Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
7 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
. . . ส่งเสริม E85 เป็นวาระแห่งชาติ . . . /. . . นำเข้า LPG เดือนนี้อีก 1 แสนตัน . . .

...

กระทรวงพลังงานเสนอส่งเสริมแก๊สโซฮอล์อี 85 เป็นวาระแห่งชาติต่อ ครม.วันนี้(8 ก.ค.)

พล.ท.(หญิง) พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางอุตสาหกรรมกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน” ว่า รัฐบาลต้องการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ ให้ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม โดยในวันนี้ ( 8 ก.ค.) กระทรวงพลังงานจะเสนอส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 เป็นวาระแห่งชาติ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

พล.ท.(หญิง) พูนภิรมย์ กล่าวว่า การส่งเสริมพลังงานทดแทนต้อง ให้มีแรงจูงใจมากขึ้น โดยควรจะลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีน้ำมัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำแบบบูรณาการ เพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว

ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอล 11 โรงงาน และสิ้นปีนี้จะมีโรงงานที่ก่อสร้างเสร็จอีกหลายโรงงาน ซึ่งจะทำให้ปริมาณเอทานอลมีมากขึ้น และเพียงพอต่อการใช้ในอนาคต ดังนั้นจะต้องเตรียมความพร้อมด้วยการจัดพื้นที่การปลูกพืชพลังงาน และพืชอาหารให้สมดุลกัน

ส่วนไบโอดีเซล บี 5 กระทรวงพลังงานจะลดการส่งเสริม เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตมีไม่เพียงพอ เพราะปริมาณการใช้มีมากขึ้นจาก 5 ล้านลิตร เป็น 8 ล้านลิตรต่อวัน เนื่องจากราคาไบโอดีเซลบี 5 ถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลถึง 0.70 บาทต่อลิตร

ส่วนด้านไฟฟ้า กระทรวงพลังงานจะส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคครัวเรือน ส่วนพลังงานชีวมวล เช่นแกลบจะลดการส่งเสริมลง เนื่องจากวัตถุดิบขาดตลาด

. . .



กระทรวงพลังงาน ยืนยันก๊าซแอลพีจีไม่ขาดแคลน

พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าขณะนี้สถานการณ์ก๊าซแอลพีจีไม่ได้ขาดแคลนแล้ว โดยปตท.ได้นำเข้าก๊าซแอลพีจีล็อตแรก 20,000 ตันได้นำเข้ามาจำหน่ายแล้ว และมีการสั่งเพิ่มอีก 40,000 ตัน กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งให้มีการขนส่งไปยังจังหวัดต่าง ๆ ผ่านทางรถไฟ เพื่อรองรับทั้งภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม และขนส่ง

การใช้ก๊าซแอลพีจี ใน 6 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19.6 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะรถยนต์ที่เปลี่ยนมาติดตั้งก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นมาก ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาการลักลอบนำก๊าซแอลพีจีไปขายตามชายแดน เนื่องจากราคาในไทยต่ำกว่า

ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องกระทรวงพลังงาน ให้ตรึงราคาก๊าซแอลพีจีจนถึงสิ้นปี รัฐมนตรีพลังงานยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ และไม่เห็นด้วยที่จะตรึงราคา เพราะขณะนี้มีการใช้ก๊าซแอลพีจีผิดประเภท

ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้อำนวยความสะดวกเพื่อให้แท็กซี่ เปลี่ยนจากการใช้ก๊าซแอลพีจีมาเป็นเอ็นจีวีมากขึ้น โดยการให้เงินกู้ 5,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มปริมาณปั๊มจำหน่ายเอ็นจีวี ซึ่งกระทรวงพลังงานจะส่งเสริมการใช้เอ็นจีวี เพราะเป็นพลังงานทดแทนที่หาได้ในประเทศ โดยยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ราคาก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่กก.ละ 8.50 บาท ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นกก.ละ 12 บาท ในปี 2552 และขึ้นเป็น 13 บาท ในปี 2553 และประมาณกก.ละ 20 บาท ในปีต่อๆไป ซึ่งขณะนี้การใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้นจาก 600 ตันต่อวัน เป็น 2,400 ตันต่อวัน

