ไอซ์แลนด์ยึดแบงก์โคปทิง--สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ยืนยันฐานะมั่นคง--ธ.กลางทั่วโลกลดดอกเบี้ย...หุ้นฟื้น 1%
. . .
ไอซแลนด์เข้ายึดแบงก์ใหญ่สุดของประเทศแล้วเพื่อปกป้องระบบธนาคาร
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานกำกับดูแลการเงิน (Financial Supervisory Authority) ของไอซแลนด์(Iceland) ได้เข้ายึดธนาคารโคปทิง (Kaupthing) ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อปกป้องระบบธนาคาร และผู้ฝากเงิน โดย เงินฝากในประเทศที่ธนาคารแห่งนี้จะได้รับการค้ำประกันทั้งหมด และระบบธนาคารภายในประเทศจะสามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ธนาคารโคปทิง (Kaupthing) เปิดเผยว่า คณะกรรมการของทางธนาคารได้ลาออก ขณะที่ทางการไอซแลนด์เข้าควบคุมธนาคาร ซึ่งทำให้ระบบธนาคารของไอซแลนด์ตกอยู่ในความควบคุมของรัฐเกือบทั้งหมด โดยทางการได้เข้าควบคุมกิจการของธนาคารใหญ่อันดับ 2 และอันดับ 3 คือ แลนด์สแบงกี (Landsbanki) และ กลิตนีร์แบงก์ (Glitnir) ไว้แล้วก่อนหน้านี้ และโคปทิงเป็นธนาคารของไอซแลนด์รายที่ 3 ที่ถูกยึดกิจการโดยรัฐบาล นับตั้งแต่ที่วิกฤตการเงินทวีความรุนแรงขึ้น
. . .
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เตือน ยังจะมีแบงก์ล้มอีก นาย เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ว่า จะมีสถาบันการเงินสหรัฐฯ ล้มละลายเพิ่มอีก พร้อมชี้ด้วยว่า วิกฤติการเงินที่เกิดขึ้น "ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง" ต่อระบบเศรษฐกิจ นายพอลสัน เตือนว่า แผนกอบกู้ภาคการเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่า การล้มละลายสิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนี้ แผนการดังกล่าวยังต้องใช้เวลาอีกหลายอาทิตย์กว่าจะเข้าที่เข้าทาง
แม้จุดประสงค์สำคัญของแผนกอบกู้ภาคการเงินฉบับนี้ คือ การอนุญาตให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เข้าซื้อหนี้เสียที่บริษัทต่างๆ ถือครองอยู่ แต่พอลสันก็กล่าวว่า "จะต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ก่อนจะเริ่มซื้อหนี้เสีย ขณะที่วิกฤตการเงินสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทั่วโลก พอลสันเรียกร้องให้กลุ่มประเทศจี 20 จัดประชุมวาระพิเศษ เพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพในระบบการเงิน ควบคู่กับการประชุมของกลุ่มจี 7 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ในวันที่ 10 ต.ค.นี้
" ผมขอย้ำว่าตลาดการเงินสหรัฐ และทั่วโลกยังคงอยู่ในสภาพที่ตึงตัวมาก ในช่วงสุดสัปดาห์นี้เราจะมีการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่ม G7 การประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และการประชุมธนาคารโลก ซึ่งเชื่อว่าวาระการประชุมจะชูประเด็นวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อเป็นวาระหลัก " กลุ่มประเทศจี 20 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 เพื่อเป็นเวทีหารือร่วมกันระหว่างประเทศร่ำรวย และประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยประเทศร่ำรวยในกลุ่มจี 7 (สหรัฐฯ, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, อิตาลี และแคนาดา), ประเทศต่างๆ ในประชาคมยุโรป ตลอดจนอาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เม็กซิโก, รัสเซีย, แอฟริกาใต้, เกาหลีใต้ และตุรกี . . .
