอบกู้เศรษฐกิจให้รอดพ้นจากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย, การเยียวยาภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา, การเรียกความเชื่อมั่นจากนานาประเทศให้กลับคืนมา, และการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
ในการดำเนินการทั้งหมดนี้ หัวใจสำคัญขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยสูญเสียโอกาสมานานหลายปีในระหว่างตกอยู่ภายใต้ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยให้ย่ำอยู่กับที่หรืออาจก้าวถอยหลัง ในขณะที่ประเทศคู่แข่งของไทยแข่งขันกันวิ่งไปข้างหน้า
ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยทางการเมืองจึงจะเป็นตัวแปรหลัก เนื่องจากในทางหนึ่งเสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นตัวช่วยทางเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ในทางกลับกันปัญหาความรุนแรงทางการเมืองจะเป็นตัวถ่วงที่ยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วงอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ประสิทธิผลของมาตรการเยียวยาปัญหา และกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีความหมายสำคัญอย่างยิ่งยวดในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ที่ปัญหาต่างๆ จะสะท้อนภาพที่เลวร้ายออกมามากขึ้น
จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทยยากที่จะหลีกพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession: ตามนิยามโดยทั่วไปหมายถึง ภาวะที่อัตราการขยายตัวของจีดีพีเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้าหดตัวติดต่อกันสองไตรมาส) เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2551 จะหดตัวลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Seasonally adjusted QoQ) และคงจะหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่ 1/2552 [แต่สำหรับอัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คาดว่าจะยังคงเป็นบวกในไตรมาสที่ 4/2551 แต่จะติดลบในไตรมาสที่ 1/2552]
มาตรการเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะถดถอยได้เร็วขึ้นคือในไตรมาสที่ 2/2551 ซึ่งหากไม่มีแรงกระตุ้นจากภาครัฐก็มีโอกาสที่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลากยาวออกไป การใช้จ่ายเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงนับเป็นความจำเป็นเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ซึ่งจะยิ่งต้องใช้เวลายาวนานและเผชิญความยากลำบากในการแก้ไขมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดในด้านเสถียรภาพการคลัง การขาดดุลงบประมาณควรต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อสถานะการคลังในระยะปีต่อๆ ไปด้วย รวมทั้งการดำเนินโครงการต่างๆ ควรต้องมุ่งให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูงสุด
. . .
ราคาน้ำมันปีหน้า มีแนวโน้มทรงตัว แต่ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีแรกจะปรับขึ้น ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติ
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้แนวโน้มราคาน้ำมันปี 2552 มีทิศทางปรับลดลงเมือเทียบกับราคาเฉลี่ยปี 2551 โดยคาดกันว่า ราคาน้ำมันดิบปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติในครึ่งแรกของปีจะยังคงอยู่ในราคาสูง เพราะราคาจะผันแปรตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6-12 เดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าในงวดครึ่งแรกของปีที่จะขยับขึ้นอีก แต่ครึ่งหลังของปีราคาก๊าซบางแหล่งจะปรับลดลงได้ แต่จะเป็นอัตราใดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ เรคกูเลเตอร์ จะพิจารณา
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ที่จะเริ่มเดือนมกราคมนี้จะปรับสูงขึ้นอีก ซึ่งทางเรคกูเลเตอร์กำลังเกลี่ยต้นทุนไม่ให้ปรับเพิ่มสูงขึ้นไปมากนัก ซึ่งอาจะมีผลให้ กฟผ. ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยจากค่าเอฟทีที่เกลี่ยงวดที่แล้ว ส่งผลให้ กฟผ.ต้องรับภาระไปก่อน 2 หมื่นล้านบาทนั้น ทาง กฟผ.ก็จะเตรียมออกพันธบัตรเพื่อแก้ปัญหา โดยในเดือนมกราคมนี้ จะออกพันธบัตรรวม 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นที่คาดกันว่า ค่าเอฟทีงวดใหม่ มกราคม-เมษายนนี้ อาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 20 สตางค์/หน่วย
. . .
