กระทรวงการคลังเสนอแนวคิดขยายเวลาค้ำเงินฝากทั้งจำนวนอีก 3 ปี - กดค่าบาทให้อ่อนลงอีก 5% อุ้มส่งออก
. . .
กระทรวงการคลังเสนอแนวคิดขยายเวลาค้ำเงินฝากทั้งจำนวนอีก 3 ปี - กดค่าบาทให้อ่อนลงอีก 5% อุ้มส่งออก
เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในระบบสถาบันการเงิน โดยมีแนวคิดจะให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากรับประกันเงินฝากเต็มวงเงิน 100% ต่อไปอีก 3 ปี จากกำหนดเดิมที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเงินฝากกำหนดไว้ว่าตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2552 จะลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 100 ล้านบาท จากนั้น 11 สิงหาคม 2553 จะลดเหลือ 50 ล้านบาท 11 สิงหาคม 2554 จะเหลือ 10 ล้านบาท และตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2555 จะเหลือวงเงินคุ้มครองเพียง 1 ล้านบาท
นอกจากนี้ เสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าลงกว่าที่เป็นอยู่อีก 5% เพื่อกระตุ้นการส่งออกในปีหน้าให้ขยายตัว
กระทรวงการคลังยังมีแนวคิดจะเข้าไปค้ำประกันวงเงินกู้ระหว่างธนาคาร(อินเตอร์แบงก์)ให้ธนาคารขนาดเล็กที่จะเข้าไปกู้เงินจากธนาคารขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังเสนอให้เลื่อนการประกาศใช้ แนวทางการกำกับสถาบันการเงิน ฉบับที่ 2 ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บาเซิล 2) ที่จะใช้ในต้นปี 2552 ออกไป
. . .
ผู้ว่าฯ ธปท. ไม่เห็นด้วยแทรกแซงค่าเงินให้อ่อนลง 5%
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาแสดงความเห็นแย้งในวันเดียวกันว่า ธปท.จะดูแลค่าเงินบาทให้เป็นไปตามทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค และทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพไม่ผันผวนเร็ว แต่จะไม่แทรกแซงเพื่อให้ราคาของเงินอยู่ที่อัตรานั้นอัตรานี้ เนื่องจากหากค่าเงินบาทอิงกับค่าเงินของภูมิภาค จะไม่มีผลต่อการส่งออก เพราะความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยจะไม่ลดลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
นางธาริษากล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ยังหนุนการขยายตัวเศรษฐกิจ ภาครัฐควรใช้นโยบายการคลังกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อเร่งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศดีกว่า
ส่วนประเด็นที่ รมว.คลังต้องการให้เลื่อนการประกาศใช้ แนวทางการกำกับสถาบันการเงิน ฉบับที่ 2 ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บาเซิล 2) ที่จะใช้ในต้นปี 2552 ออกไปนั้น ได้มีการดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 2 ปี ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์มีความพร้อมโดยไม่กระทบกับฐานะและยอดการปล่อยสินเชื่อ เพราะธนาคารพาณิชย์มีการกันสำรองหนี้เสียเพื่อรองรับบาเซิล 2 เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการขยายระยะเวลารับประกันเงินฝากไปอีก 3 ปีว่าเป็นหน้าที่ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ขณะที่การค้ำประกันเงินกู้อินเตอร์แบงก์ ผู้ว่าธปท.ให้ความเห็นว่าฐานะสถาบันการเงินไทยยังไม่มีปัญหา และวงเงินกู้ยังอยู่ในสัดส่วนที่น้อย
. . .
รมว.คลัง ยืนยันแนวคิดกำหนดเป้าหมายเงินบาท
เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากได้แสดงแนวคิดการกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทให้มีการเคลื่อนไหวในสัดส่วนที่กำหนดไว้ เหมือนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มีหลายฝ่ายแสดงความเห็นทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อดีตรัฐมนตรีคลัง และภาคเอกชน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะนำไปสู่การหารือร่วมกัน และกำหนดนโยบายออกมาให้ชัดเจน
โดยจะต้องหารือกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดนโยบายให้ชัดเจน โดยแนวทางดังกล่าวจะกำหนดให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในสัดส่วนที่กำหนดตามสถานการณ์ของตลาด เพื่อดูแลการส่งออก ไม่ใช่เป็นการกำหนดตายตัวเป็นเวลานาน การดำเนินการดังกล่าวสามารถกระทำได้ เพราะไทยมีทุนสำรองสูงถึง 1.01 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ พอที่จะบริหารดูแลค่าเงินบาทได้
ส่วนแนวทางการผ่อนปรนให้สถาบันการเงินต้องดำเนินการตามข้อกำหนดบาร์เซิล 2 โดยขยายเวลาออกไปจากเดือนธันวาคมนี้ ก็ต้องหารือกับ ธปท. เพราะสถาบันการเงินหลายแห่งในสหรัฐไม่ได้ดำเนินการตามบาร์เซิล 2
. . .