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนรัฐบาลปรับนโยบายการเงินการคลัง รองรับวิกฤติการเงินโลก และควรดำเนินนโยบายดอกเบี้ยให้ยืดหยุ่นและผ่อนคลาย
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า การประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25-0.50 ของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก (มีตารางประกอบ) นับเป็นมาตรการก้าวสำคัญของผู้กำหนดนโยบายการเงินทั่วโลกเพื่อรับมือกับวิกฤติการทางการเงิน ซึ่งถูกคาดว่าจะมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบเกือบ 80 ปี
นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงระดับความกังวลที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของธนาคารกลางทั่วโลกต่อความเสี่ยงของโอกาสการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าของความสูญเสียรวมที่อาจเกิดขึ้นมีขนาดที่ใหญ่มาก ซึ่งตัวเลขประมาณการล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) อยู่ที่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประกอบกับผลกระทบของวิกฤติการเงินในรอบนี้แผ่ขยายออกไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในสหรัฐฯ
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยร่วมกันของธนาคารกลางทั่วโลก อาจยังไม่นำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของวิกฤติการเงินในรอบนี้ เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวยังไม่เพียงพอและไม่ใช่มาตรการที่เบ็ดเสร็จ ในการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลก
และเมื่อพิจารณาไปถึงสถานการณ์ที่อาจต้องเผชิญต่อไป อาทิ ปัญหาความอ่อนแอของสถาบันการเงิน ซึ่งอาจยังคงทำให้กลไกการทำงานของตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดสินเชื่อ ยังคงไม่สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างเต็มที่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงมาตรการในการเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา น่าจะถูกทยอยประกาศออกมาในระยะถัดไป
สำหรับผลกระทบต่อไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า นโยบายเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทย ควรจะต้องยืดหยุ่นและผ่อนคลายมากขึ้น ทางการไทยควรเร่งหยิบยกประเด็นในเรื่องนโยบายการเงินและการคลังที่สอดรับกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกขึ้นมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน เพื่อเตรียมรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจยาวนานกว่าที่เคยประเมินไว้
เพราะหากไม่มีมาตรการ หรือการดำเนินการที่เหมาะสมในการรองรับภาวะวิกฤติดังกล่าวแล้ว ปัญหาที่เริ่มแรกเกิดขึ้นภายนอกประเทศ ก็อาจจะทวีความรุนแรงและความซับซ้อนมากขึ้น จนส่งผลให้เศรษฐกิจและภาคการเงินของไทยอาจตกอยู่ในความอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้ทางการไทยประสบกับความยากลำบากหรือต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมากในการที่จะเยียวยาแก้ไขปัญหาดังกล่าว การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ
วันที่ ประเทศ ก่อนปรับ หลังปรับ ลดลง (%) 7 ต.ค. 51 ฮ่องกง 2.50 2.00 0.50 8 ต.ค. 51 สหรัฐ(FED) 2.00 1.50 ยุโรป(ECB) 4.25 3.75 อังกฤษ 5.00 4.50 แคนาดา 3.00 2.50 สวีเดน 4.75 4.25 จีน 7.20 6.93 0.27 ไทย 3.75 3.75 - 9 ต.ค. 51 ไต้หวัน 3.50 3.25 0.25 เกาหลีใต้ 5.25 5.00
. . .
