Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
16 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
. . . น้ำมันลง 50 สตางค์--

. . .

ราคาน้ำมันทุกประเภทลดลงลิตรละ 50 สตางค์ มีผลวันที่ 17 ก.ย.

ผู้ค้าน้ำมันประกาศลดราคาน้ำมันทุกประเภท 50 สตางค์/ลิตร มีผลวันที่ 17 ก.ย. หลังจากราคาน้ำมันตลาดโลกดิ่งลงอย่างรุนแรงเพราะกังวลปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐที่จะคุมคาม เศรษฐกิจโลก
ส่งผลให้ราคาน้ำมันในเขต กทม.-ปริมณฑล เป็นดังนี้

ราคาเบนซิน 91 ราคา 35.79 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 28.29 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 27.49 บาท
แก๊สโซฮอล์ อี 20 ราคา 26.99 บาท
แก๊สโซฮอล์ อี 85 ราคา 19.69 บาท
ดีเซล 31.34 บาท
ไบโอดีเซล บี 5 ราคา 30.64 บาท/ลิตร

ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับลดลง เป็นผลมาจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงอย่างรุนแรง

ไทยออยล์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับลดลง 5.47 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ปิดที่ 95.71 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งปิดตัวต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน เนื่องจากตลาดกังวลว่า ปัญหาทางด้านสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐที่มีเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก และจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐปรับลดลงไปด้วย

ในช่วงที่ผ่านมา Lehman Brother ได้ประกาศล้มละลายไปแล้ว หลังจากประสบปัญหาขาดทุน และขาดสภาพคล่อง ในขณะที่ Merrill Lynch ก็กำลังจะถูกเข้าซื้อโดย Bank of America ด้วยมูลค่ากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดจน American International Group (AIG) ก็กำลังอยู่ในระหว่างการขอกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางสหรัฐ

ในขณะที่พายุเฮอริเคนไอค์ได้เข้าปะทะชายฝั่งเท็กซัสเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับแท่นขุดเจาะน้ำมัน และโรงกลั่นในบริเวณอ่าวเม็กซิโกมากอย่างที่คิดไว้ โดยคาดว่า โครงการผลิตน้ำมันในบริเวณอ่าวเม็กซิโกจะกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติภายใน 1 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปของสหรัฐฯในสัปดาห์นี้น่าจะปรับลดลงมากอีกครั้ง เนื่องจากการผลิตน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 25% ของกำลังการผลิตรวมของทั้งประเทศต้องหยุดไป

นอกจากนี้ ธนาคารกลางของจีนได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.27% มาอยู่ที่ 7.20% เป็นการปรับลดเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจของจีนเติบโตต่อไป ในเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกต่างพากันชะลอตัวลง

. . .



กองทุนน้ำมันฯ ยังไม่เก็บเงินเพิ่ม แม้ราคาตลาดโลกลดลง ต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ


นายวีรพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวถึงราคาน้ำมันดิบ ตลาดโลกที่ลดลงค่อนข้างรุนแรงประมาณเกือบ 6 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ว่า เป็นผลจากการหวั่นเกรงเศรษฐกิจโลกจะได้รับกระทบกรณีสถาบันการเงินและวาณิชธนกิจของสหรัฐเกิดปัญหาหลายแห่งและจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันของตลาดโลก จึงเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันในประเทศลดลงในวันที่ 17 ก.ย. ทุกประเภท 50 สตางค์ต่อลิตรตามราคาตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานยังไม่มีแผนเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมจากที่เคยจัดเก็บมาแล้ว 55-60 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากขณะนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงไม่ได้มอบนโยบายในการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯเพิ่ม ต้องรอรัฐบาลใหม่ และเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแผนที่จะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีภาคยานยนต์ และอุตสาหกรรม ทำให้การใช้แอลพีจีภาคยานยนต์ปรับสูงขึ้นประมาณร้อยละ 20 อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวดีก๊าซแอลพีจีตลาดโลกเริ่มลดลงตามราคาน้ำมัน โดยราคาก๊าซแอลพีจีงวดใหม่ลดลงประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ประมาณ 817 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน

. . .



ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2552 เหลือร้อยละ 5


นายฌอง ปิแอร์ เวอร์บิสต์ ผู้อำนวยการธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เอดีบี ยังคงอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ร้อยละ 5.0 ขณะที่ประเทศอื่นในเอเชียถูกปรับลดอัตราการขยายตัว เพราะผลกระทบจากเงินเฟ้อสูง แต่ประเทศไทยมีการส่งออกขยายตัวได้ดี และเศรษฐกิจครึ่งปีแรกสูงถึงร้อยละ 5.7 แม้ครึ่งปีหลังจะโตร้อยละ 4.0 แต่ผลจาก 6 มาตรการภาครัฐช่วยทำให้เงินเฟ้อลดลง โดยทั้งปีคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 7.0

อย่างไรก็ตาม เอดีบี ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2552 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.2 เหลือร้อยละ 5.0 เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยง คือ ความขัดแย้งทางการเมือง หากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 ยืดเยื้อถึงปีหน้า ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจจะยิ่งรุนแรงขึ้นกัดกร่อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าร้อยละ 5.0 โดยอาจจะขยายตัวเหลือร้อยละ 4.5 หากรัฐบาลขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ มีความล่าช้าของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ทำลายบรรยากาศการลงทุน ทำให้การบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแออยู่แล้วอ่อนแอมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

“หากรัฐบาลมีการยุบสภา และเกิดสุญญากาศ เพราะทางการเมืองจะมุ่งแต่หาเสียง ทำให้มาตรการเศรษฐกิจขาดความต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจแน่นอน โดยเอดีบี คงจะต้องทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ในช่วงเดือน มี.ค.- เม.ย. 2552 หากสถานการณ์การเมืองยังมีความเสี่ยงสูง และเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 เพราะแรงขับเคลื่อนจากภาคส่งออกน่าจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก” ผู้อำนวยการเอดีบี กล่าว

ผู้อำนวยการเอดีบี กล่าวว่า ผลจากการบริโภคที่ลดลง ทำให้นำเข้าลดลงไปด้วย โดยดุลบัญชีเดินสะพัดอาจจะไม่ขาดดุล จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะขาดดุลประมาณร้อยละ 0.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และเงินเฟ้อจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 5.5 เนื่องจากราคาน้ำมันและวัตถุดิบอื่นๆ ลดลงกว่าปี 2551

ส่วนกรณีที่เลห์แมน บราเธอร์ส ประกาศล้มละลายนั้น ผู้อำนวยการ เอดีบี กล่าวว่า สะท้อนว่าวิกฤติการเงินโลกยังไม่จบ และอาจจะมีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งมีปัญหาตามมา และจะทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินของโลก ของเอเชีย และประเทศไทยตึงตัวมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินจะมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ต้นทุนทางการเงินทั้งการออกพันธบัตร ตราสารหนี้ ก็จะสูงไปด้วย

. . .



กระทรวงพาณิชย์ แนะผู้ส่งออกไทยศึกษาเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าใหม่ของอาเซียนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มมูลค่าการส่งออกในตลาดอาเซียน


นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้อาเซียนได้มีประกาศการใช้หลักเกณฑ์ในเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าใหม่แล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 ซึ่งภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่สามารถเลือกใช้เกณฑ์สัดส่วนการผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 หรือเกณฑ์การเปลี่ยนพิกัดในระดับ 4 หลัก(CTH) ก็ได้ จากอดีตใช้ได้เพียงเกณฑ์สัดส่วนการผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 40

นางอภิรดี กล่าวว่า ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยควรศึกษากฎแหล่งกำเนิดสินค้าใหม่ให้มีความเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มมูลค่าการส่งออกในตลาดอาเซียน โดยการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ใหม่ทำให้มีความยืดหยุ่นและสามารถผลิตสินค้าได้ตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้าได้ง่ายขึ้น

สำหรับกลุ่มสินค้าที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหาร ประมงแปรรูป เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องจักร วงจรพิมพ์ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ไม้ อะลูมิเนียม ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการไทยได้ยื่นขอใช้เกณฑ์การเปลี่ยนพิกัดอัตราศุลกากร สำหรับกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์สี จอภาพ LCD พัดลม เครื่องเสียง และชุดสายไฟ

