Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

เงินบาทแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 22 เดือน ที่ 35.83 / หุ้นปิดที่ 392 แนวต้าน 400 แนวรับ 380

. . .

เงินบาทร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 22 เดือน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลง จากความกังวลต่อการเมืองในประเทศ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นปรับตัวลง ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นหลัก โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันลง 1.00% จาก 3.75% เหลือ 2.75% ในการประชุมวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่มากที่สุด นับตั้งแต่มีการตั้ง กนง.เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 หรือในรอบ 7 ปี 5 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว

เงินบาทในประเทศ (Onshore) ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 22 เดือนที่ 35.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางปัญหาการเมืองในประเทศที่รุนแรงขึ้น ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่ 'เชิงลบ' จากเดิม 'มีเสถียรภาพ'

นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากกระแสการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. เป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เงินบาทได้ฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าขึ้น และลดช่วงติดลบลงบางส่วนในช่วงต่อมา โดยได้รับแรงหนุนจากแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อทำกำไรของนักลงทุนและจากปัญหาทางการเมืองที่ได้คลี่คลายลงบางส่วนหลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคการเมืองและการสลายตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม

เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากที่ กนง.สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 1.00% ลงสู่ระดับ 2.75% ในการประชุมวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่ มีแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ จากนักลงทุนและผู้นำเข้าเพิ่มเติมเข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์ด้วยเช่นกัน สำหรับในวันพฤหัสบดี เงินบาทขยับอ่อนค่ามายืนที่ระดับประมาณ 35.74 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 พฤศจิกายน)

ในสัปดาห์นี้ (8-12 ธันวาคม 2551) คงจะมีการทยอยไหลกลับของสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินหลังผ่านช่วงวันหยุดยาว ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์จะมีการตัดจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบธนาคารในช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นน่าจะยังทรงตัวต่อเนื่องใกล้ระดับ 2.75% จากปลายสัปดาห์ก่อนหน้า ภายใต้ภาวะสภาพคล่องในตลาดเงินที่น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

ส่วนเงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 35.60-35.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยปัจจัยที่ควรจับตา ประกอบด้วย ปัจจัยการเมืองในประเทศ, ทิศทางสกุลเงินในภูมิภาค, ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ

และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งและภาคธุรกิจ ดุลการค้าเดือนตุลาคม ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาสินค้าส่งออก-นำเข้าเดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ


ตลาดหุ้นไทย-ดัชนี SET ปรับตัวลง จากความกังวลต่อการเมืองในประเทศ

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 392.87 จุด ปรับตัวลดลง 2.23% จาก 401.84 จุด ในสัปดาห์ก่อน และร่วงลง 54.22% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 0.24% จาก 44,695 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 44,801 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 8,939 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 11,200 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,421 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 4,253 ล้านบาท และ 1,168 ล้านบาท ตามลำดับ

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา การเมืองในประเทศยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายต่อเนื่องทั้งสัปดาห์

โดยดัชนีหุ้นไทยปิดลดลงในวันจันทร์ หลังสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลง ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาดูการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีคดียุบพรรคการเมือง

ส่วนในวันอังคาร ดัชนียังปรับตัวลงต่อ จากความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศ แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะได้ตัดสินยุบพรรคการเมืองแล้วก็ตาม โดยนักลงทุนได้เทขายหุ้นในกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง

หลังจากนั้น ดัชนีปรับตัวขึ้นในวันพุธ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 1% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย

ส่วนในวันพฤหัสบดี ดัชนีปิดลบเล็กน้อย ด้วยมูลค่าการซื้อขายบางบางไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร และเทคโนโลยี ถ่วงการลงทุนของตลาดรวม แต่แรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยพยุงไม่ให้ดัชนีปรับลดลงมากนัก

ส่วนการที่มูดี้ส์ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตไทยในวันพฤหัสบดี นักวิเคราะห์มองว่าไม่ได้สร้างความประหลาดใจแต่อย่างใด หลังฟิทช์ เรทติ้งส์ และ S&P ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลงไปก่อนหน้านี้แล้ว

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (8-12 ธันวาคม 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีอาจยังคงผันผวนในขาลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา ขณะที่นักลงทุนคงจะจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การพิจารณาแผนฟื้นฟูบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ, การปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาค, และทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 384 และ 340 จุด ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 402 และ 412 จุด ตามลำดับ


. . .




