Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

ธปท.เตือนประชาชนระวังธนบัตรปลอมระบาด--รฟท. เพิ่มขบวนรถไฟ 18 ขบวน

. . .


กระทรวงแรงงานเผยปีนี้มีลูกจ้างถูกเลิกจ้างแล้วกว่า 47,000 ราย


กระทรวงแรงงานเผยในช่วงปีนี้มีสถานประกอบการปิดแล้ว 574 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 47,064 คน ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพและปริมณฑล เป็นอุตสาหกรรมด้านสิ่งทอ เครื่องแต่งกายถูกเลิกจ้างมากที่สุด

นายพรชัย อยู่ประยงค์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการเฝ้าระวังสถานการณ์เลิกจ้างช่วงระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 12 ธ.ค. 2551 ว่า มีสถานประกอบกิจการที่มีการเลิกจ้างลูกจ้าง 574 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 47,064 คน สถานประกอบกิจการที่มีแนวโน้มการเลิกจ้าง 252 แห่ง ลูกจ้าง 112,259 คน

พื้นที่ที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 5 จังหวัดแรก คือ ปทุมธานี ถูกเลิกจ้าง 9,479 คน จากสถานประกอบการ 33 แห่ง, สมุทรปราการ ถูกเลิกจ้าง 9,232 คน สถานประกอบการ 79 แห่ง, กรุงเทพฯ 5,189 คน สถานประกอบการ 87 แห่ง, พระนครศรีอยุธยา 4,183 คน สถานประกอบการ 18 แห่ง, และตาก 3,331 คน สถานประกอบการ 25 แห่ง

สำหรับขนาดสถานประกอบกิจการที่เลิกจ้าง และลักษณะการเลิกจ้างนั้น พิจารณาได้ว่าสถานประกอบการขนาด 50-299 คน เลิกจ้างมากที่สุด 165 แห่ง ลูกจ้าง 13,118 คน, รองลงมาเป็นสถานประกอบการขนาด 10-49 คน เลิกจ้าง 161 แห่ง ลูกจ้าง 2,990 คน, สถานประกอบการขนาดเล็ก 1-9 คน เลิกจ้าง 149 แห่ง ลูกจ้าง 418 คน, สถานประกอบการขนาด 300-999 คน เลิกจ้าง 69 แห่ง ลูกจ้าง 13,529 คน, สถานประกอบการขนาด 1,000 คนขึ้นไป 30 แห่ง ลูกจ้าง 17,009 คน

ประเภทกิจการที่เลิกจ้างตามลำดับ ได้แก่ การผลิตสิ่งทอสิ่งถัก เครื่องแต่งกาย ฟอกหนังสัตว์ และรองเท้า เลิกจ้าง 75 แห่ง ลูกจ้าง 12,871 คน, การผลิตเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์ 53 แห่ง ลูกจ้าง 5,705 คน, การบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ และบริการรับทำบัญชี เลิกจ้าง 47 แห่ง ลูกจ้าง 1,836 คน, การขายปลีกของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน เลิกจ้าง 45 แห่ง ลูกจ้าง 256 คน, การผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ โลหะ เลิกจ้าง 42 แห่ง ลูกจ้าง 1,768 คน ที่เหลือเป็นกิจการประเภทอื่นๆ

. . .



“ลอตเต้” ลงทุน 900 ล้านบาท ย้ายฐานการผลิตจากจีนมาเปิดโรงงานใหม่ในไทย


นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนแก่บริษัท ไทยลอตเต้ จำกัด ในการขยายการผลิตบิสกิตสอดไส้ ภายใต้ยี่ห้อ Koala’s March กำลังผลิตปีละประมาณ 1,500 ตัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 915.5 ล้านบาท ตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี

นางอรรชกา กล่าวว่า ลอตเต้ได้ย้ายฐานการผลิตบิสกิตสอดไส้ยี่ห้อ Koala’s March ที่มีการผลิตในประเทศจีน และญี่ปุ่น เข้ามาดำเนินกิจการในไทยทั้งหมด เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งมีข้อได้เปรียบจากทั้งค่าจ้างแรงงานถูก มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานครบครัน รวมทั้งยังมีศักยภาพในการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ในแถบอินโดจีน ซึ่งเป็น
ตลาดส่งออกที่สำคัญ และมีอัตราการเติบโตสูง