ส่วนการพิจารณาว่า จะมีการต่ออายุการลดการอุดหนุนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนน้ำมันดีเซล 90 สตางค์ ต่อไปหรือไม่ จากที่จะครบกำหนดในสิ้นเดือนนี้ กระทรวงพลังงานกำลังพิจารณาอยู่ แต่ยอมรับว่า ราคาน้ำมันดีเซลมีโอกาสถึง 50 บาทต่อลิตร เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นไม่หยุด เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองของโลก รวมทั้งใกล้ฤดูหนาว ทำให้มีการใช้ปริมาณดีเซลมากขึ้น ดังนั้น สถานการณ์ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวระดับสูง

นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ขาดแคลน กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้น แต่ยังมีการร้องเรียนจากปั๊มขนาดเล็กที่รับก๊าซต่อจากผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 รวมทั้งผู้ค้าก๊าซรายย่อยระบุว่าก๊าซยังขาดแคลน ซึ่งเรื่องนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ยืนยันว่าได้มีการส่งก๊าซอย่างเพียงพอ

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา กรมธุรกิจพลังงาน ได้หารือร่วมกับผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อตรวจสอบว่าปริมาณก๊าซตกค้างอยู่ที่ใด รวมทั้งให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ปัญหาแอลพีจีขาดแคลน เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
และ เพื่อลดผลกระทบจากความตื่นตระหนกของประชาชนที่ราคาก๊าซแอลพีจีสำหรับภาคอุตสาหกรรม และขนส่งจะปรับขึ้นในเดือนนี้ ท่ามกลางความต้องการแอลพีจีที่เพิ่มสูงขึ้น

ทางกระทรวงพลังงาน จึงได้ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เร่งเสริมสภาพคล่อง โดยนำก๊าซสำรองที่มีอยู่เข้ามาเพิ่มเติมในวันพุธที่ 9 ก.ค.นี้ จำนวน 44,000 ตัน, วันที่ 15 ก.ค. จำนวน 22,000 ตัน, และวันที่ 27 ก.ค. อีก 22,000 ตัน ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้จะว่ามีปริมาณ LPG อย่างเพียงพอและทั่วถึง

ทำให้ตัวเลขนำเข้าเดือนนี้จะสูงถึง 110,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เท่าตัว จากแผนนำเข้าเดิม
สำหรับการดูแลป้องกันการนำก๊าซครัวเรือนไปใช้กับภาครถยนต์ ขณะนี้กระทรวงพลังงาน กำลังหามาตรการเข้มงวด ในขณะที่กรมการขนส่งทางบก ได้รับจะไปดูแลเรื่องมาตรฐานติดตั้งแอลพีจี ในรถยนต์ รวมถึงการคุมเข้มมาตรฐานนำเข้าอุปกรณ์มือสองจากต่างประเทศ

. . .



ปตท. ยืนยันปริมาณก๊าซแอลพีจี มีเพียงพอกับความต้องการใช้

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดปัญหาการจัดส่งช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะนี้ ปตท. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ โรงกลั่น ผู้ค้ามาตรา 7 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทผู้รับเหมาขนส่งก๊าซแอลพีจี ได้ดำเนินการแก้ไขจนสามารถส่งก๊าซแอลพีจี เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค และจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป

นอกจากนี้ ปตท. ยังสั่งนำเข้าก๊าซแอลพีจี เพิ่มเติมจากเดิมที่วางแผนจะนำเข้า 40,000 ตัน ในเดือนกรกฎาคม 2551 เป็น 60,000 ตัน และในที่สุดเพิ่มเป็น 80,000 ตัน โดยจะมีเรือขนาดใหญ่ 40,000 ตัน นำเข้าก๊าซแอลพีจีมาจอดในอ่าวไทยเพื่อพร้อมทยอยส่งก๊าซและให้แน่ใจว่าจะไม่มีการขาดแคลน

นายประเสริฐ กล่าวเห็นด้วยกับการที่รัฐมีแนวทางจะพิจารณาปรับราคาก๊าซแอลพีจี เฉพาะในส่วนภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และมีทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงอื่น เพราะหากไม่มีการปรับราคาขึ้นก็จะส่งผลให้มีการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ต้องมีการนำเข้าก๊าซในปริมาณสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

นายประเสริฐ กล่าวว่า การปรับราคาก๊าซแอลพีจี ทุกประเภทเป็นรายไตรมาสจำนวน 5 ครั้ง ตามแนวทางของรัฐบาลชุดที่แล้วจะส่งผลให้ต้องมีการปรับราคาในส่วนของภาคครัวเรือนด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซหุงต้มเพื่อหุงอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีภาระค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้ว ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง

ดังนั้น ปตท.จึงเห็นว่าควรดำเนินการตามแนวทางของรัฐในปัจจุบันที่จะปรับราคาก๊าซแอลพีจีเฉพาะภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเท่านั้นไปก่อน เพราะเป็นส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนในภาคครัวเรือน ปตท. เห็นสมควรที่จะชะลอการปรับราคาไว้ก่อน

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลควรจะปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี โดยปรับราคาขึ้นประมาณร้อยละ 15 อิงราคาตลาดโลก เพราะในช่วงเดือน เม.ย.และมิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตรึงราคาแอลพีจีไว้เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน หากปรับราคาก๊าซแอลพีจีขึ้นในอัตราดังกล่าว จะมีผลต่อราคาขายปลีกในประเทศ ประมาณ 1 บาทต่อกิโลกรัม และจะมีผลผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีรายใหม่ โดยเฉพาะภาคขนส่งลดลง แต่คงจะลดจำนวนผู้ใช้เดิมไม่มากนัก เพราะผู้บริโภคได้มีการติดตั้งถังแอลพีจีไปแล้ว

. . .




คาดราคาน้ำมันโลกแตะ 150 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จับตาดีเซลทะลุลิตรละ 50 บาท

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันขายปลีก ในประเทศมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอีก 1-2 บาทในระยะนี้ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นตลาดเงินไปเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะแตะระดับ 150 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ และมีความเป็นไปได้ที่ดีเซลจะปรับถึง 48-49 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้ระดับ 50 บาททุกที

อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูการตัดสินใจของกระทรวงพลังงานว่าจะต่ออายุการลดการอุดหนุนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และอนุรักษ์พลังงานน้ำมันดีเซล 90 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งกำลังจะครบกำหนดสิ้นเดือน ก.ค.นี้ ต่อไปอีกหรือไม่ หากไม่อุดหนุนต่อไป ราคาดีเซลจะต้องปรับขึ้นอย่างน้อย 90 สตางค์ โดยยังไม่รวมการปรับขึ้นของราคาตลาดโลก

นายมนูญกล่าวว่า เชื่อว่ากระทรวงพลังงานจะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนด้วยการขยายระยะเวลาการอุดหนุนต่อไปอีก แต่เห็นว่าควรจะลดการอุดหนุนจากลิตรละ 90 สตางค์เหลือ 60 สตางค์ โดยควรเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 30 สตางค์ต่อลิตรตามปกติ เพราะขณะนี้สถานะเงินกองทุนไม่มีเงินไหลเข้า

ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า นโยบายดูแลพลังงานของรัฐบาลปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับเหมาะสม เพราะแทรกแซงกลไกตลาดน้อย ไม่ได้ใช้เงินกองทุนฯ มากเกินไปเหมือนในอดีต

ส่วนมาตรการต่อยอดพลังงานทดแทนอยู่ในระดับที่ใช้ได้ เช่น การพัฒนาน้ำมันอี 85 แต่นโยบายประหยัดพลังงานควรจะเข้มข้นมากกว่านี้ ไม่ว่านโยบายขอความร่วมมือหรือนโยบายเชิงบังคับ ซึ่งถือว่ามาตรการที่รัฐออกมา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นผล เพราะหากราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องรัฐควรเตรียมรับมือไม่ประมาท หากไทยเตรียมมาตรการรับมือไว้ตั้งแต่ราคาน้ำมันระดับ 100 ดอลลาร์ฯ ประเทศไทยก็คงไม่ลำบาก

. . .



ภาคเอกชนเสนอ ธปท.อย่าเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในวันที่ 16 ก.ค. นี้ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน หรือ กนง. เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนั้น ทางกนง. ควรชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อไปก่อน อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อรอดูสถานการณ์

เนื่องจากเห็นว่าในช่วง 3 เดือนข้างหน้า จะถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ที่จะทำให้ราคาสินค้าอาหารลดลง และสามารถลดอัตราเงินเฟ้อลงได้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงไม่ใช่แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อ เพียงมาตรการเดียว แต่รัฐบาลควรมีมาตรการที่หลากหลาย มาสนับสนุน เช่น การปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ต้นทุนนำเข้าลดลง และควรมีมาตรการประหยัดพลังงานเพิ่มเติม

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่าไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทำให้การประกอบธุรกิจชะงักงันได้


. . .