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2551
1 comments
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 19:53:21 น.
Counter : 603 Pageviews.

 

. . .

"เศรษฐกิจไทยในปี 2552"

คอลัมน์ คนเดินตรอก โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4060

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ท่านได้ออกมาเตือนว่า ปีหน้าเศรษฐกิจของเราอาจจะไม่ขยายตัวเลย หรืออัตราการขยายตัวเป็นศูนย์ หรือขยายตัวในอัตราติดลบ

ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังท่านก็ออกมายืนยันในทำนองเดียวกันว่า เศรษฐกิจของบ้านเราอาจจะขยายตัวไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ก็ได้

เมื่อวันก่อนก็ได้ยินว่า ทางการของสหรัฐออกมาบอกประชาชนของเขาว่า เศรษฐกิจของสหรัฐก็เริ่มก้าวสู่ภาวะถดถอยหรือที่เรียกกันว่า "recession"

เมื่อไม่นานนี้ก็มีข่าวว่า เกาหลีใต้อยู่ในภาวะย่ำแย่ ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ตกต่ำอย่างหนัก กลับมาอยู่ในระดับเดิม หลังเกิดภาวะต้มยำกุ้งอีกแล้ว

ข่าวต่างๆ ในทางลบ หรือที่ไม่เป็นมงคลจากต่างประเทศก็ยังทยอยออกมาไม่รู้จักจบ

จะมีข่าวดีอยู่บ้างก็ข่าวน้ำมันดิบลดราคาอย่างฮวบฮาบ จากที่เคยบาร์เรลละ 150 เหรียญสหรัฐ ตกลงมาเหลือเพียง 47 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามมาด้วยราคาสินแร่ วัตถุดิบต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง และอื่นๆ ราคาก็ตกลงอย่างฮวบฮาบเช่นเดียวกัน

ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ มีราคาลดลง สินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าขาออกของเราเป็นต้นว่าข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด และอื่นๆ ก็มีราคาลดลงอย่างฮวบฮาบไปด้วย ชาวไร่ชาวนา พ่อค้าพ่อขายต่างก็ปรับตัวไม่ทัน

ในขณะเดียวกันธุรกิจการท่องเที่ยวก็คงจะซบเซาต่อไป แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ภาวะเศรษฐกิจขาลงของอเมริกา ของยุโรป และของภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งปัญหาต่างๆ ในประเทศเราซึ่งดูท่าจะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน ก็น่าจะคาดการณ์ได้ว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และอื่นๆ ก็คงจะยังซบเซาต่อไป ยังมองไม่เห็นทางว่าจะฟื้นตัวได้อย่างไร และเมื่อไหร่

ท่านรองฯโอฬารท่านยังได้เตือนพวกเราไว้อีกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นการว่างงานหรือคนจะตกงานไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ฟังดูน่าตกใจ แต่ก็เป็นไปได้ เคยเห็นมาแล้วอย่างน้อยก็ 2 ครั้ง ครั้งแรกระหว่างปี 2526-2529 ครั้งหลังนี้เห็นในระหว่างปี 2540-2544 ไม่นึกว่าจะได้เห็นอีกในเที่ยวนี้

เมื่อตอนที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนทุกข์ยากว่างงานกลับไปช่วยญาติพี่น้องในชนบททำงาน เราจึงไม่เห็นคนว่างงานอยู่ในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ๆ เหมือนในต่างประเทศ ก็ยังนับว่าเป็นโชคดีของประเทศไทยที่เรายังมีภาคเกษตรที่เข้มแข็ง แรงงานที่ออกจากภาคเกษตรมาทำงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการยังมิได้ตัดขาดจากภาคเกษตรเสียทีเดียว ยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับภาคเกษตรอยู่ เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลง โรงงานลดจำนวนแรงงานลง หรือปิดตัวลง แรงงานก็ค่อยๆ ทยอยกลับไปสู่ภาคเกษตรกรรมตามเดิม

ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังถูกผลกระทบอย่างค่อนข้างรวดเร็ว

ที่เป็นอุตสาหกรรมผลิตสิ่งของป้อนตลาดทั้งภายในและต่างประเทศต่างก็กลับมาวางแผนกันใหม่ เปลี่ยนเป้าหมายกันใหม่หมด จากเป้าหมายที่เคยเป็นกำไรต่อหุ้น หรือส่วนแบ่งตลาด เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นกระแสเงินสด กำไรไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญอีกต่อไป เป้าหมายคือทำอย่างไรจึงจะอยู่ได้ให้นานที่สุด โดยไม่ต้องเพิ่มทุน ในสถานการณ์อย่างนี้ ตลาดทุนเป็นอย่างนี้ สถานการณ์สากลเป็นอย่างนี้ โอกาสในการเพิ่มทุนแทบจะไม่มี จะผลิตอย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุด สินค้าคงคลังทั้งที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบ ทำอย่างไรจึงจะให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อเปลี่ยนมาเป็นเงินสดให้มากที่สุด ถ้ามีวงเงินสินเชื่ออยู่กับสถาบันการเงิน บริษัทหลายแห่งก็ยังไม่สู้จะแน่ใจว่า เมื่อถึงเวลาคับขันวงเงินสินเชื่อเหล่านั้นจะยังสามารถเบิกเงินออกมาได้หรือไม่ ถ้าเบิกไม่ได้โครงการต่างๆ ที่เริ่มก่อสร้างแล้ว แต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จก็จะต้องค้างเติ่ง ยิ่งจะทำความเสียหายมาให้เจ้าของโครงการอย่างมาก สถานการณ์ดังกล่าวเราเคยเห็นมาแล้วในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ "ต้มยำกุ้ง" ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จึงพยายามใช้วงเงินสินเชื่อให้เต็ม

ถ้าทุกคนทำอย่างนี้ ภาวะเงินตึงตัวก็จะเกิดขึ้น ดอกเบี้ยก็จะถีบตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด เพื่อไม่ให้สถานการณ์เช่นว่านี้เกิดขึ้นเร็ว ประเทศต่างๆ ทั่วโลกทั้งที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย และภูมิภาคอื่นจึงพากันลดดอกเบี้ยนโยบายกันอย่างถ้วนทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่ญี่ปุ่นซึ่งดอกเบี้ยของญี่ปุ่นนั้นต่ำอยู่แล้ว

ภาวการณ์อีกอย่างที่จะเกิดขึ้นก็คือ สถาบันการเงินจะระวังตัว หรือไม่ก็เป็นนโยบายของทางการที่ต้องการรักษาเสถียรภาพของสถาบันการเงิน จึงออกมาตรการต่างๆ ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น จึงเกิดสถานการณ์ที่สภาพคล่องในสถาบันการเงินยังมีมากแต่สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพราะมีความเสี่ยงสูง การขาดแคลนสภาพคล่องก็จะเริ่มจากธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ซึ่งเราคงต้องพิจารณาต่อไปว่าสถานการณ์จะดำเนินไปในทางใด

ในด้านครัวเรือน ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงอย่างฮวบฮาบ เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ผู้คนเริ่มตกงาน หรือไม่ก็ไม่แน่ใจว่างานที่ตนทำอยู่จะมีความมั่นคงแค่ไหน แม้ราคาสินค้าจะไม่ขึ้น หรือค่อยๆ ลดลงก็ตาม การจับจ่ายใช้สอยก็คงลดลง พยายามลดการใช้จ่ายลง เลื่อนการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งก็จะเป็นผลดีกับครอบครัวนั้นๆ จะได้มีความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ แต่ถ้าทุกครัวเรือนทำอย่างเดียวกันหมด เศรษฐกิจของประเทศไทยส่วนรวมก็คงจะหดตัวเพิ่มเติมลงไปอีก จากภาวการณ์ที่ไม่มีการลงทุน ถ้าภาพเศรษฐกิจยังเป็นอย่างนี้อยู่ ภาพที่ว่าก็น่าจะเป็นอย่างนี้ ยังนึกไม่ออกว่าจะเปลี่ยนภาพเช่นว่านี้ได้อย่างไร

