Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

ปตท.เตรียมขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีจาก 8.50 บาท เป็น 11 บาท มีผล 1 ม.ค.52--ลดค่าโดยสารขสมก.-บขส.

. . .

ปตท.เตรียมขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีจาก 8.50 บาทต่อกก. เป็น 11 บาทต่อ กก. มีผล 1 ม.ค.นี้

นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บมจ.ปตท. กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ลดลงโดยเฉพาะกลุ่มดีเซล ทำให้ ปตท.เสนอปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีจากราคาปัจจุบัน 8.50 บาทต่อกก.เป็น 11 บาทต่อ กก. มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.52 เป็นต้นไป

สาเหตุที่ต้องขึ้นราคา เพราะต้นทุนทั้งระบบการจำหน่ายก๊าซอยู่ในระดับสูง ทำให้ราคาต้นทุนเอ็นจีวีที่แท้จริงอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกก.

โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)มีมติให้ปรับเพิ่มราคาไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ในปี 52 โดยราคาก๊าซเอ็นจีวีจะขึ้นไม่เกินครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันดีเซล การปรับขึ้นราคาเป็น 11 บาทต่อกก. จึงถือว่าเหมาะสม

ทั้งนี้ ตั้งแต่ ปตท. จำหน่ายก๊าซเอ็นจีวี มีปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด โดยปีนี้รับภาระขาดทุน 3,700 ล้านบาท ปี 2550 ขาดทุน 1,900 ล้านบาท และปี 2549 ขาดทุน 1,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ นายณัฐชาติ กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่ลดต่ำมาก ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซเอ็นจีวีทดแทนน้ำมันลดลง โดยปัจจุบันยอดการติดตั้งเอ็นจีวีของรถยนต์อยู่ที่ 150-200 คันต่อวัน จากเดิมที่ในช่วงราคาน้ำมันสูงสุดกว่า 40 บาทต่อลิตร ยอดการติดตั้งระบบก๊าซอยู่ที่ประมาณ 450-500 คันต่อวัน เมื่อยอดการติดตั้งระบบก๊าซลดลง ปตท.จึงจะทบทวนแผนลงทุนทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ภายในปีนี้การเปิดสถานีจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวียังเป็นไปตามแผนเดิม คือ 300 แห่ง จากที่ขณะนี้มี 275 แห่ง ครอบคลุม 44 จังหวัด โดยมีปริมาณความต้องการใช้ 2,800-2,900 ตันต่อวัน

สำหรับแผนการก่อสร้างท่อก๊าซธรรมชาติ เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า และรองรับความต้องการใช้เอ็นจีวี คงต้องชะลอออกไป เพราะความต้องการใช้พลังงานทั้ง 2 ส่วนได้ชะลอลง โดยเฉพาะการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ กระทรวงพลังงานได้ประกาศชะลอออกไป 1 ปี ดังนั้นการก่อสร้างท่อก๊าซจึงไม่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ

โดยโครงการก่อสร้างท่อก๊าซ ปตท.มี 3 เส้นทาง วงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท ตามแผนเดิมคือ 1. สายใต้ ราชบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 22,000 ล้านบาท กำหนดเดิมจะก่อสร้างเสร็จในปี 2554 2. สายอีสาน สระบุรี-โคราช วงเงิน 16,000 ล้านบาท เดิมจะแล้วเสร็จปี 2553 และ 3.สายเหนือ พระนครศรีอยุธยา-นครสวรรค์ วงเงิน 19,000 ล้านบาท ตามแผนเดิมจะเสร็จปี 2554

. . .



คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง สั่งลดค่าโดยสารรถเมล์-รถปอ.-และ บขส.


นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง แถลงว่าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง มีมติอนุมัติปรับลดค่าโดยสารรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว

สำหรับการปรับลดค่าโดยสารครั้งนี้ ประกอบด้วย
รถโดยสารของ ขสมก. และรถร่วมบริการ ลดลง 50 สตางค์
รถธรรมดาสีขาว-น้ำเงิน จาก 8.50 บาท เหลือ 8.00 บาท
รถครีม-แดง จาก 7.50 บาท เป็น 7.00 บาท
รถมินิบัสจาก 7.00 บาท เหลือ 6.50 บาท

ส่วนรถปรับอากาศให้ปรับลดระยะละ 1.00 บาท
รถปรับอากาศครีม-น้ำเงิน จัดเก็บเริ่มต้น 11-19 บาท จากเดิม 12-20 บาท
รถปรับอากาศยูโรทู จัดเก็บเริ่มต้น 12-24 บาท จากเดิม 13-25 บาท
สำหรับรถหมวด 4 ซึ่งเป็นรถโดยสารธรรมดาหรือสองแถว ลดจาก 6.00 บาท เหลือ 5.50 บาท

ส่วนรถโดยสารของ บขส.และรถร่วมบริการ บขส. ลดลง 3 สตางค์/กิโลเมตร โดยมติดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป

นายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมเอกชน กล่าวว่าแม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยกับการให้ลดราคาค่าโดยสาร แต่ก็ต้องยอมรับตามมติดังกล่าว ส่วนแนวโน้มถ้าจะมีการลดค่าโดยสารลงตามราคาน้ำมันอีก นายฉัตรชัย กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกอบการไม่เห็นด้วย เนื่องจากขณะนี้ผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 90 จากจำนวนรถร่วมรวมกัน 3,493 คัน ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เอ็นจีวี

ซึ่งต้องสั่งนำเข้ารถมาจากต่างประเทศ และต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินรวมแล้วประมาณ 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ประมาณ 2-3 ปีต่อราย
และรายจ่ายที่เป็นต้นทุนก็ไม่ใช่เฉพาะราคาน้ำมัน แต่ยังมีค่าสึกหรอ ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจากเครื่องยนต์ดีเซลที่ต้องเปลี่ยนทุก 45 วัน เป็นทุก 30 วัน เมื่อเป็นเครื่องยนต์เอ็นจีวี เนื่องจากเครื่องยนต์เอ็นจีวี จะต้องเสียค่าบำรุงรักษามากกว่าเครื่องยนต์ดีเซล จึงต้องการให้ภาครัฐเห็นใจผู้ประกอบการ และนำต้นทุนที่นอกเหนือจากราคาน้ำมันมาพิจารณาด้วย

นายฉัตรชัยกล่าวว่า ช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ผู้ประกอบการต้องการประหยัดต้นทุน รัฐบาลก็สนับสนุนให้เปลี่ยนมาใช้รถโดยสารเอ็นจีวี เพราะต้องการประหยัดต้นทุน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการเปลี่ยนรถเพื่อให้ผู้โดยสารได้ใช้รถใหม่ มีความปลอดภัย แต่เมื่อราคาน้ำมันดีเซลลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการก็ยังมีหนี้ที่ต้องชำระให้สถาบันการเงิน เนื่องจากกู้เงินมาซื้อรถใหม่ หากภาครัฐจะให้เอกชนลดค่าโดยสารลงอีก จะเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการมากขึ้น

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ที่ไม่มีการปรับลดอัตราค่าโดยสารของรถตู้นั้น เนื่องจากเป็นเพียงช่องทางเลือกให้ประชาชนได้ใช้โดยสาร แต่ในส่วนของราคาได้มีการควบคุมไว้ ส่วนรถจักรยานยนต์รับจ้างเป็นการควบคุมของเขตพื้นที่แต่ละพื้นที่ และตำรวจในการควบคุมดูแลราคา

. . .



ตลาดหุ้นไทยบวกต่ออีก 8 จุด ระวังแรงขายทำกำไรช่วงดัชนี 450


การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนยังสดใสต่อเนื่อง หลังมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล และคาดหวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น

ดัชนีปิดที่ 445.31 จุด เพิ่มขึ้น 8.25 จุด หรือร้อยละ 1.89 มูลค่าการซื้อขาย 21,582 ล้านบาท

นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 756 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 510 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 246 ล้านบาท

น.ส.ปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการเมืองในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ส่วนปัจจัยจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีทั้งบวกและลบไม่มีผลมากนัก โดยนักลงทุนสถาบันเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของตลาดตั้งแต่วันที่ 1-15 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันมียอดซื้อสุทธิรวม 8,400 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังเป็นฝ่ายขายสุทธิ 9,700 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 17 ธ.ค. น.ส.ปองรัตน์ กล่าวว่า อาจเข้าสู่ช่วงพักตัว หรือดัชนีเคลื่อนไหวทรงตัว เพราะหลังดัชนีเพิ่มขึ้นเกือบระดับ 450 จุด จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมา แต่ระยะสั้นดัชนีคงไม่อ่อนตัวมากนัก เนื่องจากได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยจากร้อยละ 1.00 เหลือร้อยละ 0.50 ส่วนโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจนั้น คงไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจมากนัก เพราะตลาดรับรู้ล่วงหน้าแล้ว

. . .



