Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
14 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
. . . คาดเฟดคงดอกเบี้ย 2.00%--รถไฟเปิดให้บริการ 240 ขบวน--ราคาทองกระเตื้องเล็กน้อย. . .

. . .

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.00 ในการประชุมวันที่ 16 ก.ย.นี้


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ในวันที่ 16 กันยายนนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะมีการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ย หรือ Fed Funds rate หลังจากที่เฟดได้ตัดสินใจยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.00 ในการประชุม 2 รอบหลังสุดที่ผ่านมา

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เฟด อาจมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 2.00 ตามเดิม เนื่องจากเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่ยังคงอ่อนแอ โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน และตลาดที่อยู่อาศัย ประกอบกับปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐที่ยังไม่สิ้นสุด ตลอดจนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่คลายตัวลงตามการร่วงลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เฟดยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยในระยะอันใกล้นี้

อย่างไรก็ตาม ยังคงจะต้องจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมซึ่งจะบ่งชี้ถึงการให้น้ำหนักความเสี่ยง และมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในระยะข้างหน้าของเฟด อย่างใกล้ชิดต่อไป

ทั้งนี้ แม้ว่าปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐที่ยังมีอยู่ อาจจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศและทำให้ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐที่คาดว่าอาจจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น หลังจากที่ทางการสหรัฐได้ดำเนินนโยบาย และมาตรการในเชิงที่ผ่อนคลายเพื่อคลี่คลายปัญหาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เงินดอลลาร์สหรัฐอาจจะยังคงได้รับแรงหนุนให้ปรับแข็งค่าขึ้นในระยะข้างหน้าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ หากราคาน้ำมันไม่พุ่งขึ้นมากอีก ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว ย่อมอาจมีส่วนผลักดันให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ถึงแม้ว่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐจะไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม
. . .



รถไฟเปิดให้บริการได้แล้ว 240 ขบวนจาก 244 ขบวน ยังเหลืออีก 4 ขบวน ในเส้นทาง กรุงเทพ-ตรังและกรุงเทพ-หาดใหญ่-มาเลเซีย คาดว่าในอีก 1-2 วันนี้จะเปิดได้ครบทุกเส้นทาง


นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่าหลังจากที่รถไฟสายใต้หยุดเดินรถมา 15 วัน ทางผู้บริหารได้เร่งหาทางแก้ไข และขณะนี้ ร.ฟ.ท. ได้เปิดให้บริการครบทุกเส้นทาง ทั้งสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ รวมจำนวน 240 ขบวน จากทั้งหมด 244 ขบวน เหลือเพียงเส้นทางกรุงเทพฯ-ตรัง กรุงเทพฯ-หาดใหญ่-มาเลเซีย เพราะยังต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ การวิ่งให้บริการจะครบวงจร ซึ่งผู้โดยสารจะเข้ามาใช้บริการเหมือนเดิม

สำหรับปัญหาข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ร.ฟ.ท. 9 ข้อ นั้น นายยุทธนา กล่าวว่า การจะนัดหยุดงานบ่อยๆคงจะทำได้ลำบาก และเมื่อมีนายกรัฐมนตรีและมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ร.ฟ.ท.จะเร่งเสนอกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง เกี่ยวกับข้อเรียกร้องของสหภาพฯ เพื่อหาข้อยุติร่วมกันก่อนเสนอ ครม.พิจารณา

นายเกรียงศักดิ์ แข็งขัน ประธานสหภาพฯ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานที่หยุดงานส่วนใหญ่ได้กลับทำงานตามปกติ ส่วนการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของพนักงาน การจะนัดหยุดงานหรือเคลื่อนไหวต่าง ๆ จะมีอีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับผู้บริหาร ร.ฟ.ท. และกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเรียกร้องทั้ง 9 ข้อ เช่น การเพิ่มอัตรากำลัง การแก้ปัญหาที่ดินบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว การบุกรุกที่ดินของ รฟท. หากสามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ปัญหาต่างๆ น่าจะคลี่คลายลงได้

. . .



ราคาทองสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นเล็กน้อย ตามราคาตลาดโลก ราคาทองคำแท่งขายบาทละ 12,750 บาท รับซื้อบาทละ 12,650 บาท


นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า บรรยากาศการซื้อขายทองคำยังคงมีผู้สนใจเข้ามาซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาทองคำแท่งจะเพิ่มขึ้นบาทละ 100 บาทก็ตาม โดยราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ 12,750 บาท

สาเหตุที่ราคาเพิ่มขึ้นเป็นไปตามราคาตลาดโลก โดยเฉพาะที่สหรัฐ ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 19 ดอลลาร์สหรัฐ มาปิดที่ 764.90 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยราคาเด้งขึ้นเนื่องจากราคาได้ลดลงมากติดต่อกัน 3 วันแล้ว
ส่วนทิศทางราคาในอนาคตคาดว่าจะผันผวนต่อไป สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไร ควรจะแบ่งเงินเพื่อทะยอยซื้อ

นายจิตติกล่าวว่า ร้านทองในเยาวราชยังจำกัดปริมาณขาย บางร้านยังแจกบัตรคิวและจำกัดให้ซื้อได้คนละไม่เกิน 50 บาท ซึ่งราคาทองขณะนี้ถูกกว่าเดือน ก.ค.ประมาณบาทละกว่า 2,000 บาท

นายจิตติ กล่าวว่า ภาวะการเมืองที่มีปัญหาไม่ได้ส่งผลต่อการซื้อขายทองคำมากนัก เพียงแต่มีผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากเงินบาทอ่อนค่า เพราะการเมืองมีปัญหา ก็ทำให้คนไทยซื้อทองคำแพงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะหากเงินบาทยังเท่าเดิม ต้นทุนนำเข้าทองคำจะถูกกว่านี้ และในฐานะคนไทย ก็อยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นใครก็ได้ แต่เป็นบุคคลที่จะทำให้เกิดความสมานฉันท์ บ้านเมืองจะได้สงบ เศรษฐกิจไทยจะได้เดินหน้าโดยไม่สะดุด

. . .



นักวิเคราะห์แนะนักลงทุนระมัดระวังลงทุนทองคำ


นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับลดลงมาจากความต้องการในตลาดลดลง โดยเฉพาะความต้องการจากอินเดียที่เป็นผู้ใช้ทองคำรายใหญ่ รวมถึงตุรกี และตะวันออกกลาง ยกเว้นจีนที่ยังมีความต้องการไม่เปลี่ยนแปลง

จากการที่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตลดลง ทำให้บรรดากองทุนที่ลงทุนในทองคำเทขายทองคำออกมา เพราะประเมินว่าราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงตามน้ำมัน ทำให้ความต้องการทองคำลดลงไปอีก รวมทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาทองคำที่คิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีราคาลดลง

ทั้งนี้ ราคาทองคำได้ลดลงมาร้อยละ 20 จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2551 ที่ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,002.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 784.75 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม และปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 830 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งไม่สามารถตอบได้ว่าราคาจะลดลงอีกหรือไม่

เพราะในอดีตราคาทองคำที่สูงจะอยู่ที่ประมาณราคาน้ำมัน 15 บาร์เรล/ทองคำ 1 ออนซ์ หรือหากมองในช่วงธรรมดาราคาอยู่ที่น้ำมัน 10 บาร์เรล/ทองคำ 1 ออนซ์

ดังนั้น หากราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ราคาทองคำควรอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ได้ หากมองในมุมนี้ราคาทองคำที่ระดับ 830 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ก็ยังลงทุนได้ แต่ราคาทองคำไม่ได้สะท้อนอัตราเงินเฟ้อและไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้


นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงนี้ราคาทองคำตลาดในประเทศ เหมาะแก่การเข้าซื้อเพื่อหาผลตอบแทนจนเป็นสินค้าแหล่งใหม่ของนักลงทุน และหันมาลงทุนในทองคำแท่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น

หลังจากราคาทองคำแท่งได้ขยับจากจุดสูงในเดือนกรกฎาคมประมาณ 15,450 บาท และปรับลดลงมาต่ำถึง 12,650 บาท ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาลงทุนในทองคำแท่งมากขึ้น เนื่องจากสร้างผลตอบแทนได้ดี แต่เตือนนักลงทุนให้ระวังความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เพราะราคาทองคำมีวงจรขึ้นลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้น ตลาดเงิน