หลายบริษัทที่ยังมีผลประกอบการดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานและอื่นๆ ที่เงินสดในมือยังมีมาก ขณะเดียวกันราคาหุ้นของบริษัทกลับตกต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท มีคำแนะนำว่า บริษัทควรเอาเงินสดนั้นไปซื้อหุ้นคืน ถ้าสถานการณ์ปีหน้าและปีต่อไปยังดูมืดมนอยู่อย่างนี้ ก็ประเมินให้ดีว่าควรจะรักษาเงินสดไว้ เพื่อรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายข้างหน้าและอาจจะยืดเยื้อ ถ้าเอาเงินสดไปซื้อหุ้นของบริษัทกลับคืนเพื่อหวังรับเงินปันผลหรือเพื่อพยุงราคาหุ้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้เงินสดอาจจะขายคืนออกไปไม่ได้ หรือหาแหล่งเงินทุนมาใช้ไม่ได้ คงต้องพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ

เมื่อสัปดาห์ก่อนทางกระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขการขยายตัวของการส่งออกและการขยายตัวของการนำเข้า ฟังดูแล้วน่าตกใจ เพราะการส่งออกเดือนตุลาคมปีนี้เทียบกับปีกลายขยายตัวเพียง 5 เปอร์เซ์นต์เท่านั้นเอง ในขณะที่การนำเข้ายังขยายตัวในอัตราสูงคือ 22 เปอร์เซ็นต์ ถ้าแนวโน้มเป็นอย่างนี้ ดุลการค้าคงจะขาดดุลมากขึ้นไปเรื่อยๆ

ยังไม่เห็นตัวเลขดุลบริการ แต่ก็เดาได้ว่าคงจะขาดดุล เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเสียหายจากปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งการขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินดอลลาร์สหรัฐกลับไปก็ยังมีอยู่ ยังไม่จบ หรือต่อไปแม้จะจบ ปัญหาค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะยังคงมีต่อไป

พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ และแนวโน้มที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อก่อนเดือนเมษายนว่า ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงจาก 31.5 บาทต่อดอลลาร์ มาเป็น 35 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนสิ้นปีนี้ ขณะนี้ค่าเงินบาทก็แตะ 36 บาทต่อดอลลาร์แล้ว ทั้งๆ ที่ทางการได้ใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศไปพยุงค่าเงินบาทไว้เป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก มิฉะนั้นค่าเงินบาทต่อเงินดอลลาร์น่าจะอ่อนกว่านี้

ในปีที่จะถึงนี้แนวโน้มและปัจจัยต่างๆ ที่รุมเร้าประเทศไทยน่าจะมากกว่าปี 2551 ดังนั้นเราคงต้องระมัดระวังเรื่องนี้ให้มากกว่าปีนี้

เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวต่อเหตุการณ์ต่างๆ เกือบทุกเรื่อง เหมือนๆ กับราคาหุ้น จะไปนอนใจหรือวางใจไม่ได้เป็นอันขาด

ถึงจีนจะสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศไว้มากมาย แต่ก็ดูเขาระมัดระวังอย่างมาก และเขาได้ประกาศเข้าควบคุมการปริวรรตเงินตรา

จากการที่เราเป็นประเทศเล็ก หากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล อัตราแลกเปลี่ยนของเราเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐคงเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ติดตาม เพราะคงจะกระทบกับความอยู่รอดของภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และประเทศชาติ

ในปีหน้าขอให้ทุกคนโชคดี

. . .

 

โดย: news IP: 118.173.223.33 8 ธันวาคม 2551 11:15:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.