สนามบินสุวรรณภูมิเปิดรับส่งสินค้าทางอากาศได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.
. . .
สนามบินสุวรรณภูมิเปิดรับส่งสินค้าทางอากาศได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า จากการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศยุติการชุมนุมเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ธ.ค.นี้ การดำเนินการในส่วนของท่าอากาศสุวรรณภูมิจะต้องดำเนินการเหมือนการเปิดใช้สนามบินใหม่ คือ การเข้าตรวจสอบพื้นที่ทั้งในอาคารผู้โดยสาร และพื้นที่ในรันเวย์ และทดสอบการใช้งานของระบบต่างๆ
หลังจากนั้นจะให้กรมการขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม เข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ก่อนให้การรับรองมาตรฐานว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้มาตรฐานตามหลักการสากล จึงสามารถเปิดให้บริการการบินได้ตามปกติ
ก่อนหน้านี้ นายเสรีรัตน์ได้ประกาศขยายเวลาการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในส่วนของการให้บริการผู้โดยสารทั่วไปอีก โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. เวลา 09.00 น. จนถึงวันที่ 15 ธ.ค.นี้ เวลา 18.00 น.
แต่สำหรับเครื่องบินขนส่งสินค้าได้เปิดให้บริการแล้ว ตั้งแต่เวลา 09.00 น. วันที่ 2 ธ.ค. ผู้ให้บริการขนส่งทางอากาศสามารถนำอากาศยานมาทำการบินขึ้น-ลง เพื่อขนถ่ายสินค้า และนำเครื่องที่ตกค้างบินออกไปยังสนามบินต่างๆ เพื่อเป็นการลดมูลค่าการสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจของประเทศ ในระหว่างนี้ก็ได้มีการจัดตั้งศูนย์เช็คอินผู้โดยสารที่ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกผู้โดยสารที่ตกค้างอยู่ ตั้งแต่เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้โดยสารระหว่างประเทศมาใช้บริการรวม 1,300 คน จากจำนวนเที่ยวบิน 17 เที่ยวบิน ในวันที่ 2 ธ.ค. มีอีก 27 เที่ยวบิน
ทั้งนี้ ผู้โดยสารควรไปเช็คอินล่วงหน้าประมาณ 7 ชั่วโมง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรฯ 02-749-3974, 02-749-3982 ศูนย์ให้ข้อมูลการบินไทย ไบเทค บางนา 02-545- 3133
นายเสรีรัตน์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต้องปิดให้บริการท่าอากาศยานตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.จนถึงวันที่ 1 ธ.ค.51 รวม 7 วันทำให้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 350 ล้านบาท ซึ่งการสูญเสียนี้ยังไม่รวมความเสียหายของผู้ประกอบการการขนส่งสินค้าทางอากาศที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้อีกประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท และยังไม่รวมความเสียหายของสายการบินต่างๆ
เบอร์โทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สอบถามข้อมูลการเช็คอินที่ไบเทค โทร 02-749-3974, 02-749-3982 ศูนย์ให้ข้อมูลการบินไทย ไบเทค บางนา 02-545- 3133
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โทร 0-2132-1888 และ0-2132-1882 สายการบิน การบินไทย โทร 0-2356-1111 หรือเว็บไซต์ //www.thaiairways.co.th สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย โทร 0-2515-9999 หรือเว็บไซต์ //www.airasia.com สายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส โทร 1771 หรือ 0-2265-8777 หรือเว็บไซต์ //www.bangkokair.com สายการบิน นกแอร์ โทร 0-2900-9920 สายการบิน พีบีแอร์ โทร 0-2261-0222
. . .
S&P ปรับลดแนวโน้มของระดับเครดิตของประเทศไทย
กระทรวงการคลังโดยนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แถลงข่าวการปรับลดแนวโน้มของระดับเครดิตของประเทศไทย โดยบริษัท Standard & Poors เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2551 เวลาประมาณ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
โดย S&Ps ได้ปรับลดแนวโน้มของระดับเครดิตของประเทศไทยจากระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เป็นระดับที่เป็นลบ (Negative Outlook) โดยยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาว และระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (Long-term/Short-term Foreign Currency Rating) ที่ระดับ BBB+/A-2 และระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินบาท (Long term/Short-term Local Currency Rating) ที่ระดับ A/A-1
แนวโน้มของระดับเครดิต (Rating Outlook) ของไทยซึ่งถูกปรับลดมาอยู่ในระดับที่เป็นลบ (Negative Outlook) สะท้อนให้เห็นว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาจะบ่อนทำลายโอกาสการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางของประเทศไทย นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความรุนแรงที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างอันเนื่องจากการเข้ายึดครองสนามบินที่สำคัญทั้ง 2 แห่งของกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล และส่งผลให้การกลับมาฟื้นตัวของเสถียรภาพทางการเมืองอย่างยั่งยืนในระยะเวลาอันใกล้มีความเป็นไปได้น้อยลง
ทั้งนี้ ระดับเครดิตของประเทศไทยจะลดต่ำลง หากสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเหตุให้ฐานะทางการคลังของรัฐบาลเสื่อมถอยลงหรือคุณภาพสินทรัพย์ของรัฐบาลย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของระดับเครดิตของประเทศไทยมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาอยู่ที่ระดับที่มีเสถียรภาพ(Stable Outlook) หากสามารถแก้ไขปัญหาการแบ่งแยกทางการเมืองได้อย่างสันติ อันจะส่งผลให้ความเสี่ยงของประเทศเบาบางลงและการลงทุนกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
. . .
