สิงหาคม 2559

 
28
29
30
31
 
 
All Blog
เลี้ยงลูกแบบไหนที่เรียกว่า “พ่อแม่รังแกฉัน”


เรื่องเล่าจากเรื่องจริงเลี้ยงลูกแบบไหนที่เรียกว่า “พ่อแม่รังแกฉัน”

วันนี้มีเรื่องมาเล่าจากประสบการณ์ตรงขอออกตัวก่อนว่าดิฉันไม่ได้เก่งประสบการณ์เยอะหรือเป็นนักวิชาการอะไรนะคะแค่เห็นและอยากมาเล่าให้ฟังค่ะเป็นเรื่องราวการเลี้ยงลูกของ 2 ครอบครัวที่ดิฉันรู้จักเป็นอย่างดีเลยได้เห็นและนำมาเล่าเพื่อให้เข้าใจคำว่า“พ่อแม่รังแกฉัน” เป็นยังไง มีโอกาสได้แวะไปเยี่ยมเยือนบ่อยๆเลยได้เห็นวิธีการเลี้ยงลูกในแบบฉบับของแต่ละบ้านซึ่งนั่นก็ส่งผลกับพัฒนาการของเด็กที่แตกต่างกันด้วยเช่นกันลองมองไปพร้อมกันนะคะ

ครอบครัวA เป็นครอบครัวขยายมีลูกผู้ชาย1 คน การเลี้ยงดูคือแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรอย่าได้มาแตะประมาณนั้นเลยเอาใจกันใหญ่เนื่องจากเป็นหลานคนแรกของบ้าน พอเด็กเริ่มโตมาหน่อยเราก็หมั่นไปแวะเวียนภาพที่เห็นก็คืออยู่แต่ในเปลนอนอย่างเดียว ไม่ค่อยได้เห็นการเคลื่อนไหวของเด็กน้อยซักเท่าไร พอเริ่มโตมาอีกนิดถึงวัยน่าจะอยากคืบอยากคลานอยากนั่งแต่สิ่งที่เห็นคือคุณแม่หรือไม่ก็ยายอุ้มตลอด ไม่ปล่อยให้เด็กหัดคลานหัดนั่งหัดเดินหรือเคลื่อนไหวเองซักเท่าไรแต่ในใจดิฉันรู้แล้วล่ะคะว่าเลี้ยงลูกแบบคุณหนูแน่นอนประมาณว่ากลัวลูกเจ็บ เลอะสกปรก ติดเชื้อโรค ทั้งที่บ้านมีพื้นที่เยอะ ต้นไม้ก็เยอะ แต่เห็นอยู่แต่ในบ้าน เชื่อไหมว่าในระยะที่ไปมาหาสู่ตลอดนั้นไม่เคยเห็นนอนเดินเลยค่ะนอกจากนั่งอยู่กับที่แล้วมีคุณแม่ประคองไว้ หรือมากสุดจับนั่งรถเด็กเล่นแล้วประคองกันไปสังเกตร่างกายน้องค่อนข้างอ่อนปวกเปียก ดูไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ค่อยเล่นกลัวคนด้วยซ้ำ บางคนอาจเดาว่าน้องมีโรคประจำตัวหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าไม่มีค่ะปกติดีตั้งแต่เกิด.. มาดูอีกครอบครัวหนึ่งกันค่ะ

ครอบครัว B เป็นครอบครัวขยายเหมือนกันได้ลูกผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับครอบครัว A วิธีการเลี้ยงลูกจะดูสบายๆมากถึงมากที่สุด ตอนแรกเกิดก็เลี้ยงตามปกติทั่วไปดูแลเป็นพิเศษนิดนึงพอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย คุณแม่ก็ปล่อยลูกเต็มที่ จะจับ จะดึง จะตี จะโยนเล่นอะไรก็แล้วแต่ตามสบาย หรือแม้แต่จะคืบ จะคลาน จะหัดปีน จะหัดเดินเต็มที่แถมคอยพยุงให้ตลอดเท่าที่เด็กจะทำได้ล้มก็เจ็บ ร้องก็ปลอบ มีแผลก็หายาทา หายก็เล่นต่อ จะเล่นหิน ดินทรายก็ไม่ห้ามถ้าเลอะมากๆก็จับอาบน้ำแล้วก็มาเล่นต่อแล้วก็มาเลอะใหม่อีกรอบก็ไม่เห็นบ่น อยากเล่นก็เล่นไป ถึงเวลานอนกลางวันคือตอนที่เด็กเหนื่อยและเริ่มงอแงก็จับอาบน้ำซักหน่อยแล้วชงนมให้กินจนพอเริ่มเดินได้คุณแม่ปล่อยให้เดินเองไม่อุ้มเลย จะไปไหนพาจูงเดินเลย ที่เราสังเกตได้คือเค้าแทบจะไม่ห้ามหรือบังคับให้ทำเลยนอกจากถ้ามันอันตรายจริงๆก็จะห้ามปรามและดุบ้าง และดิฉันก็ได้มีโอกาสแวะเวียนไปหาตลอดแต่ทุกครั้งที่ไปจะได้เห็นพัฒนาการของน้องคนนี้ตลอดเช่นเดียวกัน จนตอนนี้นะหรอวิ่งตามแทบไม่ทันแล้วเพราะไวมากเหมือนลิงเลย..เรียกว่าคนเลี้ยงได้หอบแน่นอนเพราะเค้าไม่หยุดเดินเลยนอกจากตอนหลับ..ยิ้มเก่งอารมณ์ดีมาก ไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย เป็นเด็กที่มีพลังงานสูงมากเลยทีเดียว

