Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
อีก 5 ปี . . . ประชาชนจะกลายเป็นมนุษย์ไฮเทค . . .

. . .


ไอบีเอ็มคาด 5 ปี ข้างหน้าประชาชนจะกลายเป็นมนุษย์ไฮเทค

กรุงเทพฯ 10 ธ.ค.- บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยรายงานประจำปี "IBM Next Five in Five" เพื่อแสดงรายการนวัตกรรมที่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตของคนเราในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยอ้างอิงแนวโน้มตลาดและแนวโน้มทางสังคม ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีดังต่อไปนี้ คือ 1. เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่จะถูกติดตั้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ดึงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ไว้ตามทางเดิน ถนนหนทาง รางรถไฟ กำแพง หลังคา และหน้าต่าง ในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้ปัจจุบันวัสดุและกระบวนการผลิตเซลล์สุริยะหรือโซลาร์เซลล์ยังมีราคาแพง แต่ในอนาคตปัญหาดังกล่าวจะหมดไป เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะทำผ่านเซลล์สุริยะแบบ “ฟิล์มบาง” (thin-film) ซึ่งเป็นชุดเซลล์สุริยะราคาประหยัดมีความบางกว่าเซลล์สุริยะแบบแผ่นซิลิคอนถึง 100 เท่า และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า

เซลล์สุริยะแบบฟิล์มมบางจะถูก “พิมพ์” และจัดเรียงไว้บนแผงรองรับที่ยืดหยุ่น โดยนอกจากจะติดตั้งบนหลังคาได้แล้ว ยังสามารถติดตั้งไว้ที่ผนังด้านข้างของอาคาร หน้าต่าง โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รถยนต์ และแม้กระทั่งเสื้อผ้าได้อีกด้วย 2.แพทย์จะสามารถพยากรณ์อนาคตของสุขภาพท่านได้ ภายใน 5 ปีข้างหน้า ด้วยการเสนอแผนที่พันธุกรรมซึ่งบอกท่านได้ว่าสุขภาพของท่านมีแนวโน้มจะเผชิญกับความเสี่ยงอะไรบ้าง พร้อมทั้งวิธีการป้องกันสิ่งโดยอ้างอิงจากดีเอ็นเอ อาจมีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 7,000 บาท (200 ดอลลาร์สหรัฐ) เพราะการค้นพบวิธีจัดทำแผนที่จีโนมทั้งหมดของมนุษย์ เท่ากับเป็นการเผยความลับของพันธุกรรม และใช้ข้อมูลนี้แนะนำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตและการรักษา นอกจากนี้ บริษัทยายังสามารถพัฒนายาใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อใช้รักษาผู้ป่วย ส่งผลให้เราสามารถดูแลตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้น

3.การเข้าชมเว็บไซต์กำลังจะเปลี่ยนไปในช่วง 5 ปีข้างหน้า ด้วยการท่องอินเทอร์เน็ตแบบแฮนด์ฟรีโดยใช้เสียงแทนข้อความโดยไม่ต้องใช้หน้าจอหรือคีย์บอร์ด เพราะบางประเทศ เช่น อินเดีย ถ้อยคำที่พูดมีความสำคัญมากกว่าภาษาเขียนในระบบการศึกษา การบริหารราชการ และวัฒนธรรม ดังนั้น “การพูดคุย” กับเว็บกำลังพัฒนาแซงหน้าอินเทอร์เฟซอื่น ๆ ทั้งหมด และโทรศัพท์มือถือก็กำลังเข้ามาแทนที่เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีด้วยการใช้งาน “เว็บไซต์เสียง” (VoiceSite) จะทำให้สะดวกและเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต และผู้ไม่รู้หนังสือได้ และเมื่อเว็บสามารถเข้าใช้งานได้โดยใช้เสียง ทุก ๆ คนจะสามารถใช้งานเว็บได้ง่ายขึ้น