โดยจะเป็นการตั้งโรงงานใหม่ และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่นทำให้บิสกิตพองได้ง่ายกว่าวิธีเก่า และช่วยประหยัดเวลาในการอบ โดยคาดว่าจะใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น น้ำตาล และไข่ มูลค่ารวม 86.3 ล้านบาทต่อปี

“บริษัทมองว่าแม้การผลิตจากประเทศญี่ปุ่นจะมีคุณภาพดี เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย แต่มีค่าจ้างแรงงานอัตราสูง ขณะที่การผลิตจากประเทศจีนประสบปัญหาสินค้ามีการปนเปื้อนเมลามีน บริษัทจึงได้ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ประกอบกับปัจจุบันการส่งออกขนมขบเคี้ยวจากข้าวประเภทกึ่งอาหารของไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสนใจลงทุนเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น” นางอรรชกา กล่าว

สำหรับ บริษัท ไทยลอตเต้ จำกัด เป็นบริษัทในเครือบริษัท ลอตเต้ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจผลิตขนมหวาน อาหาร เครื่องดื่ม ไอศกรีม การค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และอื่นๆ โดยได้เข้ามาลงทุนในไทยตั้งแต่ปี 2531 ผลิตหมากฝรั่ง และลูกอม เพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนตลาดบิสกิตในประเทศไทยมีมูลค่ายอดขายปีละประมาณ 10,000-12,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 15 โดยในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดบิสกิตมีการเติบโตดีกว่าขนมขบเคี้ยวประเภทอื่นๆ

. . .



ส.อ.ท.เสนอ 3 ประเด็นเร่งด่วนให้ อภิสิทธิ์ พิจารณาวันที่ 18 ธ.ค.นี้


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าประเด็นเร่งด่วนที่ส.อ.ท.จะเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ ว่า มี 3 ประเด็นหลัก

ประเด็นแรก คือ ต้องการให้รัฐบาลช่วยเสริมสภาพคล่อง โดยจัดสรรงบประมาณประมาณ 100,000 ล้านบาท จัดให้มีกองทุนเอสเอ็มอี เพื่อช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 50,000 ล้านบาท, ขอให้รัฐบาลคงวงเงินซอฟท์โลนตามมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยขอให้กระทรวงการคลังดูแลวงเงินดังกล่าวนี้, ผลักดันให้มีการลดดอกเบี้ยในตลาดอาร์พี อีกร้อยละ 1, รักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ และเอื้อประโยชน์ต่อการส่งออก, เร่งรัดการคืนภาษีอากรให้กับภาคธุรกิจ, และขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 25, ขอขยายระยะเวลาในการนำผลการขาดทุนสะสมมาหักภาษีเงินได้จาก 5 ปี เป็น 8 ปี ขอยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษี ซึ่งกรมสรรพากรตีความว่า เป็นรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี ขอให้รัฐบาลลดภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย ทุกประเภทให้เหลือร้อยละ 1 อัตราเดียว รวมทั้งควรมีกระบวนการติดตามปัญหาภาษี

ประเด็นที่ 2 ขอให้ภาครัฐจัดการน้ำเพื่อภาคอุตสาหกรรม, ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อภาคอุตสาหกรรมและการลงทุน, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์, ขอให้ภาครัฐเดินหน้าพัฒนาพื้นที่เซาเทิร์นซีบอร์ด, รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ, ส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยเพื่ออุตสาหกรรมส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี, การใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอ,

นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐจัดระบบแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ประกอบด้วย ลาว พม่า และกัมพูชา โดยขอให้ภาครัฐจัดตั้งศูนย์วันสต็อปเซอร์วิสด้านแรงงาน, และพิจารณาให้มีการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมชายแดน, ดูแลด้านประกันสังคม, กระตุ้นการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ, ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันการค้าระหว่างประเทศ โดยภาครัฐควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ และงบลงทุนขนาดใหญ่ และด้านการเจรจาระหว่างประเทศต่างๆ ก็ควรผลักดันให้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยผ่านสภาผู้แทนราษฎรในกรอบเจรจาต่างๆ เช่น กรอบอาเซียน

ประเด็นสุดท้าย คือ การส่งเสริมความร่วมมือภาครัฐและเอกชน โดยขอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) โดยให้มีการจัดตั้งระดับจังหวัดด้วย, จัดตั้งคณะกรรมการร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา และเพื่อพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ, จัดตั้งคณะกรรมการโลจิสติกส์แห่งชาติ, จัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ และ จัดตั้งคณะกรรมการอีสเทิร์นซีบอร์ด

สำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมหารือกับ ส.อ.ท.ในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ ประกอบด้วย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี, นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติคุณ, นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ, นายไพฑูรย์ แก้วทอง, นายอลงกรณ์ พลบุตร, นายกรณ์ จาติกวณิช, นายจุติ ไกรฤกษ์, นายเกียรติ สิทธิอมร, นายสรรเสริญ สมะลาภา, นายอนุชา บุรพชัยศรี, และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

. . .



ผู้ค้าก๊าซหุงต้มยอมลดค่าขนส่งเหลือ 10 บาทต่อถัง ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.เป็นต้นไป


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เชิญสมาคมผู้ค้าก๊าซประชุมเพื่อทบทวนค่าขนส่งถังก๊าซให้กับครัวเรือนจากปัจจุบันคิดอัตรา 10-15 บาทต่อถัง เนื่องจากเมื่อราคาน้ำมันปรับลดลง จึงต้องการให้ลดค่าขนส่งถังก๊าซลงเหลือ 5 บาท เพื่อลดภาระให้กับผู้บริโภค รวมถึงให้ผู้ประกอบการ ผู้ค้าก๊าซหุงต้มช่วยกันดูแลไม่ให้มีการลักลอบนำก๊าซไปจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง หลังจากกระทรวงพลังงานเตรียมปรับขึ้นราคาแอลพีจี กิโลกรัมละ 2 บาท เป็นเวลา 3 เดือน

นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังประชุมหารือร่วมกับสมาคมผู้ขนส่งก๊าซหุงต้มว่า ทางสมาคมฯ ยินดีที่จะปรับลดราคาค่าขนส่งก๊าซหุงต้มให้กับผู้บริโภค กรณีผู้บริโภคให้ส่งถังก๊าซตามบ้านเรือนต่างๆ หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ราคาน้ำมันมีราคาสูง ทางร้านค้าก๊าซได้ขออนุญาตปรับราคาค่าขนส่งถังก๊าซครัวเรือนขนาด 15 กิโลกรัม ระยะทางไม่เกิน 5 กิโลเมตร เป็น 15 บาทต่อถัง จากราคาเดิมคิดค่าส่ง 10 บาทต่อถัง

แต่เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงมาเช่นนี้ ก็น่าจะปรับลดค่าส่งถังก๊าซลงมาได้เหลือถังละไม่เกิน 10 บาท ซึ่งทางสมาคมฯ ยอมที่จะปรับลดค่าขนส่งลงมา แต่ขอเวลาคุยกับทางโรงบรรจุก๊าซก่อน โดยคาดว่าน่าจะเริ่มปรับลดค่าขนส่งได้ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.52 เป็นต้นไป

ส่วนราคาสินค้าควบคุมต่างๆ ได้ทยอยปรับลดราคาลงแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ลดลง เช่น แบตเตอรี่ จีเอฟ จาก 2,880 เหลือ 2,680 บาท, แบตเตอรี่พานาโซนิค จาก 2,700 เหลือ 2,600 บาท, เหล็กเส้น ขนาด 6 มิลลิเมตร จากเส้นละ 100 บาทเหลือ 60 บาท, ปุ๋ยเคมีสูตร 16-0-0 ลดลงร้อยละ 40 จากปัจจุบัน 780 บาท เช่น ปุ๋ยตรากระต่าย จาก 1,300 บาทเหลือ 780 บาท, ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ลดจาก 1,325 บาทเหลือ 1,200 บาท, ถุงพลาสติกจาก 80 บาทเหลือ 60 บาทต่อกิโลกรัม, สำหรับอาหารสำเร็จรูป ทางห้างบิ๊กซีทยอยปรับลดราคาอาหารสำเร็จรูป ลดลง 5 บาท เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวราดแกงต่างๆ