แบงก์ชาติ ยืนยันใช้หลักเกณฑ์ "บาเซิล 2" ตามกำหนดเดิมปลายปี
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะดำเนินการใช้หลักเกณฑ์กำกับดูแลกองทุนสถาบันการเงินฉบับที่ 2 หรือ บาเซิล ทู ตามกำหนดการณ์เดิมในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาสถาบันการเงินได้มีการเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว
โดยยืนยันว่า การใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้เงินกองทุนมีความเข้มแข็งเป็นไปตามหลักสากลสถาบันการเงิน ในความพร้อมในการบริหารและปล่อยสินเชื่อทำให้การบริหารความเสี่ยงลดลง และเมื่อนำมาใช้แล้วจะมีผลกระทบต่อการดำรงเงินกองทุนร้อยละ 1.5 ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่ฐานะการเงินของกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 13.5 ซึ่งเป็นระดับที่สูง
เกณฑ์บาร์เซิล 2 ที่จะเริ่มใช้ปลายปีนี้ จะเป็นเรื่องบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ ด้านการตลาด และด้านปฏิบัติการ ส่วนปี 2552 เป็นเรื่องการเปิดเผยข้อมูลการเงิน และในปี 2553 จะเป็นเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงเงินกองทุน ดังนั้น จึงมีเวลาผ่อนปรนให้ธนาคารพาณิชย์พอสมควร และทุกเกณฑ์ไม่ได้นำมาใช้พร้อมกันทั้งหมด แต่เป็นการทยอยบังคับใช้ตามช่วงเวลา
. . .
มุมมองต่อแนวคิดรมว.คลัง
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวคิดของ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อหนุนการส่งออก การขยายเวลาการค้ำประกันเงินฝาก 3 ปี และเลื่อนการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของธนาคารพาณิชย์ ว่า คงเป็นเจตนาที่ดีซึ่งควรให้เวลากระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หารือกันอย่างใกล้ชิดในทุกเรื่อง อย่าเพิ่งด่วนสรุป เชื่อว่า คงจะตกลงกันได้ เพราะการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง จะต้องผสมผสานไปด้วยกัน เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
นายสมคิด กล่าวว่า ความเห็นที่ไม่ตรงกันก็ต้องหาข้อสรุปร่วมกันให้ได้เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โดยเชื่อว่าทั้งนายสุชาติ และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. ไม่มีเจตนาจะขัดแย้งกัน แต่ก็ควรหารือและพูดคุยกันก่อน
ทนง พิทยะ
นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวคิดนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงร้อยละ 5 เพื่อหนุนการส่งออกว่า จะต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดและถ่องแท้ ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก และควรให้เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการวิเคราะห์ผลกระทบและความจำเป็น เพราะการเข้าไปบิดเบือนตลาด จะเป็นการเปิดช่องให้เกิดการเก็งกำไรของนักเก็งกำไร หากรู้ว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับอัตราแลกเปลี่ยน การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก การกำหนดนโยบายต้องดูผลกระทบและความจำเป็นให้ดี
ส่วนหลายฝ่ายมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับกระทรวงการคลังมีนโยบายบริหารขัดแย้งกันนั้น นายทนง กล่าวว่า คลังกับ ธปท.ดำเนินการคนละด้าน กระทรวงการคลังก็ควรจะทำแต่นโยบายคลัง ธปท.ก็ดำเนินนโยบายการเงิน หากมีอะไรก็จะต้องหารือและพูดคุยกัน
สันติ วิลาสศักดานนท์
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวคิดการตั้งเป้าหมายค่าเงินบาทอ่อนค่าลงร้อยละ 5-10 เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกจะส่งผลดีต่อประเทศ การจะหาตลาดใหม่ไม่ใช่ทำได้ง่ายต้องใช้เวลา ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำเต็มที่แล้ว