4.การชอปปิ้งด้วยระบบดิจิตอล จะเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคใหม่จะทำให้การช้อปปิ้งเป็นเรื่องสนุกมากขึ้น เพราะอีกไม่นานจะมีผู้ช่วยชอปปิ้งดิจิตอล (Digital Shopping Assistant)ในห้องลองเสื้อ ซึ่งประกอบด้วยจอแบบทัชสกรีน และตู้บริการ (Kiosk) ที่สั่งงานด้วยเสียง ซึ่งจะทำให้ท่านเลือกหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แบบครบชุด เมื่อท่านเลือกสินค้าผ่านผู้ช่วยชอปปิ้งดิจิตอล พนักงานขายจะได้รับแจ้งและรวบรวมสินค้าเพื่อส่งให้ท่านโดยตรง นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายภาพตัวเองในชุดต่าง ๆ และอีเมลหรือส่ง SMS ภาพเหล่านั้นไปให้เพื่อน ๆ เพื่อพิจารณาว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ นอกจากนี้ ยังสามารถเรียกดูความคิดเห็นและเรตติ้งที่ลูกค้าท่านอื่นได้ให้ความเห็นไว้ได้ รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดคูปองส่วนลดสำหรับสินค้าที่ต้องการซื้อได้อีกด้วย

5.ระบบการรวบรวมข้อมูล ทั้งการนัดพบปะเพื่อนฝูง รายละเอียดต่างๆ ในชีวิตประจำวันจะถูกบันทึก จัดเก็บ วิเคราะห์ และจัดเตรียมให้เมื่อถึงเวลาและสถานที่ ซึ่งถูกกำหนดไว้ ด้วยการใช้ไมโครโฟน และกล้องวิดีโอ บันทึกบทสนทนาและกิจกรรมต่างๆเอาไว้บนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทำให้เราสามารถ “จดจำ” ได้ทันทีถึงการพูดคุยสนทนาทางโทรศัพท์กับบุคคลในครอบครัวหรือแม้แต่กับแพทย์ประจำตัว นอกจากนี้ เทคโนโลยียังช่วยเตือนความจำให้ท่านเวลาแวะซื้อของใช้หรือแวะซื้อยาตามใบสั่งเมื่อเดินทางผ่านร้านค้านั้นๆอีกด้วย.- สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-12-10 10:30:52

. ..


Create Date : 10 ธันวาคม 2551
Last Update : 10 ธันวาคม 2551 17:04:39 น. 1 comments
Counter : 685 Pageviews.

 
. . .



ธนาคารโลกคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัวร้อยละ 2 ต่ำสุดในรอบ 11 ปี


เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้เปิดแถลงคาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย โดยได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.9 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5 และคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ขยายตัวเพียงร้อยละ 2 ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

นายแมทธิว เวอร์กิส นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่าจากการติดตามตัวเลขล่าสุดพบว่า ปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้ธนาคารโลกได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.9 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมาจากปัญหาการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง กระทบความมั่นใจนักลงทุนและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเชื่อว่าจะมีแรงกดดันจากการเศรษฐกิจโลก และการค้าที่ถดถอย รวมทั้งการเมืองที่ขาดเสถียรภาพในขณะนี้ ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ขยายตัวเพียงร้อยละ 2 ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง กระทบต่อการส่งออกของไทยแน่นอน ทำให้คาดการณ์การส่งออกในปี 2552 เติบโตเพียงร้อยละ 8 จากปี 2551 ที่คาดว่ามีการขยายตัวร้อยละ 19.5 นอกจากนี้ การบริโภค และการลงทุนก็ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นับว่าประเทศไทยยังโชคดีที่ฐานะทางการเงินไม่ได้รับผลกระทบจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากตั้งปี 2540 ประเทศไทยดำเนินหลายมาตรการที่สร้างความเข้มแข็งทางการเงิน ทำให้มีความแข็งแกร่งอยู่ รวมทั้งการที่ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูง และไม่มีภาระหนี้ต่างประเทศมากนัก ทำให้ความเสี่ยงลดลง และเป็นผลดีที่ไทยมีความยืดหยุ่นกว่าประเทศอื่นๆ หากรัฐบาลไทยเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ก็จะอยู่ในฐานะที่ดีกว่าประเทศอื่น

บทวิเคราะห์ตามติดเศรษฐกิจไทยของธนาคารโลก ยังได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาระยะสั้นเพื่อรองรับวิกฤติโลก คือ