สำหรับการจำหน่ายกระเช้าปีใหม่นั้น นายยรรยง กล่าวว่า ได้กำชับร้านค้าแยกประเภทราคาสินค้า ระบุให้ชัดเจนทั้งอุปกรณ์การตกแต่งสินค้าในกระเช้าว่ามีราคาเท่าใด เพื่อไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค และอายุของสินค้านับจากปัจจุบันต้องเกิน 3 เดือน นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลปีใหม่กระทรวงสาธารณสุขได้ขอความร่วมมือให้แจ้งร้านค้าที่นำสุราบรรจุไว้ในกระเช้าปีใหม่ เพื่อต้องการรณรงค์งดดื่มสุราในช่วงเทศกาลปีใหม่

. . .



รฟท. เพิ่มขบวนรถไฟ 18 ขบวนรองรับการเดินทางช่วงปีใหม่


การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพิ่มขบวนรถไฟ 18 ขบวน รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ หลังพบว่าในช่วงที่ผ่านมา ผลจาก 6 มาตรการ 6 เดือนของภาครัฐ และผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ทำให้ รฟท. มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30

นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ รฟท.ได้จัดเตรียมขบวนรถโดยสารเพิ่มเติมไว้รองรับการเดินทางของประชาชน จำนวน 18 ขบวน จากขบวนปกติที่มีให้บริการอยู่ 264 ขบวน

โดยจะเป็นการเพิ่มขบวนรถในเที่ยวไปส่ง ระหว่างวันที่ 29-30 ธันวาคม จำนวน 10 ขบวน (ไป-กลับ) เส้นทางกรุงเทพฯ-ศิลาอาสน์ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ-อุดรธานี ส่วนเที่ยวรับกลับ ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2552 จะเพิ่มอีก 8 ขบวน (ไป-กลับ) เส้นทางศิลาอาสน์-กรุงเทพฯ อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ อุดรธานี-กรุงเทพฯ และศรีสะเกษ-กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เพิ่มตู้โดยสารในทุกขบวน จากปกติ 12-14 ตู้ เพิ่มเป็น 16 ตู้ เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารที่มีความต้องการเดินทางได้อย่างเพียงพอ ซึ่งการเพิ่มขบวนและเพิ่มตู้โดยสารนี้ เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการรองรับผู้โดยสารได้อีกกว่าร้อยละ 10 จากเดิมที่มีผู้ใช้บริการในวันปกติวันละประมาณ 110,000 คน

แม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะอยู่ในภาวะซบเซา แต่ผลจากการใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อไทยทุกคนของรัฐบาลซึ่งจะครอบคลุมไปถึงช่วงปีใหม่ ประกอบกับความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในการเดินทางทางอากาศยังไม่กลับคืนมาทั้งร้อยละ 100 จากปัญหาการปิดสนามบินทั้ง 2 แห่งในกรุงเทพฯ ก็ได้ส่งผลให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟในการเดินทางมากขึ้น และทำให้จำนวนผู้โดยสารของ รฟท.เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติประมาณร้อยละ 30 และขณะนี้ยอดจองตั๋วโดยสารทุกชั้นถูกจองเต็มหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ขบวนรถไฟชั้น 3

ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งตรวจสอบระบบการเดินรถ ระบบอาณัติสัญญาณ และกฎระเบียบในการเดินรถอย่างเข้มงวด รวมถึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้เข้มงวดในการห้ามไม่ให้ผู้โดยสารยืน หรือขึ้นไปบนหลังคารถ อีกทั้งให้เฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ จากกล้องวงจรปิดภายในสถานีตลอดเวลา เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น และได้กำหนดจุดเข้า-ออก สถานีรถไฟให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อเหตุ และทำให้สามารถตรวจสอบผู้เข้า-ออกสถานีได้โดยง่าย นอกจากนี้ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานความปลอดภัยขึ้นใน 5 เขต คือ กรุงเทพฯ นครราชสีมา อุตรดิตถ์ ชุมพร และหาดใหญ่ เพื่อป้องกันระวังอันตรายในระหว่างการเดินทางของผู้โดยสาร

. . .



ธปท.เตือนประชาชนระวังธนบัตรปลอมระบาด เผย 11 เดือนแรกตรวจพบกว่า 18,000 ฉบับ


นายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเงินจำนวนมาก ธปท.จึงขอเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับหรือจ่ายธนบัตร ที่อาจมีผู้ทุจริตนำธนบัตรปลอมสอดแทรกปะปนกับธนบัตรจริงในการซื้อสินค้าหรือบริการ หลังจากพบว่าในช่วง 11 เดือนปีนี้ มีการตรวจพบธนบัตรปลอมรวม 18,895 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 12.3 ล้านบาท หรือประมาณ 5-7 ฉบับต่อปริมาณธนบัตรหมุนเวียน 1 ล้านฉบับ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีจำนวน 10,819 ฉบับ มูลค่า 6.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 80 โดยธนบัตรปลอมที่ตรวจพบมากที่สุด คือ ชนิดราคา 1,000 บาท จำนวน 11,158 ฉบับ หรือคิดเป็นร้อยละ 61 ของจำนวนธนบัตรปลอมที่ตรวจพบ

นายนพพร กล่าวว่า ในปีหน้าคาดว่าธนบัตรปลอมจะระบาดมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนให้ระวังการจับจ่ายและรับธนบัตร โดยสามารถตรวจสอบได้ ด้วยการสัมผัส การยกส่อง และการพลิกเอียง

สำหรับผู้ปลอมธนบัตรมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต ปรับสูงสุด 40,000 บาท ส่วนผู้ที่นำธนบัตรปลอมมาใช้ โทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ปรับสูงสุด 30,000 บาท

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ธปท.ได้มีการเตรียมสำรองธนบัตรเป็นมูลค่ารวม 180,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 5.3 โดย ธปท.ได้กำชับธนาคารพาณิชย์ให้ศูนย์ธนบัตรธนาคารพาณิชย์กระจายเงินสดใส่ตู้เอทีเอ็มเตรียมพร้อมรองรับความต้องการเบิกจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงปกติ โดยมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาเงินสดขาดแคลน แม้ปีนี้จะมีวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ถึง 5 วัน

. . .



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 1.00


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 15-16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงินอีกครั้ง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงมากเกินคาดถึงร้อยละ 0.75-1.00 ลงสู่กรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ที่ร้อยละ 0.00-0.25 จากระดับร้อยละ 1.00

โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐแตะระดับร้อยละ 0.00 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการใช้อัตราดอกเบี้ย Fed Funds เป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด และนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds เป็นครั้งที่ 10 ในวัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในรอบประมาณ 15 เดือนที่ผ่านมา

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าแม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ร้อยละ 1.00 ลงสู่ร้อยละ 2.75 ในการประชุมวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ กนง.ยังคงมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพื่อสร้างสภาวะที่ผ่อนคลายทางการเงินในยามที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับหลากหลายปัจจัยเสี่ยงในระยะข้างหน้า ทั้งจากประเด็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งได้ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคธุรกิจชะลอตัวลง ขณะที่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกเปราะบาง และความเป็นไปได้ของการขยับแข็งค่าขึ้นของเงินบาท เพื่อตอบรับกับความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ ก็อาจกลายมาเป็นโจทก์หนักของภาคการส่งออกของไทย และอาจมีน้ำหนักทางอ้อมต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ในระยะถัดไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กนง.มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 1.00 โดยช่วงเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะขยับลงมาใกล้ร้อยละ 0.00 และอาจมีค่าติดลบในบางเดือนของไตรมาส 2/2552 ขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอลงอย่างมากตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4/2551 ซึ่งในเบื้องต้นประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2551 อาจมีอัตราการเติบโตที่ติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2551 ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่าร้อยละ 1.00 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 โดยเสถียรภาพทางการเมืองก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญ นอกเหนือไปจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งรอที่จะทดสอบเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป

. . .



