Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
14 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.5% - โอเปกประชุม 17 ธ.ค.นี้ - ราคายางตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี

. . .



“บางจาก”แนะจับตาการประชุมโอเปก 17 ธ.ค.นี้ เชื่อว่าปีหน้าราคาน้ำมันจะไม่ลงต่ำถึง 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ “กบง.”นัดประชุมเพิ่มราคาก๊าซวันนี้ (15 ธ.ค.)


นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกปีหน้าจะไม่ปรับตัวลดลงต่ำถึง 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพราะเชื่อว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบ หรือ โอเปก จะไม่ปล่อยให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงต่ำมากนัก จึงต้องจับตามองการประชุมของกลุ่มโอเปก ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ว่า จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกหรือไม่

ขณะที่บางจากพยายามเก็บสต๊อกน้ำมันให้อยู่ในระดับต่ำสุด ตามที่กฎหมายกำหนดคือร้อยละ 5 ของยอดขายทั้งหมด และปริมาณน้ำมันที่ใช้หมุนเวียนอีกเล็กน้อย เพื่อป้องกันความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง และมองว่าเป็นระดับที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) โดย นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมแทน โดยวาระที่จะพิจารณา คือ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มออกเป็น 2 ราคา โดยจะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซภาคขนส่งและอุตสาหกรรมจำนวน 6 บาท/กิโลกรัมตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบไปก่อนหน้านี้ โดยแนวทางดังกล่าวจะต้องมีการเสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามเห็นชอบต่อไป

ปัจจุบันราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลกลดต่ำลงมาจากราคา 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันมาอยู่ที่ 338 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงกับหน้าโรงกลั่นของไทยที่ 323 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่ก็อาจจะพิจารณาไม่เห็นชอบการปรับขึ้นราคาก็ได้

นอกจากนี้ ที่ประชุม กบง. จะพิจารณาการเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มจากเพดานปัจจุบันสุดที่ 4 บาท/ลิตรเป็น 7-8 บาท/ลิตร เพื่อนำมารักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และยังเป็นการแก้ไขปัญหาค่าการตลาดที่ขณะนี้อยู่ในอัตราสูงประมาณ 2-7 บาทต่อลิตร

. . .


“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย”คาดเฟดลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.5


บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ในการประชุมตามวาระปกติเป็นรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 15-16 ธันวาคม 2551 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ขยับลงมาใกล้ร้อยละ 0.00

ดังนั้น คาดว่าเฟดคงจะสานต่อการดำเนินนโยบายการเงินทางด้านปริมาณต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่เฟดอาจจะดำเนินการเป็นลำดับถัดไป

ขณะเดียวกัน ก็คงจะต้องติดตามการใช้นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากทางการสหรัฐ โดยเฉพาะจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ นายบารัค โอบามา ในช่วงเดือนมกราคม 2552 ว่าจะสามารถช่วยให้ภาคธุรกิจเอกชนสหรัฐ มีการปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอด และสามารถจะแข่งขันได้ในระยะยาว หรือว่าจะเป็นเพียงการต่อลมหายใจและประวิงเวลาก่อนที่จะกลายมาเป็นปัญหาอีกครั้งในอนาคต

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า หลังจากที่ล่าสุดแผนการเข้าช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐไม่ผ่านการลงมติจากวุฒิสภาสหรัฐ ประกอบกับปัจจัยลบด้านการเมืองในประเทศไทยที่ยังไม่ยุติ อาจทำให้ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ ยังคงมีน้ำหนักอยู่ต่อไปในช่วงปีข้างหน้า

ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ได้ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวติดลบหรือหดตัวลงในบางไตรมาสของปี 2552 สอดคล้องกันกับการประเมินของกระทรวงการคลังก่อนหน้านี้

ดังนั้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยดังกล่าว นโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทยก็ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องปรับตัวอยู่ในช่วงขาลงต่อไปเช่นเดียวกันกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยของนานาประเทศทั่วโลก

. . .



