BlogGang.com : : loykratong :

รถไฟฟ้าบีทีเอสขยายเวลาเปิดให้บริการคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถึง 02.00 น.

. . .

รถไฟฟ้าบีทีเอสขยายเวลาเปิดให้บริการคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถึง 02.00 น.

นายอาณัติ อาภาภิรม กรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อร่วมเฉลิมฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บริษัทฯ จะขยายการเปิดให้บริการเดินรถ จากเวลา 24.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 2551 จนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2552 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปฉลองเทศกาลแห่งความสุขในสถานที่จัดงาน ซึ่งอยู่ในเส้นทางของรถไฟฟ้าและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งปีนี้จะมีการจัดงานบริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และสยามพารากอน ลงสถานีราชดำริ สถานีสยาม สถานีชิดลม และงานสวนลุมไนท์บาซาร์ ลงสถานีชิดลม สถานีราชดำริ สถานีศาลาแดง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดเตรียมบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ประเภท One-Day Pass ราคาใบละ 120 บาท เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งบัตรดังกล่าวสามารถใช้เดินทางได้ไม่จำกัดระยะทางและจำนวนเที่ยว คือ เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 2551 ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2552

. . .

ธ.ก.ส. เตรียมพิจารณาลดดอกเบี้ยเงินกู้อีกรอบในวันที่ 30 ธ.ค.นี้

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า หลังจากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อยละ 0.25 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย เงินกู้และลูกค้ารายย่อยชั้นดี MRR อยู่ที่ร้อยละ 7.25 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี MLR อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปี เนื่องจากผู้จัดการธ.ก.ส.ยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ครั้งละไม่เกินร้อยละ 0.25 จึงมองว่าจะลดดอกเบี้ยได้อีก ทั้งนี้เพื่อลดภาระให้เกษตรกรมากขึ้น จึงเตรียมเสนอคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ให้พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในวันที่ 30 ธ.ค. นี้

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ยืนยันว่าเงินฝากออมทรัพย์ ซึ่งเป็นฐานเงินฝากของเกษตรกรจำนวนมาก อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 0.75 จะไม่ปรับลดลงเพื่อไม่ให้กระทบผู้ฝากเงินรายย่อย เพราะที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยตามภาวะตลาด โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทลูกค้า ปรับลดลงร้อยละ 0.85-1.00 ตามวงเงินและระยะเวลาการฝาก

สำหรับบุคคลที่มีความจำเป็นต้องใช้รายได้จากดอกเบี้ยเพื่อการยังชีพ ซึ่งได้แก่เกษตรกรและผู้สูงอายุที่ฝากเงินในโครงการพิเศษ นอกจากไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงแล้ว ดอกเบี้ยที่รับยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย โดยเงินฝากโครงการพิเศษ ได้แก่ เงินฝากของเกษตรกรในโครงการกองทุนทวีสุข อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี พร้อมสวัสดิการที่เพิ่มมากขึ้น ตามระยะเวลาฝากเงิน

รวมถึงเงินฝากบัตรเพิ่มทรัพย์ชุดที่ 2 สำหรับผู้ออมเงินรายย่อย เงินฝากขั้นต่ำหน่วยละ 100 บาท ฝากครบ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 ต่อปี พร้อมให้ลุ้นโชคเงินล้าน จากการออกรางวัลโดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 36 ครั้งในรอบ 3 ปี อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. ยังต้องการเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเพิ่มทุนให้ ประมาณ 5,000-7,000 ล้านบาท จากทุนปัจจุบัน 50,000 ล้านบาท เพื่อให้มีเงินทุนในการปล่อยกู้ให้เกษตรกรมากขึ้น

. . .

สสว. ชี้แนวโน้ม SMEs ปี 2552 ต้องจับตาภาคการผลิต

นายภักดิ์ ทองส้ม รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการ SMEs 4,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของ SMEs ในปี 2552 ยังคงมีหลายปัจจัย, ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง, การหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ, การลงทุน, ค่าเงินบาท, ความผันผวนของราคาพลังงาน, ผลกระทบด้านต้นทุน, การบริโภคที่ลดลง, นโยบายหรือการเปลี่ยนรัฐบาล เป็นต้น