ธปท.ย้ำระบบการเงินมีสภาพคล่องส่วนเกินมากกว่า 1 ล้านล้านบาท
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยอาวุโสฝ่ายตลาดและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในขณะนี้ระบบการเงินไทยยังมีสภาพคล่องเงินบาทในตลาดจำนวนมาก โดยตัวเลขล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สภาพคล่องเงินบาทในระบบมีสูงถึง 1,407,826 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับวงเงินสินทรัพย์สภาพคล่องรายปักษ์ที่ ธปท.บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงร้อยละ 6 ของเงินฝากและหนี้ระยะสั้น พบว่า มีสูงถึง 3.7 เท่า หรือมีสภาพคล่องส่วนเกินในระบบที่ธนาคารพาณิชย์ จะนำไปลงทุน หรือปล่อยกู้ได้สูงถึง 1,097,123 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในการบริหารสภาพคล่องของ ธปท. ทุกวัน ธปท.จะมีการปล่อยเงินเข้าไปในระบบการเงิน ประมาณวันละ 300,000-500,000 ล้านบาท ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ธนาคารพาณิชย์สามารถจะนำไปลงทุน และปล่อยสินเชื่อมากขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ เงินที่ ธปท.ปล่อยกลับเข้าไประบบ 300,000-500,000 ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้นำไปลงทุน หรือให้สินเชื่อต่อ แต่ส่งกลับเข้ามาให้ ธปท.กู้ใหม่ และบางวันส่งเงินกลับมาให้ธปท.กู้มากกว่าที่ ธปท.ปล่อยเข้าระบบด้วยซ้ำ ทำให้เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ยังไม่มีความต้องการเงินเพิ่มเพื่อลงทุน หรือปล่อยสินเชื่อ เพราะยังมีเงินสด และสภาพคล่องในมือเพียงพอ ทำให้ ธปท.ยังไม่เคยต้องอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเข้าระบบ เพราะธนาคารพาณิชย์ไม่เคยมาขอกู้ มีแต่ให้ ธปท.กู้เงิน
นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ในขณะนี้ ธปท.ประเมินว่าผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องของระบบสถาบันการเงิน และระบบการเงินโลก จะกระทบต่อสภาพคล่องในประเทศไม่มากนัก โดยสภาพคล่องในระบบจะลดลง ก็ต่อเมื่อธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อใหม่ นักธุรกิจไทยที่เคยกู้เงินต่างประเทศหันมากู้เงินในประเทศ จากผลกระทบที่ต้นทุนการกู้เงินต่างประเทศสูงขึ้น และการไหลออกของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ธปท.มีความพร้อมในการปล่อยสภาพคล่องเพิ่มเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ค่าเงินบาทแข็ง ธปท.ได้ดูดซับสภาพคล่องผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อลดสภาพคล่องที่ล้นระบบจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้ามามากกว่า 2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนนี้สามารถทยอยปล่อยสภาพคล่องเพิ่มเข้าไปในระบบได้ หากสถานการณ์มีความจำเป็น และตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากจนน่าเป็นห่วง ธปท.ได้ปรับการบริหาร ลดการดูดซับสภาพคล่องลง โดยขายดอลลาร์สหรัฐออกไปต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการเตรียมความพร้อมของเครื่องมือไว้ หากในช่วงต่อไปมีความจำเป็นต้องปล่อยสภาพคล่องเพิ่มขึ้นด้วย เช่นการเพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้เงินจาก ธปท.เป็นต้น
. . .
ตลาดหุ้นฟื้นตัว หลังธนาคารกลางหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ย ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเตรียมหารือโบรกเกอร์ประเมินสถานการณ์วันนี้ (10ต.ค.) ภายหลังจากตลาดหุ้นไทยลดลงรุนแรงกว่า 100 จุดในช่วงเวลา 3-4 วันที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ตลาดหุ้นไทยกลับมายืนแดนบวกได้ โดยปิดตลาดที่ 499.99 จุด เพิ่มขึ้น 7.65 จุด หรือคิดเป็น 1.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20,029 ล้านบาท ถึงแม้ว่านักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 2,297 ล้านบาท
นางสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี มองว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนทั้งบวกและลบ โดยระหว่างวันดัชนีแกว่งตัวลดลงต่ำสุด 18 จุด และเพิ่มขึ้นสูงสุด 16 จุด ซึ่งเป็นการฟื้นตัวทางเทคนิค เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการที่ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งฟื้นตัว หลังธนาคารกลางหลายประเทศ ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย 0.25-0.50% ขณะที่การเมืองในประเทศยังไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นอีก ทำให้หุ้นกลุ่มหลักที่เคยถูกแรงเทขายอย่างหนัก เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคาร กลับมาปิดบวกได้
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 10 ต.ค.นี้ มองว่า ดัชนียังคงแกว่งตัวผันผวน โดยต้องติดตามตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก เพราะจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย พร้อมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเมืองในประเทศ ประเมินแนวรับไว้ที่ 460-470 จุด และแนวต้าน 510-517 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เทขายทำกำไรเมื่อดัชนีขึ้นไปถึงระดับแนวต้าน (510-517) นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในวันนี้( 10 ต.ค.) ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะหารือกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และโบรกเกอร์ต่างชาติ เพื่อประเมินสถานการณ์ในตลาดโลก ส่วนเรื่องวิกฤติการเมืองในประเทศคงต้องให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการแก้ไข แต่ในภาคเศรษฐกิจนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคงจะต้องทำงานต่อไป เพราะหากปล่อยไว้ปัญหาทางเศรษฐกิจอาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น . . .
สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ยืนยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง แม้บริษัทแม่ในอังกฤษเข้าร่วมแผนฟื้นฟูสภาพคล่องสถาบันการเงินของรัฐบาลอังกฤษ
นางประถมาภรณ์ สวัสดิ์-ชูโต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยัน การเข้าร่วมเป็น 1 ใน 8 ธนาคารของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด อังกฤษ ที่เข้าร่วมในแผนฟื้นฟูสภาพคล่องสถาบันการเงินของรัฐบาลอังกฤษ ไม่ได้เกิดจากการขาดสภาพคล่องของธนาคาร แต่เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินในประเทศอังกฤษของ 8 ธนาคารใหญ่ ซึ่งจะมีรัฐบาลเข้าช่วยเหลือเพิ่มทุน และค้ำประกันหุ้นกู้ หากมีความต้องการ
ซึ่งทางสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด อังกฤษ ยังไม่ประสงค์จะใช้ความช่วยเหลือของรัฐบาล เพราะยังคงมีสภาพคล่องสูง เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เนื่องจากตลาดหลักของธนาคารยังคงเป็นตลาดเอเชีย และแอฟริกา
ในส่วนของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ไทย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด อังกฤษ นั้น ธนาคารมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องสูงแล้ว โดยยังอยู่ในสถานะเป็นผู้ปล่อยกู้สุทธิในตลาดอินเตอร์แบงก์(เงินกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์)ของไทย
ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากร้อยละ 72.5 เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 13.94 และเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 13.4 โดยที่ผ่านมาธนาคารได้มีเงินฝากของลูกค้าไหลเข้ามาอย่างสม่ำเสมอและยังดำเนินธุรกิจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับมาตรการช่วยฟื้นฟูสภาพคล่องและอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบการเงินธนาคารของอังกฤษ ได้มีธนาคารทั้งหมด 8 แห่งของอังกฤษเข้าร่วม ได้แก่ Royal Bank of Scotland, Lloyds TSB, HBOS, Barclays, HSBC, Nationwide, Abbey National/Santander and Standard Chartered Bank โดยธนาคารที่เข้าร่วมโครงการสามารถ ขอสภาพคล่องเพิ่มเติมจากธนาคารกลางได้ในกรณีที่จำเป็น และมีความต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม
หากต้องการออกหุ้นกู้ เพื่อระดมทุนเสริมสภาพคล่อง รัฐบาลอังกฤษจะค้ำประกันหุ้นกู้ที่ออกใหม่ให้ทั้งหมด โดยมีเงินสำรองประกันหุ้นกู้ขณะนี้ประมาณ 250,000 ล้านปอนด์ โดยรัฐบาลจะดูแลความเพียงพอของเงินสำรองดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ธนาคารทั้ง 8 แห่ง มีสภาพคล่องสูงขึ้น
หากต้องการเพิ่มทุน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งต่อเงินกองทุน สามารถรับการสนับสนุนโดยออกหุ้นกู้บุริมสิทธิขายให้แก่รัฐบาลอังกฤษ จำนวนเงินที่สำรองไว้รวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านปอนด์ และสามารถเพิ่มวงเงินให้อีก 25,000 ล้านปอนด์ในกรณีที่จำเป็น ซึ่งจะทำให้ภาคการเงินของอังกฤษมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
. . .
Create Date : 09 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 20:54:09 น. |
|
2 comments
|
Counter : 864 Pageviews. |
|
|
|
สาระเพียบ
คุกคูอ่านไม่ไหวแล้ว ไปยืนขาเดียวดีฝ่า