ฟิทช์ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลธนาคารของไทยเป็นลบ
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลระยะยาวของธนาคารไทยขนาดใหญ่ 9 แห่งเป็นลบ จากแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลของธนาคารไทยในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ฟิทช์ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินในประเทศระยะยาวของประเทศไทยเป็นลบ จากแนวโน้มอันดับมีเสถียรภาพ
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลของประเทศมีผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มอันดับเครดิตสากลของธนาคารที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลและธนาคารที่ถือหุ้นโดยต่างชาติ ที่อันดับเครดิตถูกจำกัดไว้ที่อันดับเครดิตของประเทศ ในขณะเดียวกัน แนวโน้มอันดับเครดิตสากลของธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ ร้อยละ 0.9 ในปี 2552 รวมถึงผลกระทบจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารเหล่านี้
สำหรับธนาคารที่มีการปรับอันดับเครดิตประกอบด้วย 1. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) 2. ธนาคารกรุงเทพ 3. ธนาคารกรุงไทย 4. ธนาคารไทยพาณิชย์ 5. ธนาคารกสิกรไทย 6.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 7.ธนาคารทหารไทย 8. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) และ 9.ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ไทย)
. . .
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ ความเสี่ยงการเมือง ทำให้เสถียรภาพเศรษฐกิจสั่นคลอน
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า จากกรณีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ 2 แห่ง ได้แก่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือ เอสแอนด์พี และ ฟิทช์ เรทติงส์ ได้ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่ เชิงลบ จากเดิม มีเสถียรภาพ โดยให้น้ำหนักไปที่ผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ ซึ่งอาจกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนพื้นฐานทางเครดิตของประเทศได้ในระยะถัดไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยทางการเมืองเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในรอบนี้มีความแตกต่างไปจากวิกฤติต้มยำกุ้งในรอบก่อนหน้า เนื่องจากในรอบวิกฤติต้มยำกุ้ง สาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาในภาคสถาบันการเงินของไทย
ซึ่งความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอาจกลายเป็นประเด็นหลักที่ทำให้พื้นฐานทางเครดิตของประเทศถดถอยลง พร้อมกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นตามแนวโน้มความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ และภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก
เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตาเป็นพิเศษในระยะถัดไป คือ ฐานะของภาคต่างประเทศ ทั้งการส่งออก, ดุลการค้า, ดุลบัญชีเดินสะพัด, ดุลการชำระเงิน, การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ, ความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน, ตลอดจนฐานะทางการคลังของรัฐบาล ซึ่งอาจทำให้ความอ่อนแอของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจเหล่านี้เริ่มปรากฏเด่นชัดมากขึ้นในระยะถัดไป
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่ยืดเยื้อ ท่ามกลางแนวโน้มชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก อาจทำให้ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของไทยต้องรับมือกับโจทย์หนักจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุม และหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างแนวโน้มการชะลอตัวของภาคส่งออก และความผันผวนของตลาดการเงิน
ขณะที่โจทย์หนักจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ อาจส่งผลทำให้การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการไทยขาดประสิทธิผลที่ชัดเจน ความต่อเนื่องของนโยบายการคลังอาจต้องประสบกับภาวะชะงักงัน ทั้งการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ หากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศยังคงไม่นิ่ง
ขณะที่กลไกการส่งผ่านผลของสภาวะที่ผ่อนคลายของนโยบายการเงินอาจไม่สามารถแผ่ขยายไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงเท่าที่ควร เพราะสถาบันการเงินต้องเผชิญกับข้อจำกัดจากความเสี่ยงในการปล่อยกู้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินยังมีต้นทุนจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษ และตราสารทางการเงินเพื่อระดมสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้ยากที่สถาบันการเงินจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอื่น ๆ ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สถานการณ์ดังกล่าวย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยจำต้องตกเข้าสู่ภาวะที่ซบเซายาวนาน ซึ่งนั่นก็ย่อมจะหมายถึงโจทย์ที่หนักมากยิ่งขึ้นของทางการไทยในระยะต่อไป
. . .
ครม. อนุมัติขยายเวลามาตรการภาษีกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯออกไปอีก 1 ปี แต่ยังไม่ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และยังไม่ขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีเบียร์
น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รักษาการรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนมีคำสั่งยุบ 3 พรรคการเมือง เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่จะครบกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2552 ออกไปอีก 1 ปี เป็นวันที่ 28 มีนาคม 2553 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วย การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากร้อยละ 3.3 เหลือร้อยละ 0.1 ลดค่าจดทะเบียนการโอนและจดจำนอง เหลือร้อยละ 0.01
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติ(เอ็นจีวี)สำหรับรถยนต์ โดยขยายเวลาการยกเว้นอากรขาเข้าถังบรรจุก๊าซประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 เพื่อสนับสนุนแผนการใช้ก๊าซเอ็นจีวีอย่างต่อเนื่อง และยังเห็นชอบแผนพลังงาน และการกำกับกิจการด้านพลังงาน 5 ปี (ปี 2551-2555) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
แต่ที่ประชุมไม่ได้มีการหารือเรื่องการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 25 และปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และภาษีเบียร์ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เลิกประชุมก่อนที่จะมีคำตัดสินยุบพรรค จึงทำให้มีเรื่องต่างๆ ติดค้างการประชุมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น การพิจารณาอนุมัติงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ติดค้างอยู่ในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวไทยที่ยังติดค้างอยู่ต่างประเทศ
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าจะพยายามดำเนินการให้การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ วันนี้ (3 ธ.ค.) พิจารณาอนุมัติการปรับโครงสร้างภาษี ทั้งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 25% การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเบียร์และน้ำมัน รวมทั้งการจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวด้วยเครื่องอัตโนมัติ หรือ หวยออนไลน์ หากไม่สามารถพิจารณาได้ทัน ก็จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้งเมื่อมีการนัดประชุม
. . .
Create Date : 02 ธันวาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 21:18:35 น. |
Counter : 695 Pageviews. |
|
|
|