กระทรวงการคลัง เร่งพิจารณาอนุมัติการซื้อขายทองคำล่วงหน้า คาดเปิดซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ได้ในเดือน ก.ย.นี้

นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการเปิดช่องให้ตลาดอนุพันธ์สามารถนำทองคำมาเป็นสินค้าซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเป็นการสร้างตลาดให้เหมือนในต่างประเทศ และลดการเก็งกำไรจากทองคำแห่งที่มีการนำเข้ามาปริมาณมากในแต่ละเดือน ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไขประกาศกระทรวงการคลังให้สามารถซื้อขายทองล่วงหน้าได้ จากเดิมที่มีข้อกำหนดห้ามซื้อขายทองคำล่วงหน้า เพื่อป้องกันการเก็งกำไร โดยคาดว่าจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบได้ในเร็วๆ นี้ หลังจากนั้นสามารถใช้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงนามในประกาศให้มีผลบังคับใช้ได้ทันที ซึ่งน่าจะเป็นภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อให้ทันกับการเปิดซื้อขายเดือน ก.ย.นี้

“ที่ผ่านมา แม้จะห้ามซื้อขายล่วงหน้าก็มีการเก็งกำไรทองคำแท่งอยู่แล้ว ก็ควรเปิดกว้างให้ซื้อขายล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ได้เหมือนในต่างประเทศ ส่วนจะช่วยลดการนำเข้าทองคำแท่งได้หรือไม่นั้น อยู่ที่ความต้องการลงทุน โดยหากผู้ลงทุนเห็นว่าดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นก็อาจหันไปฝากเงินมากกว่า” นางพรรณี กล่าว

นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า จากการหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น เห็นว่า การวางระบบการซื้อขายหรือโครงสร้างของตลาดยังไม่เหมาะสม โดยควรจะการเปิดกว้างให้ร้านทองที่มีอยู่ประมาณ 7,000 แห่ง เข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น

นายจิตติกล่าวว่า โครงสร้างของระบบที่วางไว้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้ามือ ร้านค้ารายเล็กก็เป็นเพียงผู้เล่นในตลาด แทนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างตลาด เนื่องจากค่าสมาชิกที่กำหนดไว้สูงถึง 20 ล้านบาท รายเล็กคงเข้าร่วมไม่ได้ และหากมีตลาดล่วงหน้าก็จะมีการเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น ผู้ที่ยังไม่มีความรู้เพียงพอก็จะมีความเสี่ยงสูง จึงจะเสนอให้ปรับหลักเกณฑ์ใหม่ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้งในเร็วๆ นี้

นายจิตติ กล่าวว่า อยากให้มีการแยกตลาดซื้อขายทองล่วงหน้าออกไปจากตลาดอนุพันธ์สินค้าอื่นๆ ซึ่งในต่างประเทศก็มีการแยกตลาดกันชัดเจน และควรให้ผู้ประกอบการ ธุรกิจทองคำเข้ามามีบทบาททั้งการดูแลและร่วมให้ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมเห็นด้วยให้มีตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายทองคำในภูมิภาคได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ต้องมีการปรับระบบและโครงสร้างของตลาดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันไทยยังมีการส่งออกมากกว่าการนำเข้าจึงไม่ได้ทำให้ขาดดุการค้า

อนึ่ง ทางบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กำลังยื่นรายละเอียดให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณารายละเอียดของสินค้า รวมถึงข้อกำหนดของมาร์เก็ตเมกเกอร์ คาดว่าก.ล.ต.น่าจะอนุมัติภายในเดือนนี้ และเปิดซื้อขายล่วงหน้าได้เดือน ก.ย.

สำหรับการซื้อขายทองคำล่วงหน้าจะอ้างอิงกับทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งเป็นความบริสุทธิ์ของทองคำที่ซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในไทย โดยการซื้อขายทองคำล่วงหน้า จะใช้วิธีชำระราคาเป็นเงินสดเท่านั้น

. . .



ข้าวหอมมะลิพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าวันที่ 14 ก.ค.นี้

นายชัยพัฒน์ สหัสกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการว่า การเตรียมนำข้าวหอมมะลิเข้าซื้อขายในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ ว่า มีการเตรียมความพร้อมในส่วนของฐานข้อมูลของตลาดซื้อขาย การแต่งตั้งตัวแทนหรือโบรกเกอร์เข้ามาดำเนินการ และการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทั้งเกษตรกรและผู้ขายข้าว

ส่วนที่เกรงว่า สต็อกข้าวหอมมะลิของรัฐในปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อราคาข้าวหอมมะลิหลังเข้าซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า ปริมาณข้าวที่ภาครัฐรับจำนำจากเกษตรกร และมีสต็อกทั่วประเทศ 2 ล้านตัน จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาซื้อขาย เว้นแต่ในอนาคตหากปริมาณข้าวที่รับจำนำเพิ่มขึ้นจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้ราคาซื้อขายตกต่ำลงได้