ดังนั้น จึงต้องศึกษาหาความรู้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน ไม่ใช่เพียงแค่เข้าฟังสัมมนา 1-2 ครั้ง แล้วหันมาลงทุนในทองคำ อาจเป็นกลายเป็นแมลงเม่าได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นลงได้

ปัจจุบันหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในทองคำมีเพียง 2-3 เล่มเท่านั้น จึงควรหาหนังสือต่างประเทศหาความรู้เพิ่มเติม อย่าเข้าลงทุนตามกระแส เพราะหากได้กำไรก็ถือว่าดี แต่หากขาดทุนจะได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากราคาทองคำมีวงจรขึ้นลง ซึ่งเคยปรับขึ้นนาน 9 ปี แต่ก็ปรับลดลงนานสุดถึง 20 ปี

ดังนั้นไม่ใช่ซื้อทองแล้วราคาจะขยับขึ้นเสมอไป หากเป็นนักลงทุนระยะยาวเก็บทองไว้ 10-20 ปี น่าจะดีกว่า แต่หากเป็นนักเก็งกำไร ต้องรู้จักกำหนดจุดการหยุดขาดทุนหรือกำไรในระดับที่กำหนดไว้ และขายออกมา

แนวโน้มราคาทองคำขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ด้าน คือ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หากแข็งค่าขึ้นจะทำให้ราคาทองคำปรับลดลง เพราะนักลงทุนจะขายทองคำเพื่อหันไปลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อีกปัจจัยหนึ่ง คือ ราคาน้ำมัน เพราะเป็นสินค้าที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับราคาทองคำ หากราคาน้ำมันปรับลดลงจะทำให้ราคาทองคำปรับลดลงตามไปด้วย คาดว่าแนวโน้มราคาทองคำที่สะท้อนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯนั้น มองว่าดอลลาร์จะแข็งค่าในช่วงสั้นเท่านั้น ทำให้ราคาทองคำปรับลดลงได้ไม่นานเท่าใดนัก


นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ประชาชนโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่เข้าไปเก็งกำไรในช่วงที่ราคาทองคำลดลงขณะนี้ ต้องมีสติ และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้มากที่สุด โดยต้องใช้ความรู้ ศึกษาข้อมูล วิเคราะห์การลงทุนให้ถี่ถ้วน เพราะอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในภายหลัง ยกเว้นผู้ที่มีฐานะดีมีเงินทุนมาก มีสายป่านยาว รวมถึงนักธุรกิจที่ทำธุรกิจด้านทองคำอยู่แล้วที่สามารถเข้าไปซื้อเพื่อการลงทุน หรือผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากเงินออม

เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นไปตามการเก็งกำไรราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก ทองคำ มีราคาพุ่งสูงตามไปด้วย เพราะคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงตามราคาน้ำมัน ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจที่จะถือเงินสดไว้ จึงหันไปเก็งกำไรในทองคำ ทำให้มีราคาสูงขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศได้ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาทองคำลดลงตามไปด้วย และไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงอยู่ในช่วงใด

. . .




Create Date : 14 กันยายน 2551
Last Update : 14 กันยายน 2551 19:12:52 น. 1 comments
Counter : 525 Pageviews.

 
. . .

“เงินบาทอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน
ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวท้ายสัปดาห์”


ตลาดเงิน

ในสัปดาห์นี้ (15-19 กันยายน 2551) จะมีการตัดจ่ายเงินภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนผ่านระบบธนาคารในช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่คงจะยังไม่มีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสภาพคล่องในตลาดเงินอย่างมีนัยสำคัญ แต่ตลาดคงจะจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16 กันยายน 2551 ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นน่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงระดับ 3.75%

ส่วนเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 34.50-34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตายังคงเป็นปัจจัยเดิมๆ ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ สัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพตลาดของธปท. แรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ของผู้นำเข้าและนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค ตลอดจนทิศทางค่าเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญประกอบด้วย ผลสำรวจภาคการผลิตจัดทำโดยเฟดสาขานิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจจัดทำโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยจัดทำโดยสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) เดือนกันยายน ดัชนีราคาผู้บริโภค ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้าง ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิต ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจัดทำโดย Conference Board เดือนสิงหาคม ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคม และดุลบัญชีเดินสะพัดประจำไตรมาส 2/2551 นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16 กันยายน อีกด้วย


