บขส-รถร่วมเตรียมลดค่าโดยสาร--แบงก์ออมสินลดดอกเบี้ย--ปีใหม่ แบงก์หยุด 5 วัน. . .
. . .
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดต่ำสุดรอบ 7 ปี
นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม และโอกาสในการหางานทำลดลง รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ซึ่งถือว่าทุกรายการลดลงอย่างต่อเนื่อง และต่ำสุดในรอบ 7 ปี เนื่องจากประชาชนวิตกกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน แม้ราคาน้ำมันลดลงก็ตาม
โดยดัชนีความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 67.1 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 82 เดือน และลดลงจาก 68.6 ในเดือนตุลาคม
ส่วนความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางาน อยู่ที่ระดับ 67.9 ลดลงจากเดือนตุลาคม ที่อยู่ระดับ 69.2
เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นของรายได้ในอนาคต ซึ่งลดลงเหลือ 87.8 จากเดือนตุลาคม ที่ระดับ 89.5
สำหรับดัชนีความสุขในการดำรงชีวิตลดลงอยู่ที่ระดับ 87.6 เทียบกับเดือนตุลาคม ที่ระดับ 92.5 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 31 เดือน
ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงมากมาจากปัญหาการเมือง, การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ทำให้เกิดความเสียหายต่อการท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจ, ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินทั่วโลก รวมทั้งการปรับลดประมาณการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 ของสภาพัฒน์ นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ และสินค้าที่มีราคาสูง ขณะที่รายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
ผลสำรวจการใช้จ่ายโดยเฉพาะการซื้อรถยนต์คันใหม่ในปัจจุบัน เห็นว่าไม่เหมาะสมมากถึงร้อยละ 50, การซื้อบ้านหลังใหม่ไม่เหมาะสม ร้อยละ 44, การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวไม่เหมาะสมร้อยละ 58 ซึ่งคาดว่าการบริโภคยังไม่ขยายตัวมากจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการยังทรงตัว ต่ำกว่าระดับ 100 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าหากยังไม่มีรัฐบาลที่มั่นคงมาบริหารประเทศจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้าขยายตัวติดลบ โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 จะติดลบร้อยละ 1-2 และไตรมาสที่ 2 ติดลบร้อยละ 2-3 และจะทำให้การจ้างงานลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่ขยายตัว โดยจะมีตัวเลขคนว่างงานอาจสูงถึง 1 ล้านคน
และหากยังไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยเดียวในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ เศรษฐกิจของประเทศไทยในปีหน้าจะติดลบทั้งปีอย่างแน่นอน จากปัจจุบันที่หอการค้าไทยคาดว่า จีดีพีของประเทศในปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 0-2
. . .
บขส. และรถร่วมบริการ ประกาศพร้อมลดค่าโดยสารอีก 3 สตางค์ต่อกิโลเมตร ขณะที่กลุ่มเครือข่ายคัดค้านขึ้นค่ารถโดยสารกดดันให้ลดค่าโดยสารลง 9 สตางค์ต่อกิโลเมตร
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวว่า หลังจากราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนน้ำมันของ บขส.ลดลงด้วย บขส.จึงเตรียมพิจารณาจะปรับลดค่าโดยสารลง 3 สตางค์ต่อกิโลเมตร เพื่อให้ค่าโดยสารสอดคล้องกับต้นทุนและผ่อนคลายภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้รถโดยสาร โดยคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาการปรับลดค่าโดยสาร ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่
ส่วนกรณีที่ผู้โดยสารที่จะเดินทางในเทศกาลปีใหม่ได้จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า 60 วันจนเต็มแล้วนั้น นายวุฒิชาติ กล่าวว่า ในทางปฏิบัติ หากคณะกรรมการฯ อนุมัติปรับลดค่าโดยสาร ผู้โดยสารที่จองตั๋วโดยสารและออกตั๋วโดยสารก่อนเดินทาง จะได้รับส่วนลดตามสัดส่วน 3 สตางค์ต่อกิโลเมตรด้วย นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ยืนยันว่า คณะกรรมการฯ จะมีการประชุมในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อให้การปรับลดค่าโดยสารมีผลก่อนเทศกาลปีใหม่ที่จะมีประชาชนเดินทางจำนวนมาก
นายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ประธานเครือข่ายคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะ กล่าวว่า รถโดยสาร บขส.และรถร่วมบริการสมควรจะลดค่าโดยสาร 9 สตางค์ต่อกิโลเมตร เพราะปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซล บี 5 อยู่ที่ 18.34 บาทต่อลิตร ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันดีเซล 18.19 บาทต่อลิตร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งขณะนั้นค่าโดยสารต่ำกว่าปัจจุบัน 9 สตางค์ต่อกิโลเมตร ดังนั้น ค่าโดยสารที่แท้จริงควรจะปรับลดลงในอัตราดังกล่าว
ขณะเดียวกัน รถโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และรถร่วมบริการ ก็ควรลดค่าโดยสารลงเหลือ 6 บาท สำหรับรถโดยสารครีม-แดง และ สำหรับรถโดยสารครีม-น้ำเงินควรลดค่าโดยสารลงเหลือ 7 บาท ซึ่งกลุ่มเครือข่ายฯ จะรอดูการพิจารณาของคณะกรรมการฯ จนถึงวันที่ 17 ธันวาคมนี้ หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าโดยสารที่เหมาะสม จะมีมาตรการเคลื่อนไหวทางกฎหมายต่อไป
. . .