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ คาดมีเงินสะพัดปีใหม่ 27,000 ล้านบาท
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยผลสำรวจ พฤติกรรมการฉลองปีใหม่ต้อนรับปี 2552 ของคนกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 8-19 ธันวาคม 2551 จากกลุ่มตัวอย่าง 575 คน อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ครอบคลุมทั้งผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และผู้ที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด โดยกระจายกลุ่มอาชีพ และระดับรายได้ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการเฉลิมฉลองปีใหม่
ทั้งนี้ จากการสำรวจพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด 27,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากคนกรุงเทพฯ ยังเน้นประหยัด และไม่มั่นใจกับปัญหาเศรษฐกิจในปีหน้า โดยคนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างลดค่าใช้จ่ายในการซื้อของขวัญ และการเลี้ยงสังสรรค์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจ คือ แม้ว่าคนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างยังคงให้ความสำคัญการท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เนื่องจากต้องการคลายเครียด แต่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเน้นการท่องเที่ยวแบบประหยัด โดยลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเดินทางท่องเที่ยวทั้ง 2 ประเภทลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยหนุนสำคัญ คือ การที่มีวันหยุดยาวถึง 5 วัน การกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยภาคเอกชนลดราคาที่พัก รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
. . .
กรมการขนส่งทางบกเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ 1584 ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 รองรับการเดินทางของประชาชนในเทศกาลปีใหม่
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ 1584 เพื่ออำนวยความสะดวกและรับเรื่องร้องเรียนการให้บริการของรถสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต 2
โดยศูนย์ดังกล่าวจะดูแลครอบคลุมถึงสถานีรถโดยสารเอกมัย และสายใต้ใหม่ด้วย ซึ่งนายชัยรัตน์ กล่าวว่า การเปิดศูนย์ดังกล่าวเพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบการแก้ไขปัญหาการให้บริการรถสาธารณะแก่ประชาชน โดยผู้ใช้รถสามารถใช้หมายเลข 1584 เป็นสื่อกลางในการร้องเรียนความไม่เป็นธรรมของรถสาธารณะ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ในการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ กรมการขนส่งทางบก ขอให้ผู้เดินทางที่จะโดยสารรถสาธารณะ และรถยนต์ส่วนตัวปฏิบัติตามกฎของความปลอดภัย โดยผู้ใช้รถส่วนตัวต้องมีการตรวจรถก่อนใช้เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อม ไม่ดื่มสุรา ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญต้องรู้จักให้อภัยสำหรับผู้ร่วมเดินทาง เนื่องจากในช่วงเทศกาลจะมีปริมาณการใช้รถจำนวนมากกว่าปกติ ปีนี้กรมการขนส่งทางบก มั่นใจว่าการแก้ไขปัญหาจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีความคล่องตัวมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นวันหยุดหลายวัน ทำให้ประชาชนทยอยเดินทางไม่เกิดการแออัดและกระจุกตัว รวมทั้งความร่วมมือในการรณรงค์ด้านความปลอดภัยจากหลายหน่วยงาน เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาอุบัติเหตุโดยเฉพาะรถสาธารณะมีน้อย
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ในช่วงตลอด 3 วันที่ผ่านมา การร้องเรียนผ่านศูนย์ฯ 1584 พบว่ามีจำนวน 7 ราย ได้แก่ การออกรถไม่ตรงเวลา ไม่รับส่งผู้โดยสารตามจุดหมาย บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนที่นั่ง ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้ลงโทษโดยมีโทษปรับรายละ 4,000-5,000 บาท ทำให้การแก้ไขปัญหาค่อนข้างได้ผล
. . .
Create Date : 29 ธันวาคม 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 29 ธันวาคม 2551 18:11:51 น. |
Counter : 834 Pageviews. |
|
|
|
มาบล็อกนี้ดีจังค่ะ ได้เห็นกราฟราคาทองด้วย
Happy New Year 2009 จ้า
^____^