Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 60 สตางค์ --หุ้นหลุด 500

. . .

รัฐ-เอกชนร่วมมือออกโรดโชว์ต่างประเทศดึงการลงทุน-การท่องเที่ยวกลับไทย

นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี, คณะกรรมการภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ว่า ประเทศไทยจะออกโรดโชว์ในนามทีมไทยแลนด์ เพื่อเชิญชวนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาประเทศไทย ซึ่งจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจและการส่งออก ไม่ให้กระทบมากเกินไป โดย ภาครัฐและเอกชนจะเน้นขยายตลาดใหม่ ทั้งเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา
ที่ประชุมยังมีความเห็นว่าควรมีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยเศรษฐกิจล่วงหน้าเพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจโลกที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย โดยที่ผ่านมาได้ป้องกันสภาพคล่องไม่ให้ไหลออกพอสมควรแล้ว ด้วยการนำเงินสำรองที่มีอยู่มาหมุนเวียนในรูปแบบสินเชื่อ ซึ่งมาตรการทั้งหมดถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่จะทำใน 1-3 เดือน
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่จะป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งจะให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางอีกครั้ง
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะหาแหล่งเงินทุนเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี ผ่านกลไกของกระทรวงการคลัง
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของภาครัฐและเอกชน ก่อนจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) อย่างเป็นทางการ โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วันที่ 14 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะทำให้การเดินหน้าประสานงาน ติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกเข้มข้นขึ้น โดย กรอ. จะประชุมทุกสัปดาห์
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนพอใจการตอบสนองของรัฐบาล ซึ่งหลังจากนี้จะประเมินผลการทำงาน เนื่องจากอีก 2-5 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจจะถดถอยลงอีก จึงต้องมีมาตรการรับมือโดยเฉพาะการส่งออกที่จะชะลอตัวลง ซึ่งปีหน้าคาดว่า ตัวเลขการส่งออกจะขยายตัวต่ำกว่า 2 หลัก
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ร้อยละ 4.5-5.0 แต่ปีหน้า คาดว่าจะเติบโตเหลือเพียงร้อยละ 3.0 และหากเศรษฐกิจชะลอตัวมาก จะกระทบต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะแรงงานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดจะลำบากขึ้น
ผลสำรวจเอแบค ระบุต่างชาติมองไทยได้เปรียบหลายชาติแต่มีปัญหาการเมือง-คอร์รัปชั่น

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “นักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติคิดอย่างไรต่อประเทศไทย ในฐานะหนึ่งในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน” ปรากฏว่า ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 ในเรื่องดีๆ หลายด้านที่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน
โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 52.4 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพของแรงงาน
ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 56.2 เมื่อถามถึงความเป็นเลิศด้านระบบสาธารณูปโภค
ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 43.7 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านวัตถุดิบที่เพียงพอ
ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 46.1 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านแรงงานท้องถิ่นที่เพียงพอ,ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 48.3 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านความสามารถในการจัดการธุรกิจ, ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 42.7 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านโอกาสการเติบโตทางการตลาด
ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 51 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน, ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 50 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมการลงทุน,ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 42 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านผลตอบแทนในการลงทุน
แต่เรื่องที่น่าเศร้า เมื่อกล่าวถึงความรุนแรงทางการเมือง กลับพบว่า ประเทศไทยขณะนี้ได้อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 40.4 มากพอๆ กับประเทศพม่า ที่ได้ร้อยละ 38.8 ในเรื่องความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ และที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นมากในลำดับต้นๆ รองจากประเทศอินโดนีเซีย และจีน ที่ได้ร้อยละ 37.8 ร้อยละ 32.5 ตามลำดับ และประเทศไทยได้ร้อยละ 31.9
ส่วนทางออกที่ดีที่สุดของการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยขณะนี้ นักธุรกิจนักลงทุนต่างชาติ มองว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 48.7 ระบุว่า ต้องเป็นประชาธิปไตยโดยเลือกตั้งใหม่ อันดับที่ 2 คือร้อยละ 24.5 ระบุว่าการปฏิรูปการเมืองใหม่ ทำให้ได้รัฐบาลที่ดีและฟังเสียงประชาชน และอันดับที่ 3 หรือร้อยละ 26.8 ระบุอื่นๆ เช่น เจรจาประนีประนอม ไม่ใช้ความรุนแรง และแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เป็นต้น