ชี้วิกฤติอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ กระเทือนอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยหนัก คาดยอดขายในประเทศและยอดส่งออกปี 52 ลดลง 5-14%


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า จากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯเริ่มเข้าสู่วิกฤติ หลังแผนช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์แก่ค่ายบิ๊กทรีได้แก่ จีเอ็ม ไครสเลอร์ และฟอร์ดมูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯไม่ผ่านความเห็นชอบในขั้นวุฒิสภา คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเนื่องมายังอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ และมีผลต่อเนื่องมาถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยด้วย

แม้จะเป็นที่คาดการณ์ว่าในที่สุดแล้วทางการสหรัฐจะอนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ดังกล่าว แต่หากปัญหาและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาด หรือมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวออกมาช้าเกินไปหรือน้อยเกินไปแล้ว ผลกระทบในวงกว้างก็ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง

ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่มีหลายค่ายรถเข้ามาลงทุน และมีกำลังการผลิตอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก และอันดับ 5 ของเอเชีย ย่อมจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม หากค่ายบิ๊กทรีต้องประสบปัญหาถึงขั้นล้มละลาย แต่ผลกระทบจะมากหรือน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับระดับการดำเนินธุรกิจร่วมกับทั้ง 3 ค่าย
ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการแนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2552 อาจลดลงมาต่ำกว่า 600,000 คัน ซึ่งอาจจะอยู่ที่ประมาณ 540,000-580,000 คัน หรือลดลงร้อยละ 5.8-12.3 จากปี 2551 ที่คาดว่ายอดขายจะลดลงร้อยละ 2.4

ยอดการส่งออกรถยนต์คาดว่าจะหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไทยมีการส่งออกรถยนต์มาในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อภาวะตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวรุนแรงตามทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2552 คาดว่าอาจจะหดตัวร้อยละ 5-14 จากที่ขยายตัวร้อยละ 14 ในปี 2551

การที่บริษัทแม่ในสหรัฐมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และสถานะการแข่งขัน อาจทำให้ต้องมีปรับโครงสร้างกำลังการผลิตของบริษัทลูกในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้แผนการผลิตและลงทุนเพิ่มเติมต้องหยุดชะงักลง ซึ่งอาจส่งผลตามมาต่อการจ้างงานในระบบการผลิต และท้ายที่สุดจะกระทบกับเป้าหมายของแผนแม่บทอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ที่วางไว้ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศให้ได้ถึง 2 ล้านคัน ภายในปี 2554

โดยคาดว่าจากความรุนแรงของสถานการณ์ตลาดรถยนต์โลกโดยรวมไม่เพียงแต่ค่ายบิ๊กทรีที่ได้ส่งผลให้มีการเลื่อนแผนการลงทุนต่างๆ ของค่ายรถยนต์หลายค่ายทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่จะมีผลทำให้การบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยต้องล่าช้าออกไป โดยที่ระยะเวลาจะยาวนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของสภาพตลาดรถยนต์โลก ส่วนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ คาดว่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงเช่นเดียวกัน


. . .




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551
1 comments
Last Update : 16 ธันวาคม 2551 20:43:59 น.
Counter : 683 Pageviews.

 

หลอกให้ประชาชนติดตั้ง แล้วก้อมาหักหลังกันทีหลัง ถ้าให้ข้อมูลที่เป็นความจริงตั้งแต่แรก คงไม่ยอมเสียเงินก้อนไปติดหรอก ทนใช้น้ำมันดีกว่า ได้อีกตั้งหลายปีที่เราเอาค่าติดตั้งมาเติมน้ำมันน่ะ พอติดก้อขึ้น

 

โดย: dd@hotmail.com IP: 202.143.146.4 22 ธันวาคม 2551 11:21:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.