พอได้อ่านเรื่องราวคร่าวๆแล้วเพื่อนๆคงจะรู้แล้วนะคะว่าสิ่งที่ทำให้พัฒนาการของเด็กทั้งสองคนต่างกันอย่างสิ้นเชิงเป็นเพราะอะไรใช่แล้วค่ะเพราะวิธีการเลี้ยงดูนั่นเอง ถ้าปล่อยให้เด็กได้ทำอะไรได้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ตั้งแต่ยังเล็กเค้าจะดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้อย่างเต็มที่เช่นกัน กล้าคิดกล้าทำดูแลตัวเองได้ เอาตัวรอดได้ คือไม่มีปมในวัยเด็กมาฉุดดึงความก้าวหน้าของเค้านั่นล่ะค่ะต่างกับการเลี้ยงดูอีกแบบยิ่งประคบประหงมมากๆดั่งไข่ในหินตั้งแต่เล็กนอกจากพัฒนาการทางด้านร่างกายที่ช้าแล้วก็ย่อมส่งผลไปถึงการเรียนรู้ของเด็กที่ช้ากว่าเด็กรุ่นเดียวกันอีกด้วยแล้วถ้าเราคิดต่อไปถึงผลเสียในระดับรุนแรงในอนาคต ถ้าผู้ปกครองไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูณ ตอนนี้ ก็คือเค้าจะโตขึ้นมาด้วยความไม่มั่นใจในตนเอง กลัว ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ พูดง่ายๆจะเอาตัวเองไม่รอดเนื่องจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่พ่อแม่หรือคนในครอบครัวคอยห้ามอย่าทำนี่นะอย่าทำโน่นนะคือพ่อแม่คงกลัวลูกเจ็บ สกปรกหรือไม่อยากให้ลูกเจออะไรไม่ดีเลยซักอย่างพ่อแม่เลยออกคำสั่งกับลูกด้วยคำว่า ห้าม บ่อยๆจนฝั่งไปในจิตใต้สำนึกของเด็ก พอโตขึ้นกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจที่จะทำอะไรเพราะคำว่าห้ามอยู่ในหัวเค้าตลอดรวมถึงไม่เคยได้ลองผิดลองถูกได้ด้วยตัวเอง การใช้ชีวิตก็จะไม่กล้าทำอะไรซักเท่าไรเพราะไม่รู้ว่าทำไปจะถูกหรือเปล่าพอจะทำปุ๊บจะรู้สึกเหมือนมีคนคอยจ้องจับผิดตลอดเวลา กลัวว่าถ้าผิดแล้วจะต้องโดนอะไรซักอย่างเลยไม่ทำมันซะเลยรวมไปถึงครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบคุณหนูคือลูกไม่ต้อง พ่อแม่ทำให้เองแบบนี้ต่อไปเด็กโตเป็นผู้ใหญ่จะเป็นคนทำอะไรไม่เป็น ไม่มีความอดทน ไม่มีความพยายามจนสุดท้ายจะเอาตัวเองไม่รอดเช่นกัน ต้องคอยพึ่งพาคนอื่นตลอด..

**เห็นตัวอย่างแบบนี้แล้วลองกลับมาดูตัวคุณเองว่าเราเลี้ยงลูกแบบไหนเลี้ยงลูกแบบเอาลูกเป็นที่ตั้งหรือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ปรับเปลี่ยนตอนนี้ได้เลยเพื่อเราจะได้ไม่ต้องห่วงเค้าไปตลอดทั้งชีวิตไงล่ะคะ**



คอนโดแมว , พัดลมมือถือ , หมอนผ้าห่ม , หมอนหัวทุย  , เก้าอี้หัดนั่ง




Create Date : 24 สิงหาคม 2559
Last Update : 24 สิงหาคม 2559 20:32:19 น.
Counter : 1049 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3067369
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments