ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย.นี้
. . .
ผู้ค้าน้ำมันได้ประกาศปรับลดราคาเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล์ 80 สตางค์/ลิตร ยกเว้นอี 85 และปรับลดราคาดีเซล 60 สตางค์/ลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย. ส่งผลให้ราคาน้ำมันเป็นดังนี้
เบนซิน 91 ลิตรละ 22.95 บาท แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 18.29 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 17.49 บาท ดีเซล บี 2 ลิตรละ 21.04 บาท ดีเซล บี 5 ลิตรละ 19.54 บาท
สาเหตุของการปรับลดราคา เกิดจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และตลาดกำลังจับตามองการประชุมโอเปค วันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ว่าจะลดกำลังการผลิตมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม การปรับลดราคาน้ำมันครั้งนี้ส่งผลให้ราคาดีเซลอยู่ที่ 21.04 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่จะทำให้เกิดการปรับลดอัตราค่าโดยสารต่อไป
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันขณะนี้แม้จะอยู่ในทิศทางขาลง แต่คาดว่าปีหน้าราคาจะขยับสูงมากกว่านี้ และทั้งปีน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ 55-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม จากราคาน้ำมันที่ลดลงจากประมาณ 40 บาทต่อลิตร เหลือกว่า 20 บาทต่อลิตร ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ลดน้อยลง ประกอบกับในปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ประเมินว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.7
ดังนั้น สศช.จึงคาดว่าเศรษฐกิจของไทยปี 2552 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 3-4 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4-5 ซึ่งการที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะลดลงดังกล่าว รวมถึงรัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงจากราคาน้ำมัน ภาษีเงินได้ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา จึงทำให้คาดว่าปีงบประมาณ 2552 จะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 50,000-100,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลต่อการจัดทำงบประมาณขาดดุลในปี 2553
ดังนั้น สศช. จึงเห็นด้วยกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ว่ารัฐบาลไม่ควรลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาลงอีก ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2553 ซึ่งงบปี 2552 นั้น ตั้งงบขาดดุลไว้เพื่อสำรองการจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมของภาครัฐ 120,000 ล้านบาท ตั้งงบสำรองคงคลัง 27,000 ล้านบาท บนพื้นฐานงบลงทุนร้อยละ 25 ของงบประมาณทั้งหมด แต่เมื่อรายได้ลดลง 50,000-100,000 ล้านบาท ดังนั้น งบปี 2553 ก็อาจจะขาดดุลเกินร้อยละ 25 ของจีดีพี ดังนั้น จึงจะต้องระมัดระวังรายได้ของภาครัฐ
. . .
Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2551 11:46:41 น. |
|
4 comments
|
Counter : 727 Pageviews. |
|
|
|
สศช. ระบุหากการเมืองยังวุ่นเศรษฐกิจปีหน้าจะโตต่ำกว่าร้อยละ 3-4
สภาพัฒน์ฯ ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าจากร้อยละ 4-5 เหลือร้อยละ 3-4 แต่อยู่บนพื้นฐานประเทศชาติสงบ รัฐบาลสามารถเดินหน้าบริการราชการต่อไปได้
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.0 ซึ่งต่ำกว่าไตรมาส 1 และ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.0 และ 5.3 ตามลำดับ
รวม 9 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 5.1 คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.5 จากประมาณการเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.2-5.7 ซึ่งเป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลกและปัญหาความไม่สงบในประเทศ ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุน
ส่วนปีหน้านั้น สศช. ได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวทางเศรษฐกิจลงเหลือร้อยละ 3.0-4.0 จากเดิมที่คาดว่าขยายตัวร้อยละ 4.0-5.0 เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าชะลอตัวลงจากคาดการณ์เดิมขยายตัวร้อยละ 3.7 เหลือร้อยละ 2.0
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยจะเป็นไปดังคาดต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ประเทศไทยมีความสงบ รัฐบาลสามารถบริหารงานให้เดินหน้าไปอย่างเต็มที่ โดยสามารถเร่งรัดการค้า การลงทุน สามารถดูแลสินค้าเกษตรที่คาดว่าราคาจะลดต่ำลงไปอีก เพราะหากปัญหาความไม่สงบยังมีอยู่ก็คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาด
สศช. คาดว่าการส่งออกปี 2552 จะชะลอตัว โดยเติบโตลดลงจากปี 2551 ที่ร้อยละ 7.6 เหลือร้อยละ 4.4 ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้น จากขาดดุล 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นขาดดุล 6,500 ล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลเพิ่มจากร้อยละ 0.4 เป็นร้อยละ 1.2 เงินเฟ้อ ลดลงจากร้อยละ 5.6 เหลือร้อยละ 2.5-3.5 อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่ร้อยละ 1.4 เป็นร้อยละ1.5-2.5 ของจีดีพี มีจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 1.2 ล้านคน
รัฐบาลจะต้องหาทางรับมือเศรษฐกิจ ด้วยการเร่งรัดการลงทุนเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เร่งรัดการกระจายงบด้านการดูแลสังคม สาธารณสุข การกระตุ้นการท่องเที่ยว
สำหรับจีดีพีไตรมาส 3 ปี 2551 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 4.0 เป็นเพราะการชะลอตัวของภาคการผลิต โดยภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ หดตัวถึงร้อยละ 4.5 ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 3.4 ในไตรมาสที่ 2, การชะลอลงอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยว เป็นผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศและผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาคมนาคมขนส่งขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 และร้อยละ 1.5 ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงร้อยละ 1.7 โดยเฉพาะเดือนกันยายนลดลงมากถึงร้อยละ 16.5
ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยขยายตัวร้อยละ 6.1 จากที่ขยายตัวร้อยละ 9.5 และ 7.7 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา
ด้านค่าใช้จ่ายไตรมาส 3 ปี 2551 ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ยังขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกร การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และการดำเนินนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 2.9 และ 5.5 ตามลำดับ โดยการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวติดต่อกัน 3 ไตรมาส การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงต่อเนื่อง โดยขยายตัวร้อยละ 3.5 การส่งออกไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 แต่ชะลอลงจากร้อยละ 9.1 ในไตรมาส 2
อย่างไรก็ตาม ราคาส่งออกที่ยังเพิ่มสูงขึ้นทำให้มูลค่าการส่งออกในไตรมาส 3 ในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 7.3 แต่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อได้เริ่มลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา
. . .