1. มีระบบตาข่ายสังคมแก้ปัญหาคนว่างงาน คนจน คนด้อยโอกาสทางการสังคมไม่ให้ได้รับผลกระทบ

2. เร่งขยายสินเชื่อให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ครั้ง เพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพ อาหาร และราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ดี

รวมถึงมาตรการลดผลกระทบจากวิกฤติการเงินของโลกที่ออกมาในช่วงเดือน ต.ค. 2551 โดยเฉพาะการเร่งขยายสินเชื่อให้ เอสเอ็มอี และการจัดทำงบประมาณขาดดุล วงเงิน 100,000 ล้านบาท ของรัฐบาล ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้พอสมควร

ธนาคารโลกยังเสนอให้รัฐบาลไทยลงทุนมากขึ้น เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านขนส่ง และดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาลงทุน และเร่งนโยบายด้านการค้าเพื่อเปิดตลาดในต่างประเทศ

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องพัฒนาคุณภาพและทักษะด้านอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาผลผลิตให้มีคุณค่าและแข่งขันต่างประเทศได้ และปรับปรุงระเบียบราชการ ลดขั้นตอนการติดต่อ การค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ

ซึ่งการดำเนินมาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและเอกชน ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ที่จะช่วยพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันในเวทีการค้าโลก

ส่วนภาวะเศรษฐกิจโลกนั้น ธนาคารโลกคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2552 จะลดลงเหลือร้อยละ 0.9 จาก ร้อยละ 2.5 ในปี 2551 ขณะที่มูลค่าการค้าโลกจะติดลบร้อยละ 2.1 จากที่ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 6.2
ผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลก ทำให้สภาพคล่องของโลกลดลงต่ำ ธนาคารทั่วโลกจะระวังการปล่อยสินเชื่อ มีการผ่อนปรนนโยบายการเงิน แต่ดอกเบี้ยของธนาคารไม่ลดลงมาก เงินเฟ้อต่ำลง มูลค่าดัชนีราคาหุ้นลดลงตาม ขณะที่ค่าเงินอ่อนลง แต่การเคลื่อนไหวไม่ผันผวนเท่าในอดีต ซึ่งธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวในปี 2554 -2555

. . .



สำนักงานสถิติแห่งชาติ คาดต้นปีหน้าคนว่างงานพุ่งถึง 1 ล้านคน แนะรัฐบาลเร่งสร้างงานรองรับ

นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า ภาวะการว่างงานของประชากรในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวน 450,000 คน สำนักงานสถิติแห่งชาติ คาดว่า ในปี 2552 จำนวนผู้ว่างงานอาจสูงถึง 1 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 500,000-600,000 คน เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกและการปิดสนามบิน ซึ่งภาครัฐต้องเร่งติดตามและเฝ้าระวังการปลดแรงงานอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้จะมีนักศึกษาจบใหม่ประมาณ 300,000 คน ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงานตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. 2552 โดยรัฐบาลต้องเร่งสร้างงานใหม่รองรับแรงงานที่จบใหม่กลุ่มนี้ให้ทันเวลา ซึ่งมั่นใจว่าภาคการเกษตร จะสามารถรองรับแรงงานได้เป็นอย่างดี แต่ภาครัฐต้องมีนโยบายสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตรอย่างครบวงจร

ส่วนการมีงานทำในภาคอุตสาหกรรมการโรงแรมและที่พัก หลังเกิดเหตุการณ์ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง และความขัดแย้งทางการเมือง พบว่า ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในธุรกิจโรงแรมและที่พักจำนวน 260,000 คน ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องตกงานในปี 2552
โดยธุรกิจโรงแรมและที่พักที่มีแรงงานจำนวน 50-200 คน มีการจ้างงานเหลือ 100,000 คน ลดลง 33,000 คน
ส่วนธุรกิจที่มีแรงงานไม่เกิน 50 คน มีการจ้างงานเหลือ 70,000 คน ลดลง 20,900 คน

ส่วนโรงแรมและที่พักที่มีแรงงานตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกมากนัก เพราะจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 90,000 คน จากที่มีอยู่ 80,000 คน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ปิดสนามบิน ทำให้แรงงานที่อยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ กลางและเล็กอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการตกงาน

ส่วนจะมีการปลดคนงานมากน้อยเพียงใด คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของสถานประกอบการว่าจะแบกรับต้นทุนได้มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหารและภัตตาคาร และการขนส่งอีกหลายแสนคน เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างในอนาคตเช่นกัน

. . .



