Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย.นี้

. . .


ผู้ค้าน้ำมันได้ประกาศปรับลดราคาเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล์ 80 สตางค์/ลิตร ยกเว้นอี 85 และปรับลดราคาดีเซล 60 สตางค์/ลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย. ส่งผลให้ราคาน้ำมันเป็นดังนี้

เบนซิน 91 ลิตรละ 22.95 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 18.29 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 17.49 บาท
ดีเซล บี 2 ลิตรละ 21.04 บาท
ดีเซล บี 5 ลิตรละ 19.54 บาท

สาเหตุของการปรับลดราคา เกิดจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และตลาดกำลังจับตามองการประชุมโอเปค วันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ว่าจะลดกำลังการผลิตมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม การปรับลดราคาน้ำมันครั้งนี้ส่งผลให้ราคาดีเซลอยู่ที่ 21.04 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่จะทำให้เกิดการปรับลดอัตราค่าโดยสารต่อไป

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันขณะนี้แม้จะอยู่ในทิศทางขาลง แต่คาดว่าปีหน้าราคาจะขยับสูงมากกว่านี้ และทั้งปีน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ 55-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม จากราคาน้ำมันที่ลดลงจากประมาณ 40 บาทต่อลิตร เหลือกว่า 20 บาทต่อลิตร ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ลดน้อยลง ประกอบกับในปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ประเมินว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.7

ดังนั้น สศช.จึงคาดว่าเศรษฐกิจของไทยปี 2552 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 3-4 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4-5 ซึ่งการที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะลดลงดังกล่าว รวมถึงรัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงจากราคาน้ำมัน ภาษีเงินได้ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา จึงทำให้คาดว่าปีงบประมาณ 2552 จะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 50,000-100,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลต่อการจัดทำงบประมาณขาดดุลในปี 2553

ดังนั้น สศช. จึงเห็นด้วยกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ว่ารัฐบาลไม่ควรลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาลงอีก ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2553 ซึ่งงบปี 2552 นั้น ตั้งงบขาดดุลไว้เพื่อสำรองการจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมของภาครัฐ 120,000 ล้านบาท ตั้งงบสำรองคงคลัง 27,000 ล้านบาท บนพื้นฐานงบลงทุนร้อยละ 25 ของงบประมาณทั้งหมด แต่เมื่อรายได้ลดลง 50,000-100,000 ล้านบาท ดังนั้น งบปี 2553 ก็อาจจะขาดดุลเกินร้อยละ 25 ของจีดีพี ดังนั้น จึงจะต้องระมัดระวังรายได้ของภาครัฐ

. . .


Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2551 11:46:41 น. 4 comments
Counter : 727 Pageviews.

 
. . .

สศช. ระบุหากการเมืองยังวุ่นเศรษฐกิจปีหน้าจะโตต่ำกว่าร้อยละ 3-4

สภาพัฒน์ฯ ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าจากร้อยละ 4-5 เหลือร้อยละ 3-4 แต่อยู่บนพื้นฐานประเทศชาติสงบ รัฐบาลสามารถเดินหน้าบริการราชการต่อไปได้

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.0 ซึ่งต่ำกว่าไตรมาส 1 และ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.0 และ 5.3 ตามลำดับ

รวม 9 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 5.1 คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.5 จากประมาณการเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.2-5.7 ซึ่งเป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลกและปัญหาความไม่สงบในประเทศ ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุน

ส่วนปีหน้านั้น สศช. ได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวทางเศรษฐกิจลงเหลือร้อยละ 3.0-4.0 จากเดิมที่คาดว่าขยายตัวร้อยละ 4.0-5.0 เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าชะลอตัวลงจากคาดการณ์เดิมขยายตัวร้อยละ 3.7 เหลือร้อยละ 2.0

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยจะเป็นไปดังคาดต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ประเทศไทยมีความสงบ รัฐบาลสามารถบริหารงานให้เดินหน้าไปอย่างเต็มที่ โดยสามารถเร่งรัดการค้า การลงทุน สามารถดูแลสินค้าเกษตรที่คาดว่าราคาจะลดต่ำลงไปอีก เพราะหากปัญหาความไม่สงบยังมีอยู่ก็คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาด

สศช. คาดว่าการส่งออกปี 2552 จะชะลอตัว โดยเติบโตลดลงจากปี 2551 ที่ร้อยละ 7.6 เหลือร้อยละ 4.4 ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้น จากขาดดุล 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นขาดดุล 6,500 ล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลเพิ่มจากร้อยละ 0.4 เป็นร้อยละ 1.2 เงินเฟ้อ ลดลงจากร้อยละ 5.6 เหลือร้อยละ 2.5-3.5 อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่ร้อยละ 1.4 เป็นร้อยละ1.5-2.5 ของจีดีพี มีจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 1.2 ล้านคน

รัฐบาลจะต้องหาทางรับมือเศรษฐกิจ ด้วยการเร่งรัดการลงทุนเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เร่งรัดการกระจายงบด้านการดูแลสังคม สาธารณสุข การกระตุ้นการท่องเที่ยว

สำหรับจีดีพีไตรมาส 3 ปี 2551 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 4.0 เป็นเพราะการชะลอตัวของภาคการผลิต โดยภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ หดตัวถึงร้อยละ 4.5 ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 3.4 ในไตรมาสที่ 2, การชะลอลงอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยว เป็นผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศและผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาคมนาคมขนส่งขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 และร้อยละ 1.5 ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงร้อยละ 1.7 โดยเฉพาะเดือนกันยายนลดลงมากถึงร้อยละ 16.5

ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยขยายตัวร้อยละ 6.1 จากที่ขยายตัวร้อยละ 9.5 และ 7.7 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา

ด้านค่าใช้จ่ายไตรมาส 3 ปี 2551 ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ยังขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกร การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และการดำเนินนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน

ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 2.9 และ 5.5 ตามลำดับ โดยการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวติดต่อกัน 3 ไตรมาส การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงต่อเนื่อง โดยขยายตัวร้อยละ 3.5 การส่งออกไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 แต่ชะลอลงจากร้อยละ 9.1 ในไตรมาส 2

อย่างไรก็ตาม ราคาส่งออกที่ยังเพิ่มสูงขึ้นทำให้มูลค่าการส่งออกในไตรมาส 3 ในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 7.3 แต่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อได้เริ่มลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา

. . .


