Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
... ตัวเลขว่างงานเดือนเมษายน 2552 พุ่งขึ้น 49.7% ...

...


ตัวเลขว่างงานเดือนเมษายน 2552 พุ่งขึ้น 49.7%
จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ... แนวโน้มคาดว่าอาจยังไม่ฟื้นตัว

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

จากรายงานผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุดตัวเลขผู้ว่างงานในเดือนเมษายน 2552 เพิ่มขึ้นตามคาด โดยอัตราการว่างงานขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 1.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม ซึ่งปัจจัยสำคัญเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย และเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมต่อเนื่องถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ตัวเลขว่างงานในระยะถัดไป อาจยังได้รับผลกระทบบางส่วนต่อเนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศดังกล่าว และจำนวนนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยมีประเด็นวิเคราะห์สำคัญ ดังนี้


 ตัวเลขว่างงานเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง โดยผู้ว่างงานในเดือนเม.ย. มีจำนวน 8.2 แสนคน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.9 จากเดือนมี.ค. ที่มีผู้ว่างงานจำนวน 7.1 แสนคน และพุ่งขึ้นร้อยละ 49.7 จากเดือนเม.ย. ปี 2551 เทียบกับอัตราการเพิ่มที่ร้อยละ 28.1 (YoY) ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ตั้งแต่เดือนพ.ย. 2551 ขณะที่อัตราการว่างงานก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 1.9 ในเดือนก.พ. และมี.ค. ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้ว่างงานในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อนทั้งในภาคเกษตร (ขยายตัวร้อยละ 60.3 ในเดือนเม.ย. พลิกจากที่หดตัวร้อยละ 34.7 ในเดือนมี.ค.) ภาคการผลิต (เพิ่มขึ้นร้อยละ 82.5 ในเดือนเม.ย. เร่งตัวขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 61.0 ในเดือนมี.ค.) และภาคการบริการ (ขยายตัวร้อยละ 127.8 ในเดือนเม.ย. พุ่งขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 53.7 ในเดือนก่อนหน้า) โดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมต่อเนื่องถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่างงานในกลุ่มที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยหดตัวร้อยละ 8.3 (YoY) ในเดือนเม.ย. พลิกจากที่ขยายตัวร้อยละ 32.7 ในเดือนมี.ค. แต่ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลของฐานเปรียบเทียบที่ค่อนข้างสูงในปีก่อน นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าหากพิจารณาข้อมูลอัตราการว่างงานที่จำแนกตามกลุ่มอายุแล้วจะพบว่าแรงงานกลุ่มเยาวชนที่มีอายุ 15-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจะรวมแรงงานจบการศึกษาใหม่เป็นส่วนใหญ่ ยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างสูง โดยมีอัตราการว่างงานในเดือนเม.ย. สูงถึงร้อยละ 8.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.3 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน


 ภาวะการมีงานทำเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยผู้มีงานทำในเดือนเม.ย. 2552 มีจำนวน 37.06 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 2.2 ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการลดลงของผู้มีงานทำในภาคการผลิตที่หดตัวสูงถึงร้อยละ 6.8 ในเดือนเม.ย. เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 ในเดือนมี.ค. ขณะที่ผู้มีงานทำในภาคเกษตรก็ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.2 ในเดือนเม.ย. ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 ในเดือนมี.ค.