ธปท.เตรียมปรับเป้า GDP ลงเดือนหน้า


นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่าขณะนี้ ธปท.ยังคงใช้ประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าที่ร้อยละ 3.8 – 5.0 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเหตุการณ์ปิดสนามบิน โดยแบงก์ชาติจะทบทวนตัวเลขอีกครั้งในวันที่ 23 มกราคม 2552 หลังจากที่ได้ประเมินผลจากมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 1 รวมถึงคาดว่าหลังวันที่ 15 ธันวาคม ที่จะมีการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีน่าจะทำให้ทิศทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น

สำหรับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังมีปัจจัยบวกจากทุนสำรองที่ยังมีความแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อต่ำ ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หากการเมืองมีเสถียรภาพก็น่าจะทำให้ช่วยลดผลกระทบได้มาก

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในทิศทางขาลง โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะประชุมพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 13 มกราคม ปีหน้า

. . .



แบงก์กรุงเทพประเมินจีดีพีปีหน้าโตร้อยละ 2


นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ระบุว่าในปี 2552 ธนาคารมองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จะอยู่ในระดับร้อยละ 2 สอดคล้องกับประมาณการของหลายสถาบัน โดยในไตรมาสสุดท้ายปีนี้มีความเป็นไปได้ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะติดลบ โดยจะต้องติดตามว่า นโยบายการเงินและการคลังของทุกประเทศในโลกจะได้ผลมากน้อยเพียงใด เพราะหากได้รับผลดี จะส่งผลดีต่อประเทศไทยด้วย

นายโฆษิต ยังเชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีหน้า ยังอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่องจากปีนี้ โดยการใช้นโยบายการเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมีข้อจำกัดระดับหนึ่ง เช่น หากดอกเบี้ยลดลงมาต่ำมากแล้ว ก็คงไม่สามารถลดลงไปได้อีก ขณะที่นโยบายการคลังก็มีความจำเป็นที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเฉพาะในภาวะที่การเมืองเป็นเช่นนี้ เนื่องจากเอกชนที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจจะมีข้อจำกัดมากขึ้น

สำหรับปัญหาการเมืองในขณะนี้ ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ควรที่จะให้กำลังใจ และไม่ควรตั้งประเด็นข้อสงสัย โดยต้องร่วมผลักดันให้เกิดการทำงาน และเร่งให้มีรัฐบาลชุดใหม่เร็วที่สุด เพราะยังมีงานหนักรออยู่

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าในการขยายสินเชื่อปี 2552 ไว้ที่ในระดับร้อยละ 5 จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ร้อยละ 8-9 ซึ่งสูงกว่าเป้า ที่เคยตั้งไว้ที่ร้อยละ 5-7 โดยคาดว่าจีดีพีของไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2-3

. . .



ธกส. เตรียมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ “แรงงานคืนถิ่น”


นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รักษาการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้หารือกับสำนักงานกองทุนประกันสังคม (สปส.) เกี่ยวกับความร่วมมือในโครงการให้ความช่วยเหลือคนตกงานภายใต้โครงการกู้วิกฤติแรงงานคืนถิ่น โดย สปส.จะนำเงินส่วนหนึ่งจากวงเงิน 10,000 ล้านบาท มาฝากไว้กับ ธ.ก.ส. จากนั้นก็ให้ ธ.ก.ส.นำไปปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับสมาชิกกองทุนประกันสังคมที่ตกงานและกลับไปประกอบอาชีพส่วนตัว เช่น ทำการเกษตร เป็นต้น

แนวทางที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการว่างงานที่จะมีขึ้นในปีหน้าคือช่วยปล่อยสินเชื่อให้กับบรรดาลูกๆของลูกค้าที่ทำงานในเมืองแล้วตกงานและกลับมาทำงานที่บ้าน เพราะเชื่อว่า 80% ของ “แรงงานคืนถิ่น”นั้นเป็นลูกๆของลูกค้า ธ.ก.ส. โดยประเมินว่าถ้ามีคนตกงาน 1 ล้านคน จะสามารถ เข้าไปช่วยประมาณ 10% คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 5,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยให้สินเชื่อประมาณ 50,000 บาทต่อราย โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเพียง 5% ต่อปี

สำหรับบัณฑิตที่กำลังจะตกงาน ธ.ก.ส.ก็มีแผนจะช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มคนดังกล่าว โดยจะใช้ชื่อโครงการว่า “บัณฑิตคืนถิ่น” ซึ่งก็จะให้สินเชื่อในแนวทางที่ใกล้เคียงกับโครงการกู้วิกฤติแรงงานคืนถิ่น ทั้งเรื่องของวงเงินและการเข้าโครงการฝึกอบรม แต่อัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าโดยคิดในอัตรา 7% ต่อปี

. . .