ตลาดหุ้นไทย “ดัชนี SET ฟื้นตัวท้ายสัปดาห์”

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 654.34 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.32% จาก 645.80 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 23.75% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 1.62% จาก 50,021.70 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 49,213.75 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 10,004.34 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 9,842.75 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 236.38 จุด ขยับขึ้น 1.01% จาก 234.02 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 13.21% จากสิ้นปีก่อน โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิที่ 6,818.38 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 3,792.05 ล้านบาท และ 3,026.32 ล้านบาท ตามลำดับ

แนวโน้มในสัปดาห์นี้ (15-19 กันยายน 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีน่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ผลการประชุมของเฟด และการปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ส.ค. ในวันอังคาร และตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ในวันพุธ

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 642 และ 594 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 655 และ 666 จุด ตามลำดับ

. . .



พณ.ส่งหนังสือแจ้งผู้ผลิต ยังไม่อนุมัติขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลือง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 กันยายน 2551 12:39 น.

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกรมฯ ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองทุกรายแล้ว ว่าทางกระทรวงพาณิชย์ยังไม่อนุมัติให้มีการปรับราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันถั่วเหลืองบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร ได้ หลังจากทางคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันพืช ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าราคาวัตถุดิบในตลาดโลกเริ่มทรงตัว ซึ่งทางกรมฯ จะทำการพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคและภาคส่วนอื่นที่ใช้ถั่วเหลืองเป็นต้นทุนการผลิตได้รับการผลกระทบมากเกินไป โดยราคาน้ำมันถั่วเหลืองบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร ขณะนี้จำหน่ายอยู่ที่ราคาขวดละ 49.50 บาท

นอกจากนี้ ในส่วนของน้ำมันปาล์มบรรจุขวด อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ยังไม่อนุมัติให้มีการปรับราคาเช่นกัน เนื่องจากผลปาล์มและน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีการปรับราคาลดลง โดยราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร ขณะนี้จำหน่ายอยู่ที่ราคาขวดละ 47.50 บาท

. . .



ชาวสวนหน้ามืดราคาปาล์ม4บาท


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่า เตรียมเรียกประชุมคณะกรรม การพิจารณาราคาปาล์มน้ำมัน เพื่อประเมินสถานการณ์ราคา และหาแนวทางแก้ไขปัญหาผลปาล์มดิบราคาตกต่ำ ในวันที่ 16 ก.ย.นี้ หลังจากขณะนี้เกษตรกรสวนปาล์มกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก จากราคาผลปาล์มดิบลดลงเหลือเพียงกก.ละไม่ถึง 4 บาท ตกลงจากเดิมที่ราคาปาล์มดิบเคยเฉลี่ยที่กก.ละ 5-6 บาท โดยเกรงว่าหากราคาลดลงต่อเนื่องเช่นนี้ เกษตรกรจะได้รับผลกระทบและขาดทุน เพราะตอนนี้มีภาระต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น กรมฯจึงต้องเร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มเป็นการเร่งด่วน

“การประชุมรอบนี้จะหารือเฉพาะการแก้ปัญหาราคาผลปาล์มดิบตกต่ำเท่านั้น ไม่นำเรื่องการพิจารณาราคาน้ำมันปาล์มเข้าไปถกรวมด้วย โดยแนวทางพิจารณาเบื้องต้น จะไม่บีบให้ผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ลดราคาขายปลีกน้ำมันแบบบรรจุขวด ตามต้นทุนปาล์มดิบที่ลด เพราะเกรงว่าจะทำให้ราคาปาล์มดิบตกลงได้อีก จนกระทบให้เกษตรกรจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งแนวทางคือต้องการเจรจาให้ทั้งผู้บริโภค ชาวสวน และผู้ผลิตน้ำมันอยู่ได้ด้วยกันทุกฝ่าย”