โดย: news IP: 118.173.223.200 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:58:03 น.  

 
. . .

จากตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/2551 ที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาด โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดๆ ไปนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2551 อาจมีอัตราการขยายตัวชะลอลงมากขึ้น โดยอาจต่ำกว่าร้อยละ 3.0 โดย ณ ขณะนี้ ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของปี 2551 ทั้งปี อาจมีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.5 ใกล้เคียงกับที่สศช. คาดไว้ ขณะที่การรับรู้ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ น่าจะยิ่งเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสต่อๆ ไป ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อาจจะยิ่งเผชิญการชะลอตัวที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีก โดยอัตราการขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกดังกล่าวอาจจะลงไปต่ำกว่าร้อยละ 2.0

จากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 โดยมีค่ากลางในกรณีพื้นฐาน (Base Case) ที่ร้อยละ 3.5 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 4.0-5.0 ในขณะที่ อัตราการขยายตัวในกรณีเลวร้าย (Worst Case) จะอยู่ที่ร้อยละ 2.5

จากความเสี่ยงที่รุมล้อมรอบด้านที่อาจเข้ามากระทบทำให้เศรษฐกิจไทยต้องประสบกับภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรงในปีข้างหน้านี้ ผลที่จะตามมาต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งธุรกิจหลายสาขาเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว และเริ่มมีผลโยงไปสู่การลดกำลังการผลิตหรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว การเลิกจ้างพนักงาน หรือบางรายถึงขั้นเลิกกิจการ ทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจและการจ้างงานทั้งในธุรกิจที่ประสบปัญหาโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะได้รับผลกระทบตามมา จึงนับเป็นความท้าทายในเชิงนโยบาย ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจในรอบนี้มีข้อแตกต่างจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่สำคัญคือ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในด้านเสถียรภาพด้านต่างประเทศและระบบการเงินยังค่อนข้างแข็งแรง ขณะที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีช่องทางและเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้จัดการกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นได้ แตกต่างจากในช่วงปี 2540 ที่ทางการแทบไม่มีมาตรการออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้นหลายฝ่ายจึงคาดหวังต่อบทบาทเชิงนโยบายของทางการในการผ่อนคลายนโยบายการเงินและใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลังเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่หนักหน่วงในครั้งนี้

. . .


โดย: news IP: 118.173.223.200 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:00:16 น.  

 
. . .


หุ้นไทยปรับฐานลงต่ออีก 11.39 จุด มาปิดที่ 386.12


ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ยังคงเผชิญกับแรงเทขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน เพราะได้รับผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอย รวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใช้กลยุทธ์ดาวกระจายปิดล้อมหน่วยงานต่างๆ ทำให้นักลงทุนชะลอลงทุน เพื่อดูสถานการณ์

ดัชนีปิดตลาดที่ 386.12 จุด ลดลง 11.39 จุด หรือร้อยละ 2.87 ด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบาง 6,727 ล้านบาท

นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,113 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 295 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 818 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ มองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลดลง มาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากภาคการผลิตมีปัญหา โดยเฉพาะธุรกิจรถยนต์ในสหรัฐที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ทำให้ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นและเทขายหุ้นไทยเฉลี่ยวันละ 1,000 ล้านบาท ประกอบกับเกิดแรงกดดันด้านการเมืองในประเทศที่ใช้กลยุทธ์ดาวกระจาย ก็ยิ่งทำให้เกิดแรงเทขายในระยะสั้นออกมาอีก

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 พ.ย.) เชื่อว่า ยังคงได้รับแรงกดดันจากการเมืองในประเทศ ซึ่งต้องรอติดตามสถานการณ์ต่างๆ ว่าจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นตามมาหรือไม่ นอกจากนี้ ต้องจับตาแรงขายในช่วงปลายปีว่าจะมีออกมาอย่างต่อเนื่องหรือไม่ โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 373 จุด และแนวต้านที่ระดับ 395 จุด

. . .



บีทีเอสชวนพ่อนั่งรถไฟฟ้าฟรี 5 ธันวาคมนี้ 06.00-24.00 น.


นายอาณัติ อาภาภิรม กรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เปิดเผยว่า ในวันพ่อแห่งชาติปีนี้ บริษัทฯ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. - 10 ธ.ค.51 และร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ ทางเดินเชื่อมสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ในวันที่ 5 ธันวาคม เวลา 19.19 น.

ซึ่งทางบีทีเอสจะจัดกิจกรรมในวันพ่อ โดยให้ลูกพาพ่อโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสฟรี ตลอดสายทุกเส้นทางในวันที่ 5 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. ซึ่งพ่อและลูกจะต้องขึ้น และลงสถานีเดียวกัน ติดต่อขอรับคูปองเดินทางฟรีได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารทั้ง 23 สถานี

นอกจากนี้ จะยกเว้นค่าโดยสารสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตร โดยลูกพาพ่อโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร

. . .


โดย: loykratong วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:54:00 น.  

 




โดย: ดราก้อนวี วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:51:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.