“ธนินทร์” ชี้เรื่องเร่งด่วนรัฐบาลใหม่ต้องทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น-ฟื้นฟูการท่องเที่ยว-ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี


นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) กล่าวว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศ เรื่องเร่งด่วน คือ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น, การฟื้นฟูการท่องเที่ยว รวมถึงสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงราคาให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยให้เกษตรกรมาช่วยเหลือคนจนในเมืองแล้วก็ยิ่งจนลง ในโลกนี้มีแต่สนับสนุนให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น

ในปีหน้าถ้ารีบยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้เทียบเท่ากับราคาน้ำมัน และเร่งช่วยเหลือปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้ กำลังซื้อที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศกลับมาพึ่งพาตลาดภายในประเทศมากขึ้น
ธุรกิจเอสเอ็มอี แม่ค้าหาบเร่แผงลอย ธุรกิจบริการ โรงงานไม่ต้องเอาคนออก รัฐบาลก็จะสามารถเก็บภาษีได้ปกติ

“ถ้าสินค้าทุกอย่างราคาลงตามราคาน้ำมัน รัฐบาลจะเก็บภาษีได้น้อยเพราะตัวเงินน้อยลง เมื่อราคาสินค้าตกลงไป 30% ภาษีก็เก็บได้น้อยลง 30% ถ้ายิ่งคนซื้อน้อยลงไปด้วยอีก เพราะไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยจะยิ่งเป็นตัวอันตราย”

นอกจากนี้ ในเรื่องของการท่องเที่ยวที่ได้บทเรียนจากการที่ทั่วโลกไม่พอใจกรณีการปิดสนามบิน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างมาก เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวปีละกว่า 400,000 ล้าน ที่แม้จะหดหายไปราว 100,000 ล้านบาท แต่รายได้ส่วนนี้ถ้ามีการหมุนเวียนในประเทศ 5 รอบ จะมีเม็ดเงินหายไปจากระบบถึง 500,000 ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบถ้วนหน้า รัฐบาลจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ท่องเที่ยวคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

นายธนินทร์กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าต้องคอยระวังตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงกลางปี โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่อาจจะถึงจุดต่ำสุด จากนั้นจะเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายปี

นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่าในช่วง ม.ค-ส.ค.ปี 51 ราคาสินค้าเกษตรทุกตัวอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก และแม้ว่าจะเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับราคามากนัก ทำให้ประมาณการอัตราการเจริญเติบโตของจีดีพีในภาคเกษตรในปี 51 ยังคงขยายตัวได้ดีประมาณ 4.4% ขณะที่ปี 52 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3-4% ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่หากภาครัฐไม่มีนโยบายใดๆ เพื่อรองรับผลกระทบปัจจัยภายนอก ก็คาดว่าจีดีพีภาคการเกษตรปี 52 จะขยายตัวเพียง 2%

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ไตรมาส 4 ปี 51 เศรษฐกิจไทยเติบโตติดลบ 2% แต่ยังดีที่ช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจสามารถโตมากกว่า 5.5%

ดังนั้น ตลอดทั้งปี สศค.จึงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ประมาณ 3.2% และปี 52 น่าจะสามารถเติบโตได้ประมาณ 0-2% นั่นหมายถึงไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ดังนั้น หากในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามา มีการสานต่องานเดิม มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ เพราะหากดูพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวยังไม่วิกฤติ พื้นฐานเศรษฐกิจยังแกร่งอยู่มาก เงินสำรองมีเพียงพอ ตัวเลขคนว่างงานยังต่ำแค่ 1.1% ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นแนวโน้มสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของภาคเกษตรปี 52 มีสัญญาณน่าเป็นห่วงคือรายได้ของเกษตรกรประจำเดือน ต.ค.51 ปรับตัวลดลงจนติดลบประมาณ 0.6% ดังนั้น เป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของรัฐบาลใหม่ที่เมื่อเข้ามาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเป็นความหวังสำคัญคือภาคเกษตรจะเป็นตัวดูดซับแรงงานจากอุตสาหกรรมที่ตกงาน

. . .