นายสันติ กล่าวว่า หากเงินบาทอ่อนค่าลงจะช่วยให้สินค้าเกษตรส่งออกได้ ขณะเดียวกันการที่เงินบาทอ่อนค่า บางฝ่ายก็หวั่นว่าจะทำให้การนำเข้าสินค้า เช่น น้ำมันมีราคาแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันลดลงถึงร้อยละ 50 ดังนั้น การที่เงินบาทอ่อนค่าลงร้อยละ 10 จึงมีผลกระทบไม่มาก เมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกสินค้าไทยที่จะได้เพิ่มขึ้น
ขณะนี้ประเทศไทยส่งออกสินค้าประมาณ 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคิดอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะมีมูลค่าส่งออกสูงถึงปีละ 6 ล้านล้านบาท หากเงินบาทอ่อนค่าลงก็จะเป็นอาวุธให้สินค้าไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ท่ามกลางการแย่งชิงที่รุนแรง ซึ่งเชื่อว่าทุกประเทศจะทำให้ค่าเงินอ่อนลง เพื่อให้สินค้าแข่งขันได้ แต่ไม่มีใครออกมาพูด ดังนั้น ไทยจะต้องตั้งเป้าหมายเงินบาทให้อ่อนค่าลง ร้อยละ 5-10 และควรจะมีแผนที่เหมาะสมรองรับ
นายสันติ เห็นด้วยกับการประกันเงินฝากให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ฝากเงินสบายใจ เนื่องจากอาจจะมีความเสี่ยงหากมีข่าวลือว่าธนาคารขนาดเล็กมีปัญหาในการปล่อยสินเชื่อ แล้วจะเกิดการถอนเงินจนธนาคารล้ม และทำให้ธนาคารอื่นล้มลงตาม การประกันเงินฝากจะทำให้ประชาชนมั่นใจธนาคารขนาดเล็ก การที่รัฐบาลไทยจะออกมาค้ำประกันเงินฝากก็ไม่น่าจะเกิดผลเสีย และจะเป็นผลดีต่อธนาคารพาณิชย์ไทยอีกด้วย
TDRI
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่าการกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เอื้อต่อการเติบโตของการส่งออกนั้น ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศไทยได้ผ่านจุดที่มีการกำหนดค่าเงินตายตัว ซึ่งก็มีปัญหาใหญ่จนกระทั่งเกิดวิกฤติมาแล้ว ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยใช้นโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ การกลับไปกำหนดค่าเงินให้คงที่เพื่อช่วยภาคส่งออกจึงไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาที่ใหญ่ขึ้นไปอีกในระยะยาว
ศุภวุฒิ สายเชื้อ
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวถึงการลดอัตราแลกเปลี่ยนให้มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงว่า คงไม่ใช่แนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ควรจะเพิ่มการใช้จ่ายภายในประเทศให้มากขึ้น และดูแลอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาะสมมากกว่า
คณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง อนุมัติลดค่าโดยสารรถขสมก. 1.50 บาท - รถปรับอากาศ และมินิบัสลดลง 1 บาท - บขส. ลดลงกม.ละ 3 สตางค์ มีผล 28 ต.ค.
นายชลอ คชรัตน์ อธิบดีกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ว่าที่ประชุมมีมติปรับลดราคาค่าโดยสารทั้งรถหมวด 1 ถึง หมวด 4 การลดราคาดังกล่าวได้พิจารณาราคาน้ำมันที่อัตรา 23.94 บาทต่อลิตร โดย
รถ ขสมก.และรถร่วม ขสมก. รถร้อน ปรับลดลง 1.50 บาท
รถขาวน้ำเงิน จาก 10 บาท เหลือ 8.50 บาท,
รถครีมแดง จาก 9 บาทเหลือ 7.50 บาท,
รถมินิบัสลดลง 1 บาท จาก 8 บาทเป็น 7 บาท
รถปรับอากาศ ลดลง 1 บาท
รถปรับอากาศ ครีม-น้ำเงิน จากอัตรา 13-23 บาท เหลือ 12-22 บาท
รถปรับอากาศยูโร จากอัตรา 14-24 บาท เหลือ 13-23 บาท
รถสองแถว ลดลง 1.50 บาท จากราคา 7.50 บาท เหลือ 6 บาท
รถ บขส. และรถร่วม บขส.ปรับลด 3 สตางค์ต่อกิโลเมตร
นายชลอ กล่าวว่า อัตราค่าโดยสารใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมนี้ ส่วนข้อเสนอของรถร่วม ขสมก. และร่วม บขส. ขอใช้ตารางแบบแปรผันนั้นที่ประชุมจะนำไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง
. . .