สินเชื่อเดือนต.ค.ขยายตัว 11-13% แนวโน้มปีหน้าขยายตัวลดลง เนื่องจากแบงก์ระมัดระวังการปล่อยกู้ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทยอยลดดอกเบี้ย


นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีอัตราการขยายตัว ร้อยละ 11-13 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวร้อยละ12, สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคขยายตัว ร้อยละ 15, แต่ในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัวลดลง โดยสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวเพียง ร้อยละ 5.1 ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัว ร้อยละ 8.3

การขยายตัวของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลลดลง เนื่องจากก่อนหน้านี้แบงก์มีการปล่อยสินเชื่อประเภทดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้แบงก์มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้มากขึ้น

สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อในปีหน้าโดยภาพรวมจะลดลง มาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังในการขยายธุรกิจมากขึ้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองก็มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะเป็นห่วงปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ธปท.ได้เชิญฝ่ายบริหารเงินของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยมาหารือถึงภาพรวมของธนาคารพาณิชย์ และผลจากการที่ ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะแย่ลงและขยายตัวไม่มาก หรือแทบจะไม่ขยายตัว

ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์บางคนมีความเป็นห่วงการถูกปรับอันดับเครดิตของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ขณะนี้แม้จะยังไม่ถูกปรับลดอันดับเครดิตลง แต่ก็ถูกเปลี่ยนมุมมองไปบ้างแล้ว ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์แจ้งว่าสภาพคล่องในภาพรวมยังมีอยู่มาก ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ปรับลดวงเงินการให้สินเชื่อแก่ลูกค้า แต่การให้กู้จะทำด้วยความระมัดระวังมากขึ้น

หลังจาก ธปท.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 3.75 เหลือร้อยละ 2.75 ธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยลดดอกเบี้ยตาม ซึ่งอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากกว่าเงินกู้ เนื่องจากมีต้นทุนจากการรับเงินฝากที่สูงตั้งแต่ต้นปี แต่คาดว่าระยะต่อไปหลังเงินฝากครบกำหนดก็จะทำให้ต้นทุนในการปล่อยกู้ลดลงได้อีก

ส่วนกรณีข้อกังวลเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินนั้น นางสุชาดา กล่าวว่า ส่วนต่างดอกเบี้ยไม่ได้มีผลต่อค่าเงินบาทมากนัก แม้จะอ่อนค่าลงไปบ้าง หลังจาก ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ขณะนี้กลับมาแข็งค่าเล็กน้อย

หากเทียบกับเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.88 และหากเทียบกับช่วงต้นปี ค่าเงินบาทอ่อนค่าประมาณร้อยละ 5 ซึ่งถือว่าเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับกับค่าเงินในภูมิภาค เนื่องจากประเทศต่างๆ ก็มีการปรับลดดอกเบี้ยลงมากกว่าไทย การที่ค่าเงินอยู่ในระดับปัจจุบัน ถือว่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ภาคเอกชนยอมรับได้ และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น

จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะทำให้ต้นทุนในการออกพันธบัตรของรัฐบาลลดลง และขณะนี้ประชาชนเริ่มมีความมั่นใจที่จะลงทุนในตลาดพันธบัตรระยะยาวมากขึ้น โดยไม่ห่วงเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนการออกพันธบัตรลดลง และมองว่าในช่วงต่อไปต้นทุนการออกพันธบัตรของภาคเอกชนจะลดลงตามไปด้วยในอนาคต สำหรับภาคเอกชนที่เคยกู้เงินจากต่างประเทศ ก็อาจจะหันมากู้เงินในประเทศโดยการออกพันธบัตรแทน

. . .