รมว.คลังเชื่อเหตุปะทะส่งผลกระทบความเชื่อมั่นลงทุนระยะสั้น

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมั่นใจในการทำงาน โดยได้แยกเรื่องของสถานการณ์การเมืองออกจากโครงสร้างบริหารจัดการเศรษฐกิจ ซึ่งทีมเศรษฐกิจจะเร่งเดินหน้าโครงการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการเอสเอ็มแอล พัฒนาสินค้าโอท็อปและธนาคารประชาชน รวมถึงผลักดันการส่งออก
ส่วนความเชื่อมั่นนักลงทุน นายสุชาติ เชื่อว่า จะมีผลกระทบในระยะสั้น เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวของกรุงเทพฯ แต่ยอมรับว่า ปัญหาการเมืองส่งผลกระทบต่อการลงทุน และการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกและภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ส่วนการลดลงของดัชนีหุ้นเป็นผลกระทบที่เหมือนกันทั่วโลก หากดัชนีหุ้นลงมากเกินจำเป็นก็จะปรับขึ้นมาเองตามกลไก แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
สำหรับผลกระทบต่อภาคประชาชนขอให้ยอมรับว่า การค้าขายอาจไม่ดี การส่งออกจะลดลง ซึ่งเป็นไปตามวิกฤตการณ์ของโลก
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากเหตุความรุนแรงทางการเมือง ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายด้านเศรษฐกิจเป็นตัวเลขได้ แต่คาดว่าจะส่งผลต่อการใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งจะซ้ำเติมสภาพเศรษฐกิจไทย นอกเหนือจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ


ตลาดหุ้นไทยลดลงรุนแรง ช่วงเวลา 4 วันลดลงกว่า 100 จุด

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมาปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน หลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 500 จุดก่อนปิดตลาดที่ 492.34 จุด ลดลง 36.37 จุด หรือ ร้อยละ 6.88 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,461 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,922 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 422 ล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 2,344 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบดัชนีตลาดหุ้นไทยกับเมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมาที่ระดับ 594.45 ดัชนีลดลงรวมแล้ว 102.11 จุด หรือร้อยละ 17.17 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market capitalization) หายไปกว่า 700,000 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลดลงเช่นกัน โดย
ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่น ลดลง 952.58 จุด หรือร้อยละ 9.38,
ดัชนีฮั่งเส็ง ลดลง 1,372.03 จุด หรือร้อยละ 8.17
ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 79.41 จุด หรือร้อยละ 5.81 เป็นต้น
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างแรง หลุดแนวรับสำคัญที่ 500 จุด เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกถือเงินสดเพื่อลดความเสี่ยงจากวิกฤติการเงินของสหรัฐฯ หลังมีการคาดว่าแผนการกอบกู้วิกฤติการเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจไม่สามารถกอบกู้วิกฤติการเงินได้เพียงพอ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกการเมืองภายในประเทศที่ร้อนแรงมากยิ่งขึ้นหลังกลุ่มผู้ชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศจะเคลื่อนขบวนเป็นดาวกระจายเพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย โดยตลาดบ้านเราจัดอยู่ในกลุ่มที่ลงหนัก เนื่องจากรับปัจจัยลบจากสถานการณ์การเมืองที่เข้ามากดดัน นอกเหนือจากที่จะต้องรับแรงกดดันจากวิกฤตการเงินในสหรัฐอมริกา ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง
กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.75% หลังเศรษฐกิจชะลอตัวลง

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ไว้ที่ 3.75% ต่อปี โดยเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากผลกระทบปัญหาวิกฤติด้านเศรษฐกิจในต่างประเทศ ขณะที่แรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงแล้ว

นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินในต่างประเทศได้ลุกลามไปยังเศรษฐกิจที่แท้จริงแล้ว ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบถึงการส่งออกของไทยด้วย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศลดลงตามการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน รวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศ ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรที่ขยายตัวได้สูง และอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้การใช้จ่ายภาคประชาชนมีแนวโน้มดีขึ้น กนง.จึงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.75 ต่อปี
กนง.ยังคงกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อในระยะต่อไป เพราะเชื่อว่าในช่วงปลายปี มีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นมาอีกตามความผันผวนของราคาน้ำมัน ประกอบกับประเมินว่า เศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อน ที่ร้อยละ 4.8- 5.8 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อทบทวนจีดีพีใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้

. . .

ปตท.-เชลล์ ประกาศลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 60 สตางค์

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เตรียมประกาศปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 60 สตางค์ โดยมีผลวันที่ 9 ต.ค. หลังราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ปรับลดลง
ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการน้ำมัน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ของปตท.และเชลล์ เป็นดังนี้
ราคาน้ำมันดีเซลลดลงจากลิตรละ 28.74 บาทเหลือ 28.14 บาท
ราคาน้ำมันดีเซล บี 5 ลดลงเหลือลิตรละ 27.44 บาท
ส่วนราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
โดยน้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 คงเดิมที่ 33.79 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 26.89 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 26.09 บาท/ลิตร

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า จากการที่สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทั้งตลาดหุ้น, การจ้างงาน รวมถึงปัญหาการขาดสภาพคล่อง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 13 เดือน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกอ่อนตัว
วานนี้( 8 ต.ค.) ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 77.85 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลในตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ 95.16 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ปตท. จึงปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลลงอีกลิตรละ 60 สตางค์
นายประเสริฐ กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา (รวมครั้งนี้) ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันขายปลีกลงให้ผู้บริโภคติดต่อกัน 4 ครั้ง (วันที่ 1, 5, 7 และ 9 ต.ค.51) และนับเป็นครั้งที่ 24 แล้ว (นับตั้งแต่ ก.ค. 51 เป็นต้นมา) รวมลดราคาลงถึง 12.30 -16.10 บาทต่อลิตร (กลุ่มเบนซินลดลง 12.30 บาท/ลิตร กลุ่มดีเซลลดลง 16.10 บาท/ลิตร )



กรมการขนส่งทางบกกำหนด ตั้งแต่ 21 ต.ค.นี้ อุปกรณ์ติดตั้ง LPG ต้องผ่าน มอก.

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตามที่กรมการขนส่งทางบก ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ผู้ติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบก

โดยประกาศดังกล่าวได้กำหนดมาตรฐานเครื่องอุปกรณ์ และส่วนควบ รวมทั้งถังหรือภาชนะบรรจุก๊าซ จะต้องผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.), มาตรฐานตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งชาติยุโรป (ECE R), หรือมาตรฐานอื่นๆ ตามที่กรมการขนส่งทางบกเห็นชอบ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการเพิ่มความปลอดภัยสำหรับรถใช้ก๊าซ LPG

ผู้สนใจเป็นผู้ติดตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถยื่นขอรับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบก ได้ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2551นี้ เป็นต้นไป โดยผ่อนผันให้ถึง วันที่ 18 เมษายน 2552 ดังนั้น เจ้าของรถจึงควรเลือกใช้บริการจากผู้ติดตั้งที่ผ่านความเห็นชอบแล้วเท่านั้น เนื่องจากจะมั่นใจในอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด

สำหรับผู้ประสงค์เป็นผู้ติดตั้งที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องภาย ในวันที่ 18 เมษายน 2552 หลังจากนั้น ผู้ที่สามารถเป็นผู้ติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ได้ จะต้องผ่านความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบกแล้วเท่านั้น


. . .


Create Date : 08 ตุลาคม 2551
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 20:13:36 น. 0 comments
Counter : 622 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.