นายภักดิ์ เปิดเผยว่า จำนวน SMEs ปี 2552 น่าจะมีจำนวนประมาณ 2.42 ล้านราย ขยายตัวร้อยละ 0.53 หรือเพิ่มขึ้น 12,311 ราย แต่เป็นการขยายตัวแบบถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่วิสาหกิจสาขาอื่น ๆ จะมีจำนวน SMEs เพิ่มขึ้น 25,340 ราย ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการค้าและบริการ จะมีจำนวนวิสาหกิจลดลง 13,029 ราย ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา อาจจะนำไปสู่การลดขนาดธุรกิจ หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจทั้งที่ใกล้เคียงและไม่ใกล้เคียงกับธุรกิจเดิม เช่นเดียวกับจำนวนแรงงานในภาพรวมที่จะมีประมาณ 9.28 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 1.24 หรือเพิ่มขึ้น 109,333 คน โดยเป็นการจ้างงานในอุตสาหกรรมสาขาอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 229,799 คน ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการค้าและบริการ มีการจ้างงานลดลง 120,466 คน ขณะที่มูลค่าตลาด ซึ่งวัดจากรายได้สุทธิ จะมีจำนวน 6.02 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.33 ส่วนการส่งออก 1.80 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.06 และผลิตภาพทุน 0.23 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.28

นายภักดิ์ เปิดเผยว่า จำนวนวิสาหกิจ SME ในภาคการผลิต คาดว่าจะมีจำนวน SMEs รวม 652,715 ล้านราย ลดลงร้อยละ 0.57 พบว่าสาขาในกลุ่มวิศวการ จะมีจำนวนวิสาหกิจลดลงเป็นส่วนใหญ่ แต่โดยส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมในภาคการผลิต จะมีจำนวนวิสาหกิจเพิ่มขึ้น และสาขาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ และกลุ่มอาหาร ภาคการค้าและบริการ ส่วนสาขาที่คาดว่าจะมีจำนวนวิสาหกิจลดลง เช่น บริการท่องเที่ยว บริการอื่น ๆ เป็นต้น ด้านจำนวนการจ้างงาน พบว่าในภาคการผลิต จะมีการจ้างงานประมาณ 3.31 ล้านคน ลดลง ร้อยละ 1.16 ส่วนสาขาที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจะอยู่ในกลุ่มอาหารเป็นส่วนใหญ่

ขณะที่ภาคการค้าและบริการ จะมีการจ้างงานประมาณ 3.17 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.22 โดยสาขาที่คาดว่าจะมีการจ้างงานลดลง ได้แก่ บริการที่ปรึกษา บริการอื่น ๆ บริการคอมพิวเตอร์ฯ บริการสุขภาพและอนามัย ไปรษณีย์ฯ เป็นต้น ส่วนสาขาที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ บริการวิจัยและพัฒนา บริการก่อสร้าง การศึกษา โรงแรมและภัตตาคาร เป็นต้น
นายภักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนภาคการผลิต สาขาที่มีความโดดเด่นคือ สิ่งพิมพ์ ยา-สมุนไพร และเวชภัณฑ์ เยื่อกระดาษฯ เคมีภัณฑ์ เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล เครื่องดื่ม อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทเส้น และรีไซเคิล ส่วนสาขาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เฟอร์นิเจอร์ แก้วและเซรามิค สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือเฉพาะด้าน แร่อโลหะ และเครื่องจักรกล

ในส่วนภาคการค้าและบริการ จะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ ผลิตภาพทุน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน และรายได้ด้อยค่า โดยพบว่าสาขาที่มีความโดดเด่นใน 5 ลำดับแรก ได้แก่ บริการที่ปรึกษา บริการทางการเงิน ไปรษณีย์ โลจิสติกส์ บริการ การศึกษา ส่วนสาขาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ โรงแรมและภัตตาคาร ก่อสร้าง บริการเสริมสุขภาพ สปาฯ บริการอสังหาริมทรัพย์ และบริการท่องเที่ยว

. . .

Create Date : 22 ธันวาคม 2551

2 comments

Last Update : 22 ธันวาคม 2551 15:33:47 น.

Counter : 725 Pageviews.

รับทราบค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูล

โดย: ดา ดา 22 ธันวาคม 2551 18:37:10 น.

. . .

วิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลกกระทบมูลค่าส่งออกไทยเดือน พ.ย.51 ติดลบครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในอัตราร้อยละ 18.6

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงตัวเลขส่งออกเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 11,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 18.6 ถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี

สาเหตุที่ทำให้มูลค่าการส่งออกลดลง นายศิริพล กล่าวว่า เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และอีกหลายตลาดนำเข้าสินค้าไทยลดลง

นอกจากนี้ เกิดจากปัญหาความวุ่นวายการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ทำให้ปริมาณส่งออกในหลายกลุ่มสินค้าปรับตัวลดลง โดยเดือน พ.ย. การส่งออกผ่านทางท่าอากาศยานหายไปถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าส่งออกปกติเฉลี่ยเดือนละ 3,000-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับกลุ่มสินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ภาคการเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และสินค้าอาหาร
ขณะที่การนำเข้าเดือน พ.ย.มีมูลค่าทั้งสิ้น 13,073 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 โดยมียอดขาดดุลการค้าเดือน พ.ย. 1,202 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับมูลค่าการส่งออก 11 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่ารวม 116,236 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 ส่วนการนำเข้า 11 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่ารวม 117,398 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.9 โดยไทยขาดดุลการค้าทั้งสิ้น 1,162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“กระทรวงพาณิชย์เชื่อว่าการส่งออกเดือน ธ.ค.นี้ ยังมีแนวโน้มลดลง แต่หากเดือน ธ.ค.ยังส่งออกได้ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับการส่งออกตลอดปี 2551 ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 18 ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 12.5” ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าว

สำหรับแนวโน้มปี 52 นายศิริพล กล่าวว่า จากการที่กรมส่งเสริมการส่งออกหารือกับภาคธุรกิจในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม คาดการณ์ว่าการส่งออกปีหน้าจะติดลบเป็นเลข 2 หลัก โดยภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะติดลบ คือ อุตสาหกรรมรถยนต์, แผงวงจรไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, อัญมณีและเครื่องประดับ แต่ก็มีบางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ที่ยังเป็นดาวเด่นที่จะผลักดันการส่งออกปีหน้า

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังปรับแนวทางการทำตลาด โดยจะเน้นอุตสาหกรรมบริการ และอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งจะสามารถช่วยหนุนยอดการส่งออกปีหน้า จึงคิดว่าแม้ครึ่งแรกของปี 2552 การส่งออกจะยังไม่สดใส แต่ครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ โดยจะพยายามให้ติดลบแต่ละเดือนน้อยที่สุด และจะพยายามผลักดันให้การส่งออกตลอดปีมีอัตราขยายตัวร้อยละ 0-5 จึงไม่อยากให้สถาบันการเงินชะลอปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจ

. . .

รมว.พาณิชย์ ยืนยันไม่หนักใจการทำงาน พร้อมตั้งผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจเป็นที่ปรึกษา

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกเดือน พ.ย. ที่ลดลงร้อยละ 18.6 เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งการเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้จะสวมบทบาทเป็นแม่ค้า เพื่อออกไปขายของในตลาดใหม่ๆ ให้มากขึ้น และจะทำงานอย่างรวดเร็ว

นางพรทิวา ยืนยันว่า ไม่หนักใจที่เข้ามารับตำแหน่ง เพราะมีทีมงานที่ดี เชื่อว่าจะทำงานได้เป็นอย่างดี และมั่นใจมาก โดยในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ จะแถลงนโยบายการทำงานและเปิดตัวทีมงานอย่างเป็นทางการต่อไป

นางพรทิวา กล่าวว่า จะเน้นงานหลักกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และการส่งออกควบคู่กันไป เนื่องจากการส่งออกขณะนี้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในระดับโลก ซึ่งจำเป็นจะต้องเร่งเปิดตลาดใหม่

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ทีมที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ประกอบด้วย
1. นายไชยา ยิ้มวิไล นักวิชาการอิสระ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
2. นายอุตตมะ สาวนายน อดีตที่ปรึกษานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมัยดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
3. นายอนุรักษ์ โค้วคาสัย ผู้บริหารบริษัท พรานทะเล ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดนายอนุชา นาคาศัย อดีต ส.ส.ชัยนาท คนใกล้ชิดนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และเป็นสามีของนางพรทิวา ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอยู่ใน 111 คน
4.นายสำราญ ภูอนันตานนท์ อดีตผู้บริหารธนาคารพาณิชย์

. . .