ผู้ประกอบการเรือโดยสารเตรียมปรับลดค่าบริการตามต้นทุนน้ำมันที่ลดลง
นาวาโทปริญญา รักวาทิน อุปนายกสมาคมเรือไทย กล่าวภายหลังหารือผู้ประกอบการเรือไทย เพื่อพิจารณาราคาค่าโดยสารว่า ที่ประชุมมีมติเห็นร่วมกันว่า ยินดีที่จะปรับลดราคาค่าโดยสารเรือ แต่มีเงื่อนไขว่า หากราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นมาลิตรละ 25 บาท ผู้ประกอบการเรือโดยสารสามารถปรับขึ้นราคาได้ทันที โดยไม่ต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าโดยสารเรือประจำทางอีกครั้ง เนื่องจากต้นทุนการเดินเรืออื่นไม่ได้มีการปรับลด เช่น ค่าแรงงาน และที่ผ่านมาผู้ประกอบการเพิ่งปรับราคาได้ไม่ถึง 2 เดือน โดยเรือข้ามฟากปรับราคาวันที่ 12 ก.ย. ส่วนเรือด่วนเจ้าพระยาปรับราคาวันที่ 22 ก.ย.
สำหรับอัตราค่าเรือใหม่ที่คาดว่าจะปรับลดลง คือ
เรือข้ามฟากทุกท่าจะปรับลดราคา 50 สตางค์ จาก 3.50 บาท เป็น 3 บาท
ส่วนท่าเรือสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ จะปรับลดจาก 4 บาท เป็น 3.50 บาท
ยกเว้นท่าเรือสาทร ที่ปรับลดไปตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. จาก 3.50 บาท เป็น 3 บาท
เรือประจำทางจะลดลงระยะละ 1 บาท จาก 10-14 บาท เป็น 9-13 บาท
เรือธงส้ม ลดลง 2 บาท จาก 15 บาท/คน/เที่ยว เหลือ 13 บาท
โดยราคาค่าโดยสารใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายหลังคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าโดยสารเรือประจำทางอนุมัติ ซึ่งจะมีการประชุมภายใน 1-2 วันนี้
ส่วนเรือธงเหลือง จะยืนราคาเดิม คือ 20 บาท/คน/เที่ยว เนื่องจากเป็นเรือขนาดใหญ่ ใช้ 2 เครื่องยนต์ ทำให้ต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก ซึ่งหากราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงเหลือลิตรละ 20 บาท จึงจะปรับลดราคาลง 2 บาท จาก 20 บาท เป็น 18 บาท
. . .
กทพ.ขึ้นค่าทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) กำหนดจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) ในอัตราใหม่ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 ของวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป โดยอัตราค่าผ่านทางพิเศษที่ปรับขึ้นใหม่นี้มีส่วนลดพิเศษสำหรับรถทุกประเภทแล้วจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552
สำหรับการปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษมีรายละเอียด คือ
ด่านเมืองทอง จัดเก็บในราคา 25, 50, 75 บาท
ด่านศรีสมาน 30, 60, 90 บาท
ด่านบางพูน 35, 70, 105 บาท
ด่านเชียงราก 40, 80, 120 บาท
ด่านบางปะอิน 45, 90, 135 บาท สำหรับรถยนต์ 4 ล้อ 6-10 ล้อ มากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ
. . .