ธอส. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากร้อยละ 0.50-2.00


นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือร้อยละ2.75 ส่งผลให้สถาบันการเงินในประเทศส่วนใหญ่ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามสภาวะตลาด ธนาคารจึงได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากลงอีกร้อยละ 0.50-2.00 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.เป็นต้นไป

โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัวสำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป (MRR ) จากเดิมร้อยละ 7.50 เหลือร้อยละ 7.00
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ลูกค้าประเภทมีระยะเวลา (MLR) จากเดิมร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 7
ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชี( MOR ) จากเดิมร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 8
ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ลดลงเหลือร้อยละ 2.25 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2 ปี 3 ปี และ 5 ปี ลดลงเหลือร้อยละ 3.00 ส่วนเงินฝากประจำสินเคหะปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.25
ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 7 วัน และ 14 วัน เหลือร้อยละ 1.50, ตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 1 เดือน และ 2 เดือน ลดลงเหลือร้อยละ 2, ตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ลดลงเหลือร้อยละ 2.25, ส่วนตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 2 ปี 3 ปี และ 5 ปี ลดลงเหลือร้อยละ 3 นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษจากเดิมร้อยละ 3.25 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี ทั้งนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป

. . .



น้ำมันถั่วเหลืองเริ่มลดราคาลงเหลือขวดละ 46 บาท ส่วนน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มราคาลดลงเช่นกัน

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ออกตรวจผู้ประกอบการโรงงานผลิตน้ำมันถั่วเหลือง บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์พืช จำกัด จ.สมุทรปราการ เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันถั่วเหลือง โดยผู้ประกอบการชี้แจงว่าแม้ว่าราคาต้นทุนวัตถุดิบในตลาดโลกจะลดลงตามราคาน้ำมัน แต่ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองได้นำเข้าถั่วเหลืองมาเก็บสต๊อกไว้ล่วงหน้า 2-3 เดือน ทำให้ผู้ประกอบการแบกรับภาระต้นทุนสต๊อกดังกล่าวค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองยินดีแบ่งเบาภาระให้กับผู้บริโภค โดยปรับลดราคาน้ำมันถั่วเหลืองจาก 49.50 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร ลดเหลือ 46 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา และมองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันถั่วเหลืองยังปรับลดลงได้อีก 1-2 เดือนข้างหน้า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบในตลาดโลกปรับลดลง

จากการตรวจสอบราคาที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนสุขสวัสดิ์ จ.สมุทรปราการ พบว่าได้ปรับลดราคาสินค้าหลายรายการ เช่น น้ำมันพืชกุ๊ก ราคาอยู่ที่ 43.50 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร, น้ำมันพืชมรกต ราคา 46 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร, น้ำมันพืชองุ่น ราคา 46 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร และคาดว่าจากการแข่งขันในตลาด เชื่อว่าราคาน้ำมันถั่วเหลืองรายอื่นจะปรับลดลงเช่นกัน

ส่วนน้ำมันปาล์มที่มีการจำหน่ายราคา 36-38 บาท/ขวดขนาด 1 ลิตร เห็นว่าราคามีแนวโน้มลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งกรมการค้าภายในจะติดตามราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกประเภทให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยในสัปดาห์หน้าจะเรียกกลุ่มรายการสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมดมาหารือ โดยเฉพาะฟาร์มสุกร เพื่อประเมินราคาให้เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค

สำหรับการจำหน่ายกระเช้าปีใหม่ นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ก่อนช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ เป็นประจำทุกปีจะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า กระเช้าสินค้าที่วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าร้านค้าทั่วไปมีราคาแพงและคุณภาพไม่ดี
ดังนั้น จึงได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศออกตรวจเช็คกระเช้าของขวัญปีใหม่ ทั้งร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยขอเตือนผู้ประกอบการที่จะนำสินค้ามาบรรจุเป็นกระเช้า จะต้องไม่เลือกสินค้าใกล้หมดอายุมาบรรจุในกระเช้าเพื่อจำหน่ายให้ประชาชน

เพราะหากสินค้าไม่ครบถ้วน ไม่เหมาะสมกับราคากระเช้า หรือสินค้าไม่มีคุณภาพจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และหากไม่ติดป้ายแสดงราคาสินค้าจะมีโทษปรับ 10,000 บาทต่อวัน และยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของ สคบ.ด้วย เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย

หากประชาชนรายใดมีข้อร้องเรียนสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1569

. . .


โดย: loykratong วันที่: 10 ธันวาคม 2551 เวลา:20:56:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.