นายกฯ กำชับตลาดหุ้นขจัดข้อครหาเป็นแหล่งหาผลประโยชน์นักการเมือง

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ เดินทางมาหารือกับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นำโดยนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลท. , นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. , นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยและนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทางรัฐบาลให้ความสำคัญกับตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นดัชนีที่จะวัดความเชื่อมั่นทางภาคธุรกิจ และเป็นแหล่งระดมทุนของภาคเอกชน ดังนั้น จึงย้ำให้ตลาดหลักทรัพย์ มีความโปร่งใส น่าเชื่อถือ

โดยต้องลบข้อครหาว่ามีการใช้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมานักการเมืองถูกข้อครหาว่าใช้ตลาดทุนหาผลประโยชน์ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ จะต้องแก้ภาพลักษณ์ที่เคยถูกกล่าวหา และต้องไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกับนักลงทุนรายย่อย โดยต้องกำกับดูแลร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจในสายตาของชาวโลก และนักลงทุนไทย

“เรื่องสำคัญของตลาดหุ้น คือ ความโปร่งใสที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือ ดังนั้น ตลาดหุ้นต้องลดข้อครหาว่ามีการใช้ตลาดหลักทรัพย์ในการหาผลประโยชน์ มีบุคคลมาเอารัดเอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะนักการเมืองที่ถูกข้อครหาดังกล่าว ซึ่งต้องกำจัดให้ได้ เพื่อให้เป็นภาพที่ดีต่อสายตาชาวโลก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จากการรายงานของตลาดหลักทรัพย์ พบว่า มีปัญหาเรื่องโครงสร้างที่จะต้องมีการแก้ไข โดยรับข้อเสนอที่จะให้มีการฟื้นคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน หลังจากหมดวาระไปตามรัฐบาลชุดที่แล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและกระตุ้นตลาดหุ้น

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็จะประกาศแผนปรับปรุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน และจะเสนองบกลางปีเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในปลายเดือนมกราคมนี้ ควบคู่ไปกับการแสดงความพร้อมของประเทศไทย ที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำอาเซียน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้มีบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ซึ่งการรับบริษัทจดทะเบียนต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์
หากเป็นธุรกิจที่ยังมีความขัดแย้ง เช่น ธุรกิจแอลกอฮอล์ ก็จะต้องมีการทำความเข้าใจและพิจารณาด้วยเหตุผล หากธุรกิจดังกล่าวสร้างความขัดแย้งก็ให้พิจารณาธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่มีความขัดแย้งก่อน เพราะในสภาวะสังคมไทยในปัจจุบันมีความขัดแย้งสูงอยู่แล้ว หากยังนำธุรกิจที่ยังมีความขัดแย้งเข้าจดทะเบียนอาจจะสะดุดได้ง่าย

ส่วนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทางรัฐบาลไม่มีปัญหา หากการแปรรูปทำให้เกิดการแข่งขัน มีการกำกับดูแลที่ดี แต่จะไม่สนับสนุนหากมีการโอนอำนาจผูกขาดจากรัฐบาลไปเป็นเอกชน แม้ว่าจะทำให้ได้ราคาดีก็ตาม เพราะรัฐบาลจะให้การสนับสนุนเศรษฐกิจส่วนรวมเป็นหลัก

ส่วนข้อเรียกร้องที่ให้นำ บมจ.ปตท. ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า จะต้องนำ ปตท. กลับมาเป็นของรัฐบาล แต่ต้องลดการผูกขาด เพิ่มการกำกับดูแล ซึ่งเรื่องของ ปตท.คงต้องหารือในรายละเอียด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับนโยบายพลังงานด้วย

. . .

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ 8 แนวทางพัฒนาตลาดทุนต่อรัฐบาลใหม่ให้ช่วยขับเคลื่อน

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า เรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่ คือ การฟื้นเศรษฐกิจที่กำลังได้รับผลกระทบและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และควรให้ความสำคัญกับตลาดทุนไทย โดยผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้เสนอแนวทางพัฒนาตลาดทุน 8 ประการ ในระดับนโยบาย ต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้ตลาดทุนเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ คือ

1. การสนับสนุนการดำเนินงานของ “คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน” ต่อเนื่อง หลังจากหมดอายุตามรัฐบาลชุดที่แล้ว
2. สนับสนุนการปรับโครงสร้างของ ตลท. ซึ่งจะมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในปี 2552
3. ผลักดันให้ ตลท. เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระหว่างตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนให้มากขึ้น
4. สนับสนุนการเข้าจดทะเบียน โดยให้มาตรการจูงใจกับบริษัทจดทะเบียน ลดอุปสรรค ขั้นตอนการดำเนินงาน
5. ส่งเสริมพัฒนาการตลาดตราสารหนี้ของประเทศ
6. เชื่อมโยงระบบและรวมศูนย์ตลาดตราสารอนุพันธ์ ให้มีโอกาสทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า
7. ผลักดันการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการออม และให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณอายุ รวมทั้งขยายสัดส่วนผู้ลงทุนประเภทสถาบัน
8. ทบทวนและดำเนินการต่อเนื่องเรื่องการปรับโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจเท่าที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะกลุ่มงานที่ต้องทำงานแข่งขันกับภาคเอกชน เพื่อให้รัฐวิสาหกิจมีช่องทางการระดมทุน และมีความคล่องตัวในการบริหารงานมากขึ้น