ครม.สั่งเก็บเงินกองทุนน้ำมันเพิ่ม ทดแทนลดภาษีสรรพสามิต
น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีสรรพสามิตที่ลดลงจาก 6 มาตรการ 6 เดือนฯ เพื่อใช้เป็นทุนสำรอง สำหรับการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน เมื่อสิ้นสุดโครงการ และให้พิจารณาปรับราคาก๊าซแอลพีจี ให้สอดคล้องกับกลไกตลาด โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานให้ทราบว่ากำลังดำเนินการอยู่ และรายละเอียดทั้งหมดต้องนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาเห็นชอบก่อน
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเงินสด 11,641 ล้านบาท และมีหนี้สิน 8,455 ล้านบาท โดยเป็นหนี้เงินชดเชยราคาจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตตามมาตรการของรัฐ จำนวน 3,366 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซแอลพีจี จำนวน 291 ล้านบาท ส่งผลให้มีฐานะกองทุนสุทธิเท่ากับ 3,187 ล้านบาท
น.ส.ศุภรัตน์ กล่าวว่า สศช. ได้รายงานว่า สถานการณ์และแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงจาก 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2551 มาอยู่ที่ 61 ดอลลาร์สหรัฐ ในปัจจุบัน เมื่อรวมผลจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตจาก 6 มาตรการ 6 เดือนฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ลดลง 15.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลลดลง 20.30 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาระดับพลังงานไม่ให้ผันผวนมากเกินไป ควบคู่กับการประหยัดพลังงาน จึงเห็นควรให้มีการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าอัตราภาษีสรรพสามิต ที่ลดลงลิตรละประมาณ 3 บาท
ส่วนราคาขายก๊าซแอลพีจีในตลาดโลกได้ปรับลดลงจากตันละ 923 ดอลลาร์ ในเดือน ก.ค. 51 มาอยู่ที่ 798 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาขายปลีกในประเทศยังอยู่ที่ระดับ 18.13 บาท ต่อ ก.ก. ตั้งแต่เดือน มี.ค. 51 และส่วนใหญ่นำไปใช้ในภาคครัวเรือนร้อยละ 40 ขณะที่ใช้ในภาคขนส่งร้อยละ 17 โดยรัฐบาลและ ปตท. ยังอุดหนุนส่วนต่างของราคาภายในประเทศ ทำให้บิดเบือนราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และทำให้การใช้แอลพีจีขยายตัวมากยิ่งขึ้น ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงควรปรับราคาก๊าซแอลพีจีให้สอดคล้องกับกลไกตลาดด้วย
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงพลังงาน พิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่ม เพื่อเป็นการเปิดช่องทางให้กรณีที่รัฐบาลไม่สามารถสรรหางบประมาณกลางมาให้ กรณีต้องชำระส่วนต่างราคาคืนให้กับผู้ค้าน้ำมันได้ในช่วงที่มีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง ซึ่งเงินดังกล่าวกองทุนน้ำมันฯ ได้สำรองจ่ายออกไปก่อนแล้ว เป็นจำนวนเงินประมาณ 3,300 ล้านบาท เนื่องจากเมื่อครบกำหนด 6 เดือน ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นประมาณ 2 3 บาทต่อลิตร จึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและเช็คสตอกน้ำมันในคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศอีกครั้งก่อน
ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน เร่งพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี ให้เป็น 2 ราคา โดยขณะนี้ได้ทำโครงสร้างราคาแอลพีจีเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติเท่านั้น คาดว่าจะจัดวาระการประชุมได้ต้นเดือนหน้า ที่จะมีการตรึงราคาแอลพีจีในภาคครัวเรือนตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม แต่จะปรับราคาภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมให้ต่างจากครัวเรือน ที่จะมีวิธีป้องกันการถ่ายเทก๊าซจากครัวเรือนไปใช้ในภาคอื่น ๆ ที่เหมาะสมออกมา
. . .
ครม. อนุมัติโครงการรับจำนำข้าวนาปีกำหนดราคา 12,000 บาท/ตัน
ครม.อนุมัติโครงการรับจำนำข้าวนาปีตามที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเสนอ โดยให้รับจำนำข้าวเปลือกนาปี 100% ราคาตันละ 12,000 บาท ข้าวหอมมะลิราคาตันละ 15,000 บาท ข้าวเหนียวตันละ 9,000 บาท
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าโครงการรับจำนำข้าวนาปีดังกล่าว ในส่วนของราคาที่ตั้งขึ้นถือว่าสอดคล้องกับราคาตลาดโลก และที่ประชุมยังเห็นด้วยกับการที่ให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลสินค้าอุปโภค-บริโภค และสินค้าที่จำเป็นต่อเกษตรกร อาทิ ปุ๋ย ยากำจัดวัชพืช อาหารสัตว์ โดยให้ราคาสินค้าปรับลดลงตามราคาน้ำมัน เพื่อให้เกษตรกรมีต้นทุนที่ต่ำ
นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังคงยืนยันที่จะคง 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจเพื่อคนไทยต่อไปให้จบตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้ในเดือนมกราคม 2552 โดยให้นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแลโครงการดังกล่าวแทน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะถือว่าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้อัตราเงินเฟื้อลดลงจากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 6 และยังเป็นมาตรการที่ประเทศเพื่อนบ้านจะนำไปใช้เช่นกันเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
. . .