กระทรวงพาณิชย์เชิญผู้ผลิตอาหารสัตว์ร่วมหารือรับซื้อข้าวโพดช่วยเกษตรกร


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ กรมการค้าภายในได้เชิญกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่มาประชุมหารือ เพื่อหาทางบรรเทาผลกระทบให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดที่ไม่สามารถนำข้าวโพดมาเข้าร่วมโครงการจำนำกับภาครัฐได้ เนื่องจากปริมาณรับจำนำข้าวโพดเต็มตามจำนวนที่ภาครัฐเปิดรับจำนำไปมากแล้ว
โดยจะขอความร่วมมือกับทางผู้ประกอบการอาหารสัตว์ให้ช่วยรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรแต่ละพื้นที่เป็นการเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าจะเข้าไปรับซื้อในราคาใด

นายยรรยง กล่าวถึงกรณีเกษตรกรหลายจังหวัดออกมาชุมนุมประท้วง กรณีรัฐบาลหยุดรับจำนำข้าวโพดก่อนจะถึงสิ้นเดือน ธ.ค.ว่า ได้พยายามชี้แจงให้ทราบว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่ผ่านมาได้ให้รับจำนำข้าวโพด 500,000 ตัน ในราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพ.ย.-ธ.ค.
แต่เนื่องจากมีเกษตรกรนำข้าวโพดมาจำนำจำนวนมาก จึงเต็มเพดานโควตาที่ ครม.อนุมัติไว้ เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เห็นว่าการเปิดรับจำนำ 500,000 ตัน จากจำนวนข้าวโพดในมือเกษตรกร 1 ล้านตัน ปริมาณดังกล่าวน่าจะช่วยดึงราคาข้าวโพดปรับขึ้นได้ เพราะปกติการรับจำนำข้าวโพดจะเปิดรับจำนำประมาณร้อยละ 15-20 ของข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวก็สามารถดึงราคาขึ้นมาได้

แต่ขณะนี้มีสิ่งผิดปกติว่าทำไมราคาข้าวโพดไม่ขยับขึ้น จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการลักลอบเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีการสวมสิทธิ์ของเกษตรกร จึงสั่งเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ 3 จังหวัดที่มีสิ่งผิดปกติ เพราะการรับจำนำตามปกติจะไม่เกิน 100,000 ตันต่อจังหวัด แต่มีบางจังหวัดนำมาจำนำจำนวนมากกว่า 100,000 ตัน

ขณะนี้ราคาตลาดของข้าวโพดในเขตกรุงเทพมหานครมีราคาเฉลี่ย 6.44 บาทต่อกิโลกรัม และราคารับซื้อในต่างจังหวัดอยู่ที่ประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น ขณะที่รัฐบาลรับจำนำราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยมองว่าราคาตลาดโลกจะเริ่มปรับสูงขึ้น เนื่องจากเกษตรกรในสหรัฐฯเริ่มเปลี่ยนจากการปลูกข้าวโพดไปเป็นถั่วเหลือง ทำให้ราคาในตลาดชิคาโกเพิ่มจาก 4.83 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนตุลาคม เป็น 5.18 บาทต่อกิโลกรัมในวันที่ 16 ธันวาคม

. . .




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2551
2 comments
Last Update : 17 ธันวาคม 2551 20:14:04 น.
Counter : 812 Pageviews.

 

Xango แซงโก

 

โดย: Xango แซงโก (mlmboy ) 18 ธันวาคม 2551 4:26:52 น.  

 

 

โดย: ดราก้อนวี 18 ธันวาคม 2551 9:49:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.