“ปีนี้เป็นปีที่เปราะบางของตลาดหลักทรัพย์ เห็นได้ชัดเจนจากการที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิประมาณ 160,000 ล้านบาท ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงเกือบร้อยละ 50 และมูลค่าตลาดรวมลดลงจาก 7 ล้านล้านบาท เหลือ 3.5 ล้านล้านบาท ทำให้การอุปโภคบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลง” นายปกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือฐานะของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกระทรวงการคลัง โดยขอให้รัฐบาลเป็นแกนนำในการเพิ่มทุนให้กับ TSFC เพราะหากบริษัทฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและยิ่งกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุน เป็นเรื่องดีที่จะใช้ตลาดทุนช่วยในการฟื้นเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งระดมทุนของเอกชน ซึ่ง ตลท.พร้อมที่จะเพิ่มสินค้าใหม่และตลาดอนุพันธ์ รวมทั้งจะเน้นการทำงานที่โปร่งใสไม่ถูกแทรกแซงจากการเมือง

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน กล่าวว่า การที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีสนใจแนวทางพัฒนาตลาดทุน เป็นเรื่องที่ดี และจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นเวทีให้รัฐบาลกับตลาดทุนได้มีการหารือ เพื่อพัฒนาตลาดทุนให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2541-2550) พบว่ามีเงินระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ มากกว่าสินเชื่อสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.8 เท่า นอกจากนี้ ภาคเอกชนและภาครัฐยังระดมทุนจากตลาดทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ รวมกว่า 900,000 ล้านบาท และผ่านการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 55,000 ล้านบาท โดยนอกจากสถาบันการเงินแล้ว ภาคธุรกิจจริงอื่นๆ ก็ระดมทุนผ่านตลาดทุนเกือบ 60,000 ล้านบาท

. . .

มูลค่าส่งออกต่ำสุดรอบ 5 ปี ส่งผลกระทบดัชนีหุ้นติดลบเกือบ 13 จุด

การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา เผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักเกือบตลอดทั้งวัน ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค และผวาตัวเลขส่งออกของไทยในเดือน พ.ย. ที่ออกมาต่ำสุดในรอบ 5 ปี โดยดัชนีปิดตลาดที่ 434.08 จุด ลดลง 12.93 จุด หรือร้อยละ 2.89 มูลค่าการซื้อขาย 8,347 ล้านบาท

นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 595 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 139 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 734 ล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่แกว่งตัวลดลง โดยช่วงเช้าสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย แต่ช่วงบ่ายปรับตัวลงแรง หลังตัวเลขส่งออกเดือน พ.ย. ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นออกมามาก การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงเกือบทุกแห่ง ยกเว้นญี่ปุ่นที่บวก แต่ฮ่องกงและไต้หวันปรับลงแรง เพราะกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 ธ.ค.) มองว่า ดัชนีมีแนวโน้มลดลง แต่อาจกระเตื้องขึ้นได้ในช่วงบ่าย เพราะนักลงทุนรายย่อยที่เคยเทขายในสัปดาห์ก่อน จะเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไรเมื่อหุ้นไทยปรับตัวลงแรง เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีการทำกำไรก่อนปิดงบของนักลงทุนสถาบันช่วงกลางสัปดาห์ ประเมินแนวรับที่ 427-429 จุด และแนวต้าน 442-445 จุด กลยุทธ์การลงทุน เมื่อดัชนีลดลงใกล้แนวรับ แนะนำเข้าซื้อ และรอขายช่วงกลางสัปดาห์

. . .