รมว. พาณิชย์ เรียกประชุมคณะกรรมการรับจำนำข้าว เตรียมพร้อมก่อนเปิดรับจำนำ
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 ต.ค.นี้ นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเรียกประชุมคณะกรรมการรับจำนำข้าว เพื่อกำหนดรายละเอียด แนวทาง และเตรียมความพร้อมของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2551/52 ตามมติ ครม. วันที่ 21 ต.ค. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี พร้อมกันนี้ จะหารือถึงการระบายข้าวในสต๊อก และการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวนาปรัง 2551 ตามที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนมาให้กระทรวงพาณิชย์ ประมาณ 2 ล้านตัน ซึ่งจะเริ่มตรวจสอบตั้งแต่ 23 ต.ค.นี้ เป็นเวลา 10 วัน
ผู้ประกอบการปุ๋ยยอมปรับลดราคาปุ๋ยให้เกษตรกรและชาวสวน
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเคมี 6 รายใหญ่ ประกอบด้วย สมาคมการค้าปุ๋ยเคมีและธุรกิจการเกษตร, บริษัท เจียไต๋ จำกัด, บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน), บริษัท โมเซอิค อินเตอร์เนชั่นแนบ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท โรจน์กสิกิจเฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด, บริษัท ไอ.ซี.พี เฟอติไลเซอร์ จำกัด ที่มีสัดส่วนการตลาดกว่าร้อยละ 90 ซี่งผู้ผลิตยืนยันให้ความร่วมมือปรับลดราคาจำหน่ายปุ๋ยตามที่กระทรวงพาณิชย์ร้องขอ เพื่อเป็นการลดภาระต้นทุนเกษตรกรและสอดคล้องกับภาวะราคาน้ำมันที่ลดลง โดยลดราคาเป็นขั้นบันไดตามต้นทุนจริง
สำหรับปุ๋ยปลูกยางพาราและปาล์ม ซึ่งมีความต้องการใช้ 1 ล้านตันต่อปี จะปรับลดราคาร้อยละ 5-10 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551
สำหรับปุ๋ยปลูกข้าว ซึ่งมีความต้องการใช้ 2 ล้านตันต่อปี จะปรับลดลงร้อยละ 10 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551
สำหรับปุ๋ยพืชไร่ (อ้อย ข้าวโพด และถั่ว) ซึ่งมีความต้องการใช้ 3 แสนตันต่อปี จะปรับลดร้อยละ 20 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2552
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์เตรียมนำเสนอ 3 แนวทาง ในการลดต้นทุนเกษตรกรต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการบริหารเงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร วงเงินหมุนเวียน 300 ล้านบาท ประกอบด้วย
1. เปิดประมูลซื้อปุ๋ยราคาถูกในประเทศแทนการนำเข้า เพราะปุ๋ยในประเทศมีราคาถูกลง และค่าใช้จ่ายด้านขนส่งต่ำกว่านำเข้า
2. สนับสนุนโดยชดเชยค่าใช้จ่ายด้านขนส่ง และดอกเบี้ยอัตราต่ำ
3. จัดทำปุ๋ยราคากลาง หากราคาปุ๋ยที่เกษตรกรใช้สูงกว่าราคากลาง ก็ให้รับเงินชดเชยส่วนต่างที่สูงขึ้น
นายยรรยง กล่าวว่า ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ กรมการค้าภายในจะหารือกับผู้ประกอบการอาหารสำเร็จรูป อาทิ ร้านอาหารมิตรธงฟ้า ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และซัพพลายเออร์ผู้ผลิตสินค้า เพื่อขอความร่วมมือในการลดราคาสินค้า และจะหารือกับกลุ่มอาหารสัตว์ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การปรับลดราคาสินค้าในกลุ่มอาหารซึ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 ในการคิดคำนวณเงินเฟ้อ จะช่วยลดการขยายตัวของเงินเฟ้อได้ค่อนข้างสูง
. . .
| Create Date : 21 ตุลาคม 2551 |
| Last Update : 21 ตุลาคม 2551 21:23:38 น. |
|
3 comments
|
| Counter : 696 Pageviews. |
 |
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [
แต่เข้าใจละว่า
ถ้าค่าเงินอ่อน
ไทยจะส่งออกได้
(เข้าใจถูก..ใช่ไหมคะ)