ธปท.ให้แบงก์พาณิชย์หยุดทำการช่วงปีใหม่วันที่ 2 ม.ค. ตามมติ ครม.
ธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) แจ้งว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2551 กำหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2552 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เพื่อให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ประกอบกับเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอันจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้โดยเร็วนั้น
โดยปกติธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่กำหนดวันหยุดต่อเนื่องเกินกว่า 4 วัน แต่เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คาดว่าธุรกรรมทางการเงินในช่วงปลายปีนี้น่าจะมีปริมาณเบาบาง ประกอบกับธุรกรรมที่ต้องส่งมอบด้านเงินตราต่างประเทศ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในช่วงนี้มีปริมาณไม่สูงมากนัก
ดังนั้น การกำหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2552 เป็นวันหยุดกรณีพิเศษของสถาบันการเงิน จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งอาจเป็นการช่วยภาคธุรกิจท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2552 เป็นวันหยุดทำการของสถาบันการเงินเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติมอีก 1 วัน (ทำให้ธนาคารมีวันหยุดรวม 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.-4 ม.ค.)
. . .
ธนาคารทิสโก้สวนกระแสจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ร้อยละ 4
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ สายธนกิจลูกค้ารายย่อย ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ธนาคารต่าง ๆ ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง แต่เนื่องจากธนาคารทิสโก้ยังมีเป้าหมายที่ต้องการเร่งขยายจำนวนบัญชีลูกค้าเงินฝาก จึงเปิดตัว "เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ 4%" ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 4 ต่อปี สำหรับระยะเวลาการฝาก 4 เดือนแรก โดยกำหนดวงเงินฝากตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่สูงที่สุดในตลาดขณะนี้ หลังจากนั้นผู้ฝากจะได้รับอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษตามประกาศของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.00-2.25 ตามระดับของวงเงินฝาก โดยธนาคารจะเปิดรับเงินฝากตามโปรโมชั่นนี้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2552
. . .
ธนาคารออมสิน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 0.25-0.75 ต่อปี และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยร้อยละ 0.50 ต่อปี มีผลวันที่ 11 ธ.ค.เป็นต้นไป
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงร้อยละ 0.25 0.75 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 0.50 ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.เป็นต้นไป
โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียกคงเดิม คือร้อยละ 0.75 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 1.75 1.85 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ร้อยละ 1.85 2.00 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ร้อยละ 2.00 2.25 ต่อปี ส่วนเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ร้อยละ 6.75 และประเภทเงินเบิกเกินบัญชีหรือ MOR อยู่ที่ร้อยละ 7.00
ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงน้อยกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธนาคารมีนโยบายในการสนับสนุนการออมภาคประชาชนซึ่งเป็นกลไกในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป ขณะที่ในส่วนของเงินกู้ ธนาคารมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารอื่น ๆ
. . .
Create Date : 11 ธันวาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 18:46:49 น. |
Counter : 593 Pageviews. |
|
|
|
การอยู่เพื่อรอวันตายเจ็บปวดกว่า
โกวเล้ง