สนพ. ระบุราคาน้ำมันช่วงสิ้นปีนี้ลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงปี 2551 มีความผันผวนอย่างมาก ส่งผลต่อเนื่องมายังราคาน้ำมันขายปลีก ในประเทศไทย โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 93.67 ดอลลาร์สหรัฐ และ 99.74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 25.30 ดอลลาร์สหรัฐ และ 27.48 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลตามลำดับ สูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม เดือนธันวาคมนี้ราคาน้ำมันกลับลดลงทำจุดต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี

นายวีระพล กล่าวว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ เช่น
ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 102.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้นจากปีก่อน 19.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล,
น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 101.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 19.58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
น้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 119.61 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 34.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

สำหรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทยของปี 2551 ไตรมาส 2 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 39.96 บาทต่อลิตร
น้ำมันเบนซินออกเทน 91 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.76 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 E10 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35.39 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 E20 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 33.62 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 34.59 บาทต่อลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.37 บาทต่อลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B5 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 37.67 บาทต่อลิตร

แต่ในช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมากและต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2551 โดย
ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ที่ 28.59 บาทต่อลิตร
เบนซินออกเทน 91 อยู่ที่ 21.39 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 E10 อยู่ที่ 16.89 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 E20 อยู่ที่ 15.59 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 16.09 บาทต่อลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ 19.34 บาทต่อลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B5 อยู่ที่ 17.84 บาทต่อลิตร

นายวีระพล กล่าวว่า แม้ว่าน้ำมันจะราคาถูกลงมามากแล้ว แต่ผู้ใช้พลังงานยังคงต้องประหยัดอย่างจริงจัง และหันมาใช้พลังงานทดแทนที่มีอยู่ในประเทศ เพื่อพึ่งพาตนเองด้านพลังงานให้ได้มากที่สุด

. . .

ปตท.ยังไม่ขึ้นราคาเอ็นจีวี รอชี้ขาดร่วมกับรัฐบาลใหม่

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ตามที่เคยมีกระแสข่าวว่าจะปรับขึ้นจาก 8.50 บาท เป็น 11 บาท/กิโลกรัม ในวันที่ 1 มกราคม 2552 โดยจะต้องมีการหารือกับรัฐบาลใหม่และกระทรวงพลังงาน ถึงราคาเอ็นจีวีในปีหน้าอีกครั้ง ซึ่งจะต้องนำต้นทุนมาประกอบการพิจารณาด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ปตท.ได้รับภาระขาดทุนจากการอุดหนุนราคาเอ็นจีวีแล้ว 3,000-4,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวถึงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทยว่า มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้อีก หากราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยขณะนี้ค่าการตลาดราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 1 บาทเศษต่อลิตร ซึ่ง ปตท.จะขอดูราคาน้ำมันในภูมิภาคก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงราคา

แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 2552 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากต้นทุนของแหล่งผลิตน้ำมันแหล่งใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากราคาน้ำมันอยู่ที่ 30-40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะต้องปิดแหล่งผลิต เนื่องจากไม่คุ้มทุน ทำให้ปริมาณน้ำมันที่จะออกสู่ตลาดโลกลดลง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันระยะ 3 ปี จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

. . .

“โตโยต้า” ขาดทุนครั้งแรกเป็นประวัติการณ์ จากวิกฤติเศรษฐกิจโลก

“โตโยต้า” ยักษ์ใหญ่บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น ขาดทุนครั้งแรกเป็นประวัติการณ์จากพิษเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เบรกประเมินการณ์ยอดขายปีหน้า

สำนักข่าต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ว่า บริษัทโตโยต้า ได้ประเมินว่าผลประกอบการของปีนี้ บริษัทจะเกิดภาวการณ์ขาดทุนเป็นครั้งแรก ผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดยคาดว่าจะขาดทุนประมาณ 1,690 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการขาดทุนปีแรก นับตั้งแต่โตโยต้ารายงานรายได้ประจำปีนับตั้งแต่ปี 1941 ( ในรอบ 57 ปี)
โดยนายกัตซูอากิ วาตาเนเบ้ ประธานโตโยต้า กล่าวว่า บริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤตที่ไม่คาดฝัน และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จากการขาดทุนจากผลประกอบการในช่วงนี้ โดยโตโยต้าแถลงว่า บริษัทจะระงับการเปิดโรงงานใหม่ ในรัฐมิสซิสซิปปี้ของสหรัฐฯ และลดกำลังการผลิตในอินเดียลง

ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว โตโยต้า มีรายได้ด้านผลประกอบการจำนวน 2.27 ล้านล้านเยน แต่ปีนี้โตโยต้าได้รับผลพวงพิษเศรษฐกิจ โดยยอดขายตกต่ำลงจากวิกฤตเงินกู้ตึงตัวของสหรัฐฯ และนับเป็นครั้งแรกที่โตโยต้าไม่ได้ประกาศการประมาณการยอดขายในช่วงปีหน้า

. . .

โดย: loykratong 22 ธันวาคม 2551 20:49:17 น.