สำหรับการดำเนินการซื้อขายข้าวหอมมะลิผ่านตลาด AFET โบรกเกอร์จะเป็นผู้ตรวจสอบความต้องการซื้อข้าวแต่ละช่วง และปริมาณผลผลิตของเกษตรกร ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลทั้งสองส่วนมากำหนดราคาในตลาดได้ ขณะเดียวกันการนำข้าวหอมมะลิซื้อขายใน AFET จะเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรสามารถตรวจสอบราคาข้าวที่ออกสู่ตลาดแต่ละช่วงว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร

. . .


Create Date : 07 กรกฎาคม 2551
Last Update : 7 กรกฎาคม 2551 19:40:35 น. 3 comments
Counter : 651 Pageviews.

 


น้ำมันขึ้นราคาไปเรื่อยๆ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น้ำมันคงแตะที่ USD.200.00/BARREL นะคะ คงเป็นวิถีทางของราคา แพงยังไงเราก็ต้องใช้อยู่ดีนี่นะคะ

" เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ...

และยอมรับสิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ... "

ออกกำลังกายดีกว่าค่ะ สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ
อย่าเครียดค่ะ อย่าเครียดไม่ดีกับสุขภาพนะคะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ...




โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 7 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:22:16 น.  

 
. . .

สวัสดีวันอังคารจ้า

วันนี้ราคาน้ำมันลดลงเล็กน้อย
แต่เชื่อว่าจะปรับขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ 146-147 น่าจะได้เห็นอีกค่ะ

ขอให้ออกกำลังกายอย่างหนุกหนานๆนะคะ

ขอบคุงค่า...เมี๊ยว เมี๊ยว...

. . .


โดย: som IP: 58.137.155.65 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:30:07 น.  

 
. . .


เรียน ฟรี !! e-SMEs University

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2551 11:02 น.

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว. ) โดยโครงการส่งเสริมและพัฒนาความรู้แก่ SMEs ได้จัดทำ "โครงการ e-SMEs University" เป็นการเรียน Online ด้วยระบบ e-Learning ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ SMEs ซึ่งท่านสมาชิก สสว. สามารถนำองค์ความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์เสริมในการดำเนินธุรกิจของท่านได้ ทางโครงการฯ ขอเชิญชวนทดลองเรียนผ่านเว็บไซด์ของ สสว. คือ //www.sme.go.th

สำหรับการเรียนโครงการนี้ ผู้เรียนต้องสมัครเป็นสมาชิก สสว. ก่อน เพื่อนำ User name และ Password ที่ได้ สำหรับการ log in เพื่อเข้าเรียนอีกครั้งหนึ่งโดยนำลูกศรคลิกที่ Banner "ใครๆ ก็เรียนได้ e-SMEs University กับ สสว. เส้นทางสู่ความสำเร็จ Click ที่นี่"สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและจบภายใน 5 ชั่วโมง ต่อ 1 ชุดวิชา เรียนง่ายๆ อย่างนี้

ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการ e-SMEs University ได้ทำการสอบไปแล้วทั้งหมด 12 ชุดวิชา และจะมีพิธีมอบสัมฤทธิบัตรและประกาศนียบัตร ครั้งที่2 ในวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม 2551


รายชื่อวิชา ได้แก่
SME 101 แนวคิดในการเริ่มธุรกิจ SMEs
SME 102 การจัดการการตลาดเบื้องต้นสำหรับ SMEs
SME 103 การบริหารการเงินสำหรับ SMEs
SME 106 การบริหารธุรกิจ SMEs เพื่อความเติบโตอย่างยั่งยืน
SME 108 ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเชิงธุรกิจสำหรับ SMEs
SME 109 เทคโนโลยีสารสนเทศและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับ SMEs
SME 105 การจัดการผลิตและการบริการสำหรับ SMEs
SME 107 การวิเคราะห์แนวโน้ม โอกาสทางุรกิจ และกลยุทธ์ในธุรกิจ SMEs
SME 110 ธุรกิจ SMEs กับการตลาดเชิงลึก
SME 104 การบัญชีและการจัดทำประมาณการทางการเงินสำหรับ SMEs
SME 111 การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในกิจการ SMEs
SME 112 การเขียนแผนธุรกิจ SMEs


. . .


โดย: som IP: 58.137.155.65 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:16:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.