บันทึกถึงคุณตา
25 พฤศจิกายน 2564
พี่สาวที่พัทลุงโทร.มาว่าคุณพ่อของเธอ หรือคุณตาของหลานๆ หรือหมอพันที่ชาวบ้านเรียกกัน ท่านไม่กินข้าวกินน้ำจะ 5 วันเข้าแล้ว
ผมรีบเก็บกระเป๋าเตรียมไปนอนบ้านตาที่พัทลุง อ้อ...ไปกับแม่บ้าน(ลูกสาวคุณตาพัน)
ศุกร์ 26 พ.ย. 2564 เราเดินทางโดยรถไฟ ตู้นอน รถไฟออกจากหัวลำโพง 14.30 น. ถึงพัทลุง 06.30 น.เช้าอีกวัน ผมนึกถึงการเดินทางเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ด้วยเวลาเดิมๆ การรถไฟช่างอนุรักษ์เวลาเดินรถได้ดีเหลือเกิน แต่ไม่อนุรักษ์วัยของผมสักนิดเดียว
คุณตาพันเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันปี พ.ศ.2477 พออายุได้ 13 ปี เด็กชายพันได้หายตัวไปในบริเวณชายทุ่ง บ้างก็ว่าเป็นป่าช้าเก่า ราวกับหายตัวไปอยู่ในที่เร็นลับ
ถ้าเป็นสมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป
ญาติๆตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ ไม่พบร่องรอย หลายวันผ่านไป ท่านก็กลับมาด้วยร่างกายที่ผอมโซ คุณตาเล่าว่า ท่านมีความรู้แค่ ป.4 โชคดีได้ไปเรียนการรักษาโรคต่างๆจากก้อนหินที่มีอักษรจาลึกไว้ เรียนทั้งวันทั้งคืน ท่านจำตำรายาเหล่านั้นได้ทั้งหมด และมีความเชี่ยวชาญภาษาขอมพ่วงมาด้วย
ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าท่านหายไปนานเท่าใด บ้างก็ว่าเดือนเศษ บ้างก็ว่านานจนคิดว่าท่านจะไม่กลับมา
ด้วยวัยเพียง 13 ปี ท่านเริ่มรักษาคนป่วยทั่วไป คนไข้แต่ละคนก็มีวิธีรักษาต่างกันไป อาการป่วยที่ต้องกินยาก็เขียนส่วนประกอบของยาให้ไปซื้อจากร้านขายยาเอง ท่านเคยรักษาคนบ้าที่วิ่งแก้ผ้ารอบตลาดให้หายเป็นปกติ
การเป็นหมอจากวิทยาลัยต่างมิตินั้น ผมคิดว่าเป็นการมอบหมายจากบรรพบุรุษที่เป็นเทพในตระกูลของท่าน ท่านใช้นามสกุล ณ พัทลุง
ที่จริงพ่อของหมอพันชื่อภู่ ก็เป็นหมอแผนโบราณโดยใช้ยาสมุนไพรเช่นกัน แต่หมอพันซึ่งเป็นลูกชายมิได้สือบทอดจากพ่อ หมอพันไม่ได้อยู่กับพ่อตั้งแต่เล็กๆ
หมอพันได้รับการสืบทอดวิชาแพทย์แผนไทยที่เหลือเชื่อ นั่นคือเทพที่มาเข้าทรงตอนอายุ 9 ขวบ เป็นผู้มอบหมายความรู้ให้ มิใช่มนุษย์เดินดินทั่วไป
ท่านน่าจะเริ่มเป็นหมอทางนี้ในปี พ.ศ. 2491 ต่อเนื่องไปอีก 30 กว่าปี เป็นการรักษาฟรี หรือใครจะให้ค่าครูก็ไม่เกิน 12 บาท สมัยนั้นถือว่าเป็นหมอยาแผนโบราณที่มีชื่อมาก ลูกๆท่านยังชีพด้วยเงินค่าหมออันน้อยนิดนี้
ลูกสาวหมอพันคนหนึ่งเล่าว่า เธอมีหน้าที่จดสูตรยาไทยแผนโบราณให้คนป่วย ผมถามว่าได้เก็บสูตรเหล่านั้นไว้บ้างไหม เธอบอกว่าไม่เคยจดไว้ แต่ละโรค ส่วนผสมของยาจะไม่เหมือนกัน แค่เขียนชื่อสมุนไพรให้ถูกก็ยากแล้ว
หากเป็นโรคที่โดนกระทำทางไสยศาสตร์ ท่านก็จะรักษาอีกแบบ อาจเข้าทรงโดยเทพที่ท่านนับถือ เมื่อหมอพันเริ่มแก่ตัว การเข้าทรงต้องใช้พลังงานมาก ถึงกับเส้นเอ็นปูดโปน ร่างกายรับไมไหว จึงค่อยๆเลิกไป
หมอพันไม่ติดต่อกับใคร ไม่ออกไปไหนมานับสิบปีแล้ว ช่วงหลังสุขภาพเริ่มถดถอย เคยไปหาหมอแผนปัจจุบันตรวจร่างกายก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
วันที่ผมไปถึงพัทลุง หมอพัน ในวัย 87 ปี คงนอนนิ่งที่เตียงประจำที่บ้านของท่าน ไม่คุย ไม่กินอะไรเลย เข้าวันที่ 5 แล้ว การมาครั้งนี้ของผมจึงไม่ได้กำหนดวันกลับ
ผมนอนในห้องที่มีหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์ของคุณตาพัน ซึ่งไม่เหมือนอย่างในหนังไทย ไม่มีอะไรเลยนอกจากกระถางธูป 2 ใบ และผ้าขาวขนาดผ้าเช็ดหน้าขึงข้างบน 2 ผืนเท่านั้น ผมมาในฐานะลูกหลานจึงไม่คิดอะไร แต่เปิดไฟนอนทุกคืน มิฉะนั้นจะมืดตึ๊ดตื่อ
.....................