การส่งออกสินค้าของไทยไปตลาดอาเซียนขยายตัวสูง เนื่องจากสินค้าไทยสามารถใช้สิทธิพิเศษฯ ลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีศุลกากรขาเข้าประเทศสมาชิกอาเซียนได้ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 สินค้าไทยมีการใช้สิทธิพิเศษฯรวมมูลค่า 5,282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 27 ของมูลค่าการส่งออกไปอาเซียนทั้งหมด

ทั้งนี้ การส่งออกของไทยไปตลาดอาเซียนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 20,289 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2550 ร้อยละ 38.63 ซึ่งมีมูลค่า 14,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอาเซียนเป็นตลาดส่งออกสูงเป็นอันดับหนึ่งของไทย คิดเป็นร้อยละ 23 ของการส่งออกรวม 87,198 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

. . .



คปภ.ยืนยันฐานะ เอไอเอ มั่นคงไม่น่าห่วง


นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวถึงกรณี บริษัท เอไอจี ซึ่งเป็นบริษัทประกันของสหรัฐมีปัญหาขาดสภาพคล่อง และอาจทำให้บริษัทลูกในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะ เอไอเอ อาจจะมีปัญหาสภาพคล่องว่า คปภ. มีกฎหมายควบคุมให้บริษัทประกันต้องตั้งเงินสำรองกองทุนให้เพียงพอและเป็นไปตามกฎหมาย คือ ต้องมีเงินกองทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 150 ของการประกอบธุรกิจ แต่เอไอเอ ประเทศไทย มีเงินกองทุนมากถึงร้อยละ 1,107 ซึ่งสูงกว่าหลักเกณฑ์

นอกจากนี้ ภาพรวมฐานะของเอไอเอ ประเทศไทย ปี 2550 มีสินทรัพย์รวมตามบัญชีมากกว่า 300,000 ล้านบาท และในปีนี้ ตั้งแต่ ม.ค.- ก.ค. ผลการดำเนินงาน มีสินทรัพย์รวม 380,000 ล้านบาท และมีผลกำไรสะสมปี 2550 กว่า 65,000 ล้านบาท และในช่วงปี 2551 ตั้งแต่ ม.ค.-ก.ค. มีกำไรสะสมมากกว่า 70,000 ล้านบาท ทำให้มีสภาพคล่องสูง และไม่น่าส่งผลกระทบต่อผู้ถือกรมธรรม์

ขณะเดียวกัน ในกรณีที่บริษัทเอไอเอ จะส่งผลกำไรไปให้บริษัทแม่คือ เอไอจี ตามกฎหมายมาตรการ 32 ของ พ.ร.บ.ประกันชีวิต กำหนดไว้ว่า การส่งเงินผลกำไรไปให้บริษัทแม่ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนคือ คปภ.ก่อน ซึ่งเอไอเอ ได้ทำเรื่องขอส่งผลกำไรไปยังบริษัทแม่ นับตั้งแต่ปี 2546 ที่ผ่านมา ในลักษณะปีต่อปี ซึ่งปี 2546 คปภ.ได้อนุมัติให้ส่งเงินไปได้ 1,200 ล้านบาท, ปี 2547 จำนวน 1,200 ล้านบาท, ปี 2548 จำนวน 2,000 ล้านบาท, ปี 2549 จำนวน 2,000 ล้านบาท, และปี 2550 ได้ขอนำส่งเงินกำไรจำนวน 10,000 ล้านบาท โดยจะทยอยส่งเดือนละ 1,000 ล้านบาท ซึ่ง คปภ.กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา

“หากประชาชนมีข้อสงสัยในเรื่องฐานะของบริษัทประกันภัย สามารถติดต่อสอบถามได้โดยตรงจากสายด่วนประกันกัน 1186 ” นางจันทรา กล่าว

. . .


Create Date : 16 กันยายน 2551
Last Update : 16 กันยายน 2551 16:02:19 น. 1 comments
Counter : 415 Pageviews.

 
ผมว่าราคาน้ำมันบ้านเรา ลดลงน้อยไปป่าวครับ เพราะราคาตลาดโลกลงมาต่ำกว่าร้อยแล้ว แต่บ้านเราไม่เห็นลดเยอะเท่า ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนกัน หรือคิดเอาเองหว่า


โดย: ภูสูง วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:18:02:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.