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตัวเลขว่างงานในระยะข้างหน้า อาจยังไม่ฟื้นตัว นอกจากประเด็นผลกระทบจากจำนวนนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายประการไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมทั้งสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั้งนี้ แม้ตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกจะเริ่มมีสัญญาณบวกมากขึ้น แต่ก็ยังปะปนด้วยข่าวลบโดยเฉพาะจากตลาดแรงงานจึงทำให้การฟื้นตัวน่าจะมีความเปราะบาง ในทำนองเดียวกันแม้เศรษฐกิจไทย อาจมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เชื่อมโยงกับภาคการส่งออก อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แต่การฟื้นตัวยังไม่กระจายตัวทั่วถึงไปในทุกภาคส่วน ดังสะท้อนได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ที่ยังอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 57.7 ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เทียบกับร้อยละ 67.7 ในปี 2551 ซึ่งหมายความว่ากำลังการผลิตส่วนเกินยังมีเหลืออยู่มาก นอกจากนี้ แนวโน้มของภาคบริการยังขึ้นกับความสามารถในการควบคุมและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเนื่องจากความกังวลต่อโอกาสในการติดเชื้อ ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวอาจทำให้ผู้ประกอบการยังไม่ตัดสินใจเพิ่มการจ้างงานในระยะอันใกล้นี้จนกว่ายอดคำสั่งซื้อจะเริ่มฟื้นตัวในลักษณะที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และกำลังการผลิตส่วนเกินจะทยอยปรับตัวลดลง ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สถานการณ์แรงงาน โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงานในระยะที่เหลือของปีนี้ อาจจะยังไม่ฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริงในทันที ทำให้ในภาพรวมแล้ว คาดว่า อัตราการว่างงานเฉลี่ยของปี 2552 น่าจะอยู่ในกรอบร้อยละ 2.1-2.5 เทียบกับอัตราการว่างงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.1 ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ และร้อยละ 1.4 ในปี 2551 โดยจำนวนผู้ว่างงานในปี 2552 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 8.0-9.2 แสนคน จากในปี 2551 ที่ผู้ว่างงานอยู่ที่ 5.2 แสนคน


โดยสรุป จากรายงานผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุดตัวเลขผู้ว่างงานในเดือนเม.ย. 2552 เพิ่มขึ้นตามคาด โดยอัตราการว่างงานขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 1.9 ในเดือนก.พ. และมี.ค. ซึ่งปัจจัยสำคัญเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย และเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค. ต่อเนื่องถึงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตัวเลขว่างงานในระยะถัดไป อาจยังได้รับผลกระทบบางส่วนต่อเนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศดังกล่าว และจำนวนนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกจะเริ่มมีสัญญาณบวกมากขึ้น แต่ก็ยังปะปนด้วยข่าวลบโดยเฉพาะจากตลาดแรงงานจึงทำให้การฟื้นตัวน่าจะมีความเปราะบาง ในทำนองเดียวกันแม้เศรษฐกิจไทย อาจมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เชื่อมโยงกับภาคการส่งออก อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แต่การฟื้นตัวยังไม่กระจายตัวทั่วถึงไปในทุกภาคส่วน ดังสะท้อนได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 57.7 ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เทียบกับร้อยละ 67.7 ในปี 2551 ซึ่งหมายความว่ากำลังการผลิตส่วนเกินยังมีเหลืออยู่มาก นอกจากนี้ แนวโน้มของภาคบริการยังขึ้นกับความสามารถในการควบคุมและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวอาจทำให้ผู้ประกอบการยังไม่ตัดสินใจเพิ่มการจ้างงานในระยะอันใกล้นี้ ส่งผลให้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สถานการณ์แรงงาน โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงานในระยะที่เหลือของปีนี้ อาจจะยังไม่ฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริงในทันที ทำให้ในภาพรวมแล้ว คาดว่า อัตราการว่างงานเฉลี่ยของปี 2552 น่าจะอยู่ในกรอบร้อยละ 2.1-2.5 เทียบกับอัตราการว่างงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.1 ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ และร้อยละ 1.4 ในปี 2551 โดยจำนวนผู้ว่างงานในปี 2552 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 8.0-9.2 แสนคน จากในปี 2551 ที่ผู้ว่างงานอยู่ที่ 5.2 แสนคน 





...


Create Date : 24 มิถุนายน 2552
Last Update : 24 มิถุนายน 2552 2:18:28 น. 1 comments
Counter : 632 Pageviews.

 
...

จับตาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ … แรงกดดันต่อเงินเฟ้อและฐานะดุลการค้าไทย

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย


การทะยานขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมนับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงต้นเดือนมิถุนายน 2552 สร้างความกังขาให้กับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ว่า การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้น เป็นไปในลักษณะที่มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งรองรับมากเพียงใด ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว น้ำมัน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ก็ต้องเผชิญกับแรงเทขายในช่วงต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังคงสะท้อนว่า เศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะหดตัว และ/หรือการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพในปีนี้ไปได้ แต่อย่างไรตาม มีความเป็นไปได้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกที่อาจทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จนถึงปีหน้า อาจกลายมาเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อีกครั้ง ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยดังนี้ :-


 สินค้าโภคภัณฑ์รับแรงหนุนจากปัจจัยรอบด้าน...ก่อนปรับฐานช่วงกลางเดือนมิถุนายน
การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกนับตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2551 ได้เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเดือนมีนาคม-ต้นเดือนมิถุนายน 2552 ทั้งนี้ ดัชนีรอยเตอร์-เจฟเฟอรีส์ ซีอาร์บี (The Reuters/Jefferies CRB Index) ซึ่งอ้างอิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 19 ชนิด ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยทะยานขึ้นกว่า 33.0% จากระดับปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นช่วงต่ำสุดของวัฏจักรขาลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์รอบล่าสุด (เดือนก.ค.51-ก.พ.52) อย่างไรก็ตาม ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต้องเผชิญกับแรงเทขายเพื่อปรับฐานในช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายน 2552

 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกได้เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเดือนมีนาคม-ต้นเดือนมิถุนายน 2552 อาทิ ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าระยะ 3 เดือนของทองแดงในตลาดโลหะลอนดอนแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน (5,388 ดอลลาร์ฯ/ตัน) และราคาน้ำมันดิบ NYMEX แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือน (73.23 ดอลลาร์ฯ /บาร์เรล) ทั้งนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ประกอบด้วย ความต้องการเสี่ยงของนักลงทุนที่ฟื้นตัวขึ้นพร้อมๆ กับความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนการกระจายการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในรูปเงินดอลลาร์ฯ

 อย่างไรก็ตาม ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต้องเผชิญกับแรงเทขายในช่วงต่อมา หลังจากนักลงทุนประเมินว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่แพงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของดัชนีค่าเงินดอลลาร์ฯ จากระดับต่ำสุดของปีนี้ และข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนว่า นักลงทุนอาจมีความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อมากเกินไปในขณะนี้ ก็เป็นอีก 2 ปัจจัยที่กระตุ้นแรงเทขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนีรอยเตอร์-เจฟเฟอรีส์ ซีอาร์บี ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2552 ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 246.07 หรือปรับตัวลงมาแล้ว 7.6% จากระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนที่ทำไว้ก่อนแรงเทขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะเริ่มต้นขึ้น


 แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในครึ่งหลังของปี 2552

สำหรับแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แรงขายเพื่อปรับฐานของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2/2552 อาจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม หากประเมินภาพในระยะยาวจะพบว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อาจกลับมาได้รับแรงหนุนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า พื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในช่วงจังหวะเวลาเดียวกันกับการก่อตัวขึ้นของแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวอาจจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในสัญญาล่วงหน้าของสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ แต่เนื่องจากแนวโน้มของเศรษฐกิจทั่วโลกที่จะยังคงขยายตัวในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพ (แม้จะพลิกกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในช่วงปลายปีนี้) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า ลักษณะของการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงเวลานั้นอาจไม่เป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-ต้นมิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม 2 ปัจจัยหลักที่อาจต้องจับตาก็คือ ช่วงจังหวะเวลาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักของโลก นำโดย สหรัฐฯ ที่ถูกประเมินว่า อาจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2552 ซึ่งน่าที่จะทำให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจจะสดใสขึ้นในปี 2553 ตลอดจนการกลับมาเริ่มสะสมสต็อกสินค้าโภคภัณฑ์ของจีน (โดยเฉพาะสินแร่เหล็ก ทองแดง และถ่านหิน) หลังจากที่ตลาดได้ปรับฐานและทำให้ราคามีระดับลดต่ำลงแล้ว เพี่อรองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนในระยะถัดไป นอกจากนี้ ประเด็นเกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบ/ความผันผวนทางการเมืองของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ก็เป็นปัจจัยที่อาจกระทบความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันและตลาดโภคภัณฑ์โดยรวมได้เช่นกัน

 ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
แม้ว่าในขณะนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน กำลังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน หลังจากที่ได้ทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-ต้นมิถุนายน 2552 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความปั่นป่วนทางการเมืองและการก่อเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยชะลอการปรับตัวลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ นอกจากนี้ หากประเมินภาพในระยะถัดไป จะเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงมากว่า ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอื่นๆ อาจกลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว พร้อมๆ กับแนวโน้มขาขึ้นของแรงกดดันเงินเฟ้อ และความความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่เข้มแข็งขึ้นของสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจถูกกดดันจากความกังวลต่อปัญหาการขาดดุลการคลังในระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ไปพร้อมๆ กัน


แม้ว่าอัตราการพึ่งพาน้ำมันของเศรษฐกิจไทยจะทยอยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปัจจุบัน จากระดับ 5.1% ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 แต่เมื่อพิจารณาโดยเปรียบเทียบจะเห็นว่า เศรษฐกิจไทยมีอัตราการพึ่งพาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย ซึ่งมากกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ดังนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า ความผันผวนของราคาน้ำมัน ที่มักจะนำไปสู่ความผันผวนของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันกับระดับราคาสินค้าผู้บริโภคและมูลค่าการนำเข้าโดยรวมของเศรษฐกิจประเทศแกนหลักของโลก และประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียในช่วงระหว่างปี 2538-2552 พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างราคาน้ำมันกับระดับราคาสินค้าผู้บริโภคมีค่าเป็นบวกที่ค่อนข้างสูงในหลายๆ ประเทศ ซึ่งหมายความว่า ราคาน้ำมันและระดับราคาสินค้าผู้บริโภคมักจะปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นประเทศ ญี่ปุ่น ซึ่งราคาน้ำมันกับระดับราคาสินค้าผู้บริโภคแทบจะไม่มีความสัมพันธ์กันเลย ในขณะที่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันกับมูลค่าการนำเข้าโดยรวม ก็ให้ผลการศึกษาในลักษณะที่สอดคล้องกันคือ ราคาน้ำมันและมูลค่าการนำเข้าโดยรวม มักจะแปรผันตามกันในทุกๆ ประเทศ ซึ่งนั่นก็อาจมีสาเหตุมาจากการที่ประเทศเหล่านั้นล้วนมีฐานะเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธินั่นเอง

และหากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและระดับราคาสินค้าควบคู่กันกับความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและมูลค่าการนำเข้าโดยรวมจะพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของระดับราคาสินค้าและมูลค่าการนำเข้าเทียบกับราคาน้ำมันในกรณีของไทยนั้น มีระดับที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งนั่นก็เป็นนัยว่า ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระดับราคาและฐานะดุลการค้าอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากขึ้นหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป และถ้าในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงแรกเริ่มของการฟื้นตัว การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าว ก็อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้กระบวนการปรับตัวเข้าสู่ระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยต้องกินเวลายาวนานมากขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพอย่างต่อเนื่องในปี 2553 หลังจากที่อาจหดตัวในกรอบประมาณ 3.5-6.0% ในปีนี้ ตามประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังได้ทำการศึกษาผลกระทบจากความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม (โดยใช้ดัชนีรอยเตอร์-เจฟเฟอรีส์ ซีอาร์บี) ที่มีต่อฐานะดุลการค้าของไทย ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งทางด้านการส่งออกและการนำเข้าของไทย โดยผลต่อการส่งออก พบว่า หากดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป 1% จะส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.23% และสำหรับผลต่อการนำเข้า พบว่า หากดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป 1% จะส่งผลทำให้มูลค่าการนำเข้าปรับตัวขึ้นประมาณ 0.34% ดังนั้น การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม จึงน่าที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้ฐานะดุลการค้าของไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง


โดยสรุป การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกนับตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2551 ได้เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเดือนมีนาคม-ต้นเดือนมิถุนายน 2552 โดยดัชนีรอยเตอร์-เจฟเฟอรีส์ ซีอาร์บี ซึ่งอ้างอิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 19 ชนิด ได้ทะยานขึ้นกว่า 33.0% จากระดับปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นช่วงต่ำสุดของวัฏจักรขาลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์รอบล่าสุด ทั้งนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ประกอบด้วย ความต้องการเสี่ยงของนักลงทุนที่ฟื้นตัวขึ้นพร้อมๆ กับความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนการกระจายการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในรูปเงินดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตาม ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต้องเผชิญกับแรงเทขายในช่วงต่อมา หลังจากนักลงทุนประเมินว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่แพงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แรงขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2/2552 อาจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม หากประเมินภาพในระยะยาวจะพบว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อาจกลับมาได้รับแรงหนุนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า พื้นฐานที่แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นในช่วงจังหวะเวลาเดียวกันกับการก่อตัวขึ้นของแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวอาจจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในสัญญาล่วงหน้าของสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ แต่เนื่องจากแนวโน้มของเศรษฐกิจทั่วโลกที่จะยังคงขยายตัวในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ลักษณะของการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงเวลานั้น อาจไม่เป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-ต้นมิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีอัตราการพึ่งพาน้ำมันสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย (อัตราการพึ่งพาน้ำมันของไทยอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปัจจุบัน) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ความผันผวนของราคาน้ำมัน (ซึ่งมักจะนำไปสู่ความผันผวนของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม) ที่อาจเกิดขึ้นในระยะถัดไปตามสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกนั้น อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง โดยหากพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและระดับราคาสินค้าควบคู่กันกับความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและมูลค่าการนำเข้าโดยรวมจะพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของระดับราคาสินค้าและมูลค่าการนำเข้าเทียบกับราคาน้ำมันในกรณีของไทยนั้น มีระดับที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ (ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและระดับราคาสินค้ามีค่าประมาณ 0.84 ขณะที่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและมูลค่าการนำเข้าโดยรวมมีค่าสูงถึง 0.95) ซึ่งนั่นก็เป็นนัยว่า ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระดับราคาและฐานะดุลการค้า อาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากขึ้นหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป นอกจากนี้ ผลการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังพบว่า ความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมนั้น มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งทางด้านการส่งออกและการนำเข้าของไทย โดยหากดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป 1% จะส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.23% พร้อมๆ กับทำให้มูลค่าการนำเข้าปรับตัวขึ้นประมาณ 0.34% ดังนั้น ฐานะดุลการค้าของไทยอาจมีแนวโน้มอ่อนแอลงหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น

และสำหรับทางการไทยในช่วงเวลานั้น ก็คงจะต้องเตรียมมาตรการประคับประคองเศรษฐกิจที่อาจได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มในช่วงขาขึ้นของอัตราเงินเฟ้อซึ่งน่าที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 และต่อเนื่องไปตลอดปี 2553 ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็อาจต้องเตรียมเผชิญกับโจทย์ที่ซับซ้อนในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงเวลานั้น ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจเริ่มฟื้นตัวขึ้น พร้อมๆ ไปกับการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อซึ่งอาจทำให้ต้นทุนของการระดมทุนเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ โจทย์ในการดูแลค่าเงินบาท ก็อาจจะเผชิญกับความผันผวนได้ หากฐานะดุลการค้าของไทยกลับมาอ่อนแอลงตามการฟื้นตัวของการนำเข้าและราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2552 ต่อเนื่องไปยังปี 2553 











...


โดย: loykratong วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:2:21:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.