ส่วนน้ำมันถั่วเหลืองยืนยันว่า ขณะนี้การอนุมัติให้ขึ้นราคาจำหน่ายยังไม่มี ผลในทางปฏิบัติ เนื่องจากกรมฯยังไม่มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการอย่างเป็นทางการ แม้ก่อนหน้านี้ผลประชุมอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันพืชจะอนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลือง ขนาดขวด 1 ลิตรจาก 49.50 บาท เป็นขวดละ 54 บาทแล้วก็ตาม ดังนั้นร้านค้าต้องขายขวดละ 49.50 บาทต่อ จนกว่ากรมฯจะมีคำสั่งแจ้งอีกครั้ง ซึ่งระหว่างนี้หากประชาชนพบเห็นผู้ประกอบการหรือร้านค้าปลีกปรับเพิ่มราคา จะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษสูงสุด คือ ปรับไม่เกิน 140,000 บาท จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หากผู้บริโภคพบเห็นพฤติกรรมการเอารัดเอาเปรียบสามารถร้องเรียนสายด่วน 1569 ได้ทันที

น.ท.หญิง วรรณพร มาศเกษม นายกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม กล่าวว่า แม้วัตถุดิบน้ำมันปาล์มจะลดลงแต่ผู้ประกอบการไม่ต้องการให้กรมฯปรับลดเพดานราคาจำหน่ายที่ขวดขนาด 1 ลิตรจาก 47.50 บาท เพราะราคาปาล์มมีการขึ้นลงตลอดเวลา จึงเกรงว่าหากวัตถุดิบปรับขึ้นราคาอีกเหมือนช่วงต้นปี จะทำให้ผู้ผลิตมีปัญหาได้ เพราะกระบวนการขอปรับราคาแต่ละครั้งจะใช้เวลานาน อีกทั้งสินค้าน้ำมันปาล์มมีการแข่งขันกันสูงอยู่แล้ว โดยราคาขายปลีกแต่ละรายก็ต่ำกว่าเพดานที่ตั้งไว้เฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 37-39 บาท เพื่อต้องการรักษาสถานภาพการแข่งขันของตัวเองไว้

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์ม เพราะเราแข่งขันโดยสมบูรณ์ ปัจจุบันแม้จะมีเพดานขายได้ขวดละ 47.50 บาท แต่เอาเข้าจริงก็ต้องแข่งกันลดราคาลงมาอยู่ที่ขวดละไม่ถึง 40 บาท ถ้าจะเรียกประชุมก็ดีจะได้ดูว่าจะดูแล และแก้ปัญหาอย่างไร โดยตอนนี้ ราคาน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่กก.ละ 24 บาท จากก่อนหน้าที่สูงเกินกก.ละ 24 บาท”

นายเศรษฐสรรค์ เศรษฐการุณย์ นายกสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงพาณิชย์ให้ขึ้นราคาน้ำมันพืชแต่อย่างใด ซึ่งจากนี้สมาคมฯ จะติดตามว่า ทางกรมฯจะเรียกผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองเข้าพบ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นหรือไม่ หากกรมฯยังไม่ติดต่อ ก็เตรียมเรียกสมาชิกมาหารือภายในสมาคมอีกครั้ง เพื่อหาข้อร้องเรียนและรายงานสถานการณ์เหตุ ผลที่ขอปรับราคาให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบ

“สมาคมได้แสดงต้นทุนการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองที่สูงขึ้นให้กระทรวงพาณิชย์มาแล้วตั้งแต่ต้นปี โดยมีราคาถั่วเหลืองสูงขึ้นจากราคา กก.ละ 16 บาท เพิ่มเป็น 21 บาท แต่ภาครัฐก็ยังไม่ให้ปรับขึ้น ทั้งที่ผู้ผลิตมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นจริง เพราะตอนนี้รายย่อยก็ลดการผลิตไปมากแล้ว เพราะทนแบกรับต้นทุนไม่ไหว ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับข้อมูลว่า นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ ได้อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลือง”

ด้านนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงนโยบายการดูแลราคาสินค้าว่า กระทรวงจะพิจารณาตามต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจริง หากเอกชนได้รับผลกระทบจากการ นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ก็พร้อมพิจารณา ให้ความเป็นธรรม เช่น ที่ผ่านมารัฐบาลมีมติให้ปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบที่ซื้อจากเกษตรกรกก.ละ 18 บาทหรือนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศ.

. . .


โดย: news IP: 58.137.155.65 วันที่: 14 กันยายน 2551 เวลา:19:30:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.