ก่อนศาสนาพราหมณ์, พุทธ จะเข้ามา ชนพื้นเมืองในภูมิภาคนี้นับถือผีมาก่อน เมื่อศาสนาพุทธตั้งมั่นแล้ว ชาวบ้านก็ประยุกต์การนับถือผีให้เข้ากับพิธีทางศาสนา
ลิสต์รายชื่อที่หมอพันติดต่อได้และคอยช่วยเหลือลูกหลาน ได้แก่ ตารองหนุ่ม ตารองแก่ ตาขุนดำ ทวดขาว ตาผีดี ตาหลวง
เราไม่รู้ว่าท่านเหล่านี้เกิดในยุคไหน รู้แต่ว่าพวกเขามาแนะนำตัวด้วยการเข้าทรงหมอพันตอนอายุ 9 ขวบ พออายุ 13 ก็ส่งไปเรียนแพทย์แผนโบราณจากก้อนหินในดินแดนลึกลับ
การมีอาคมและเป็นหมอยาแผนโบราณ จึงเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านในยุคที่สาธารณสุขยังไม่เจริญ ลูกหลานที่จะรับไม้ต่อก็ยังไม่รู้ว่าใคร
ลูกสาวคนโตที่ดูแลท่านมาตลอด อาสารับมอบทำหน้าที่แทน โดยมีคนมาทำพิธีส่งมอบนี้ หน้าที่นั้นคือบวงสรวงสิ่งที่รับไว้ปีละครั้ง ไม่ได้เป็นหมออย่างพ่อหรือมีอาคมเสกเป่าคาถาใดๆ
เท่านั้นยังไม่พอ หมอพันต้องละสิ่งของที่เคยใช้รักษาคน โดยลูกสาวเอาสมุดบันทึกส่วนตัวเกี่ยวกับคาถาต่างๆและมีดหมอไปทำพิธีปลดเปลื้องพันธนาการกับพระรูปหนึ่งที่มีอาคม พร้อมทั้งถ่ายภาพหมอพันไปด้วย พระรูปนั้น ไม่เคยรู้ประวัติของหมอพัน วันนั้นคนไปกันมาก รอคิวอยยู่นาน พอเห็นภาพหมอพันก็ทักกับลูกสาวหมอพันว่าเป็นหมอรักษาคน ช่วยเหลือคนมาก หมอดี
1 ธ.ค.64 นิมนต์พระ 5 รูปสวด "บังสุกุลเป็น" ให้หมอพัน มีเพียงลูกตาท่านเท่านั้นบอกถึงการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพระ 5 รูปทำพิธีเสร็จแล้ว หมอพันมีท่าทีรับรู้ ร่างกายที่แข็งเกร็งเริ่มผ่อนคลาย เนื้อตัวนิ่มลง ท่านนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ใดใด มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้คือลมหายใจเข้าออกทางปาก เครื่องยนต์ตัวสุดท้าย
4 ธ.ค. 64 ญาติๆนิมนต์พระอีกรูปหนึ่งที่ชาวบ้านรู้จักดี มาทำพิธีที่เตียง พระท่านบอกว่าอีก ไม่เกิน 3 -5 วัน คุณตาพันจะจากไปอย่างสงบ พระท่านเล่าว่าชีวิตคนเราก็เหมือนน้ำไหล ถ้ามีอะไรขวางที่ทางออกของก็อกน้ำ น้ำนั้นก็จะติดขัด จะไปก็ไปไม่ได้ ท่านมีหน้าที่เขี่ยเศษผงนั้นให้ผู้จะจากไป ได้ไปอย่างสงบ
เมื่อทุกอย่างพร้อม คุณตาพันหรือหมอพัน ณ พัทลุง ได้จากพวกเราไปเมื่อ วันจันทร์ที่ 6 ธ.ค.64 เวลา 09.50 น.อายุ 87 ปี 6 เดือน
เมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ผมได้เวลาเดินทางกลับ กทม. การรถไฟยังคงรักษาเวลาเดินรถเหมือน 30 กว่าปีก่อน ก่อนที่หัวลำโพงจะเป็นอดีตตลอดกาล
Create Date : 27 ธันวาคม 2564 |
Last Update : 28 ธันวาคม 2564 17:58:42 น. |
|
28 comments
|
Counter : 1065 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณtuk-tuk@korat, คุณหอมกร, คุณสองแผ่นดิน, คุณtoor36, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเริงฤดีนะ, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณkatoy, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณกะว่าก๋า, คุณhaiku, คุณกิ่งฟ้า, คุณชีริว |
โดย: หอมกร วันที่: 27 ธันวาคม 2564 เวลา:16:08:56 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 27 ธันวาคม 2564 เวลา:21:21:12 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 27 ธันวาคม 2564 เวลา:21:52:59 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 28 ธันวาคม 2564 เวลา:20:30:42 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 ธันวาคม 2564 เวลา:6:37:40 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 ธันวาคม 2564 เวลา:18:32:44 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 ธันวาคม 2564 เวลา:6:57:26 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 31 ธันวาคม 2564 เวลา:7:42:34 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 1 มกราคม 2565 เวลา:11:48:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มกราคม 2565 เวลา:13:18:28 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 2 มกราคม 2565 เวลา:19:49:23 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 4 มกราคม 2565 เวลา:12:02:37 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 5 มกราคม 2565 เวลา:11:35:35 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 14 มกราคม 2565 เวลา:12:37:55 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มกราคม 2565 เวลา:7:07:15 น. |
|
|
|
|
|