เงินบาทแข็งค่าทะลุระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นได้ จากแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ค่าเงินบาทในประเทศ (Onshore) ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์ที่ผ่านมา แข็งค่าทะลุระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทในวันศุกร์ เงินบาทแข็งค่าทะลุระดับ 35.00 มายืนที่ระดับประมาณ 34.96 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 35.74 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันพฤหัสบดีก่อนหน้า (4 ธ.ค.)
ซึ่งมีทิศทางแข็งค่าขึ้นท่ามกลางบรรยากาศการเมืองของไทยที่ดีขึ้น และยังได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของค่าเงินในภูมิภาค รวมทั้งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในเอเชีย เพราะนักลงทุนต้องการลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ (15-19 ธ.ค.51) คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 34.90-35.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยการเมืองในประเทศ, ทิศทางค่าเงินสกุลเงินในภูมิภาค, ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการตอบรับของตลาดต่อการประชุมเฟดในวันที่ 15-16 ธันวาคม,
และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ เช่น ผลสำรวจภาคการผลิต, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจ, ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย, ดัชนีราคาผู้บริโภค, ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้าง ฯลฯ

สำหรับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาปิดที่ระดับ 424.79 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 จาก 392.87 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลงร้อยละ 50.50 จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.70 จาก 44,801 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 72,443.91 ล้านบาท

มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 11,200 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 14,489 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,326 ล้านบาท และ 2,259 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 6,585 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (15-19 ธันวาคม 2551) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นได้ จากแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น หลังผลการเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะนักวิเคราะห์และนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล,
การติดตามผลการประชุมนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ในวันที่ 15-16 ธ.ค.,
การประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 17 ธ.ค.,
รวมทั้งการปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาค, ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 393 และ 384 จุด ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 433 และ 463 จุด ตามลำดับ

. . .



ราคายางตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี ชาวสวนเตรียมรวมตัวจี้ รัฐบาลแก้ปัญหา


นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางพาราแห่งประเทศไทย กล่าวถึงราคายางพาราในขณะนี้ว่า ราคายางพาราขณะนี้ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี โดยราคายางแผ่นดิบเหลือกิโลกรัมละ 27-32 บาท จากเดิมที่เคยสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 85-100 บาท

สาเหตุที่ทำให้ราคายางพาราตกต่ำลง เกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์ตกต่ำ และเป็นตัวฉุดให้ราคายางธรรมชาติตกต่ำตามไปด้วย
ซึ่งขณะนี้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และเตรียมชุมนุมปิดถนนในหลายจุด เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา โดยเรียกร้องให้ยุบบริษัทร่วมทุนยางพารา 3 ประเทศ ที่ร่วมกันระหว่างไทย, มาเลเซีย, และอินโดนีเซีย เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทำให้เสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์

. . .



กรมการจัดหางานนัดพบแรงงาน-แนะแนวอาชีพ 16 ธ.ค.


นายพิชัย เอกพิทักษ์ดำรง อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากการที่สถานประกอบการต่างๆ ปิดกิจการ ทำให้แรงงานจำนวนมากถูกเลิกจ้างและทยอยกลับภูมิลำเนา ส่งผลกระทบต่อปัญหาการว่างงานในท้องถิ่นตามมา กรมการจัดหางานจึงเตรียมจัดงานวันนัดพบแรงงานย่อย และงานวันแนะแนวอาชีพในชุมนุม ขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2551 โดยมีนายจ้างเข้าร่วมรับสมัครงาน ทั้งสิ้น 45 บริษัท ตำแหน่งงานว่างกว่า 4,500 อัตรา และการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระใน 4 อาชีพ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพ และช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน ตลอดจนแก้ปัญหาการว่างงานในท้องถิ่นด้วย

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถเตรียมหลักฐานมาสมัครงานได้ที่ ลานอเนกประสงค์ แมงป่องบุ๊ค สาขาลาดพร้าว 90 หรือที่สายด่วน 1694


. . .


Create Date : 14 ธันวาคม 2551
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 21:11:37 น. 2 comments
Counter : 664 Pageviews.

 




You'd better watch out.
เธอต้องระวังตัว

You'd better not cry.
เธอต้องไม่ร้องไห้

You'd better keep cash
เธอต้องเก็บเงินสดเอาไว้

I'm telling you why
ฉันจะบอกเธอว่าทำไม

Recession is coming to town.
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน



It's hitting you once.
มันทำให้เธอเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่ง

It's hitting you twice.
มันจะทำให้เธอเจ็บซ้ำสอง

It doesn't care if you've been careful and wise.
มันไม่สนใจว่าเธอจะระมัดระวังและฉลาดแค่ไหน

Recession is coming to town.
เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน



It's worthless if you've got share.
ถึงเธอจะมีหุ้นก็ไร้ค่า

It's worthless if you've got bonds.
ถึงเธอจะมีพันธบัตรก็ไร้ค่า

It's safe when you've got cash in hand.
มันจะปลอดภัยที่สุดถ้าเธอถือเงินสดไว้ในมือ

So keep cash for goodness sake.Hey!
ดังนั้น จงเก็บเงินสดไว้เถอะ..เฮย์ !



You'd better watch out.
เธอต้องระวังตัว

You'd better not cry.
เธอต้องไม่ร้องไห้

You'd better keep cash.
เธอต้องเก็บเงินสดเอาไว้

I'm telling you why
ฉันจะบอกเธอว่าทำไม

Recession is coming to town.
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน




Finance products are confusing.
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่างสับสน

Finance products are so vague.
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่างคลุมเครือ


The banks make you bear the cost of risk.
ธนาคารให้เราแบกรับความเสี่ยง

So keep out for goodness sake.Oh!
ดังนั้น จงอย่าไปยุ่งกับมันดีที่สุด..โอว !


You'd better watch out.
เธอต้องระวังตัว

You'd better not cry.
เธอต้องไม่ร้องไห้

You'd better keep cash.
เธอต้องเก็บเงินสดเอาไว้

I'm telling you why
ฉันจะบอกเธอว่าทำไม

Recession is coming to town.
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน


โดย: ป้าซ่าส์ วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:17:40:48 น.  

 
You'd better watch out.
เธอต้องระวังตัว

You'd better not cry.
เธอต้องไม่ร้องไห้

You'd better keep cash
เธอต้องเก็บเงินสดเอาไว้

I'm telling you why
ฉันจะบอกเธอว่าทำไม

Recession is coming to town.
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน



It's hitting you once.
มันทำให้เธอเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่ง

It's hitting you twice.
มันจะทำให้เธอเจ็บซ้ำสอง

It doesn't care if you've been careful and wise.
มันไม่สนใจว่าเธอจะระมัดระวังและฉลาดแค่ไหน

Recession is coming to town.
เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน



It's worthless if you've got share.
ถึงเธอจะมีหุ้นก็ไร้ค่า

It's worthless if you've got bonds.
ถึงเธอจะมีพันธบัตรก็ไร้ค่า

It's safe when you've got cash in hand.
มันจะปลอดภัยที่สุดถ้าเธอถือเงินสดไว้ในมือ

So keep cash for goodness sake.Hey!
ดังนั้น จงเก็บเงินสดไว้เถอะ..เฮย์ !



You'd better watch out.
เธอต้องระวังตัว

You'd better not cry.
เธอต้องไม่ร้องไห้

You'd better keep cash.
เธอต้องเก็บเงินสดเอาไว้

I'm telling you why
ฉันจะบอกเธอว่าทำไม

Recession is coming to town.
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน




Finance products are confusing.
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่างสับสน

Finance products are so vague.
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่างคลุมเครือ


The banks make you bear the cost of risk.
ธนาคารให้เราแบกรับความเสี่ยง

So keep out for goodness sake.Oh!
ดังนั้น จงอย่าไปยุ่งกับมันดีที่สุด..โอว !


You'd better watch out.
เธอต้องระวังตัว

You'd better not cry.
เธอต้องไม่ร้องไห้

You'd better keep cash.
เธอต้องเก็บเงินสดเอาไว้

I'm telling you why
ฉันจะบอกเธอว่าทำไม

Recession is coming to town.
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาเยือน





โดย: ป้าซ่าส์ วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:17:41:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.